อลเวงรักสองภพ ตอนที่ 8

กระทู้สนทนา
อลเวงรักสองภพ ตอนที่ 8



โดย...ล. วิลิศมาหรา

ตอนที่ 1
https://ppantip.com/topic/35875039
ตอนที่ 2
https://ppantip.com/topic/35891221
ตอนที่ 3
https://ppantip.com/topic/36004158
ตอนที่ 4
https://ppantip.com/topic/36009236
ตอนที่ 5
https://ppantip.com/topic/36027692
ตอนที่ 6
https://ppantip.com/topic/36034688
ตอนที่ 7-1
https://ppantip.com/topic/36052295


“เดี๋ยวก่อนใจเย็นๆ...”

ทุกสายตาหันมาจ้องหน้า“อีเกี๋ยง”ที่ผุดลุกขึ้นยืนจังก้า ยกฝ่ามือสองข้างขึ้นทำท่าห้ามศึก แต่พอรู้สึกตัวก็รีบย่อตัวลงนั่งพนมมือแต้

“อย่าเพิ่งโมโหเลยเจ้าข้า เกี๋ยงมีวิธีที่ดีกว่านั้น ตบตีกันมันไม่ใช่วิสัยของผู้เจริญ”

แววตาของผู้เป็นใหญ่สุดในที่นี้วาบขึ้น ก่อนจ้องเขม็งมาที่หน้าเหลืองๆ ของนางบ่าวขี้เหร่ เห็นท่าทีสงสัยของเจ้าย่าก็รู้ตัวว่าพลาด ช่อชบารีบอธิบายรัวเร็วแทบลิ้นพันกัน

“เนรเทศมันสิเจ้าข้า ให้ไปอยู่ปรนนิบัติน้องสาวของเจ้าย่าที่เรือนนู้นจะได้ตัดปัญหา แบบว่า...เอาน้ำตาลออกห่างจากมด หรือตัดไฟเสียแต่ต้นลมอะไรทำนองนั้น ยังจะดีเสียกว่าตบตีกันให้อายตำหนักอื่นนะเจ้าข้า”

เหลือบมองร่างสูงที่ยืนผงาดปกป้องคนรักเหมือนในหนัง“ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ”แล้วขยิบตาส่งซิกให้ ซึ่งคนหัวไวก็รู้ทัน

“ใช่...ท่านฤาษีอาจารย์ข้าก็เคยสอนไว้เช่นนั้นเหมือนกัน การใดจักลดการใช้กำลังในข้อขัดแย้งแล้ว ผู้ประเสริฐย่อมกระทำ ให้สีมอยไปรับใช้พี่นางกายคำเสียดีกว่าจะมาทำร้ายทุบตีนางให้เป็นขี้ปากคนจ้องนินทา เราสองคนก็จะได้หมดห่วงทางนั้นอีกด้วย ขอทรงพิจารณาดูเถิดเจ้าข้า”

ดูเหมือนเจ้าย่าจะไม่สนพระทัยฟังคำพูดของน้องชาย แต่กลับจ้องเขม็งมาที่ร่างแฝงของช่อชบา ซึ่งเธอเองก็รีบก้มหน้าหลบตาลงมองต่ำ นึกโมโหตัวเองที่ดันอวดดีจนอาจทำให้เจ้าย่าสงสัยเอาได้ แต่ถ้าไม่ทำสีมอยมีหวังโดนทำร้ายจากฝีมือผู้หญิงขี้อิจฉาคนนั้นแน่ มันไม่ยุติธรรมสำหรับบ่าวไพร่เอาเสียเลย

ซึ่งเจ้าย่าศรีสุพรรณก็กำลังสงสัยในตัวนางบ่าวขี้ริ้วผู้บังอาจแสดงความคิดเห็นที่ไม่ธรรมดาออกมาอยู่จริงๆ แถมกิริยาท่าทางก็ราวกับไม่ค่อยยำเกรงใคร นางเกี๋ยงผู้นี้ดูแตกต่างไปจากบ่าวคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด

ช่อชบารอฟังว่าจะมีรับสั่งยังไงต่อ แต่เมื่อเห็นท่านเงียบไปจึงแอบชำเลืองดู เธอเห็นสายพระเนตรของเจ้าย่าเปลี่ยนไปจ้องหน้าน้อยศิลป์ไชยนิ่ง คงเพราะนึกสงสัยน้องชายตัวเองไปด้วย เนื่องจากหมู่นี้เธอกับเขามักพูดคุยกันอย่างสนิทสนม แต่หนุ่มหน้าขาวคงเป็นน้องชายที่เจ้าย่ารักมากแน่ๆ ท่าทางเขาคงถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก จึงกล้าดื้อดึงกับพี่สาวได้ถึงเพียงนี้

คิดว่าเจ้าย่าคงจะยอมตามข้อเสนอของเธอแต่โดยดี เพราะนั่นเป็นทางออกที่ดีสำหรับทุกคน ติดอยู่ตรงสตรีสูงศักดิ์ตัวปัญหาซึ่งยังไม่ยอมตกลงง่ายๆ

“จะทำเยี่ยงนั้นไม่ได้นะเจ้าข้า นางสีมอยมันละเมิดเอากับข้าเจ้า ต้องให้ข้าเป็นคนลงโทษมันซี”

หญิงอัปลักษณ์ร่ำร้องอย่างไม่ยินยอม ตาตี่ๆ ของเจ้าหล่อนพยายามเบิกออกพลางชี้ไม้ชี้มือริกๆ ไปยังร่างข้างหลังของน้อยศิลป์ไชย ที่นานๆ จะเยี่ยมหน้าออกมามองแวบหนึ่ง แล้วก็มุดหน้ากลับไปซ่อนข้างหลังคนรักตามเดิม

ในขณะที่เจ้าย่ากำลังยืนทำท่าคิดหนักอยู่นั้น ก็มีผู้เข้ามาแก้ไขสถานการณ์เอาไว้ได้ทันท่วงที

“เช่นนั้นน่ะ ดีนักแล...”

ร่างอรชรสองร่างปรากฏขึ้นตรงเชิงบันได ติดตามมาด้วยพี่เลี้ยงรื่นโรยกับนางบ่าวอีกสองคน พระธิดาฝาแฝดเพื่อนแพงนั่นเองที่กำลังก้าวขึ้นบันไดตำหนักมา จนเมื่อมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของเจ้าย่าจึงไหว้ทำความเคารพ แล้วพระเพื่อนก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนว่า

“ได้ยินเมื่อครู่จะให้สีมอยไปรับใช้ท่านน้ากายคำที่เรือนเก่าดอกรึ ข้าเจ้านึกยินดีแท้ เคยได้ยินเจ้าย่าบ่นๆ ว่า เหลือแต่ท่านน้าบัวเงินอยู่ดูแลคนป่วยตามลำพัง ถ้าให้สีมอยไปจริงก็เอาบ่าวของข้าเจ้าที่พามาด้วยทดแทนบ่าวบนตำหนักก็ได้นะเจ้าข้า”

ทรงหันไปทางบ่าวสองคนซึ่งไปนั่งหมอบรวมอยู่กับบ่าวคนอื่นๆ ที่ชานเรือน แล้วเลยมองไปรอบข้างพลางเอ่ยถามอีก

“เอ๊ะ แล้วเป็นอันใดถึงได้ยืนทำหน้าเคร่งกันไปหมด อ้าว น้อยศิลป์ ทำไมเอาสีมอยไปแอบไว้ข้างหลังแบบนั้น”

คงเพราะทรงเห็นว่าเจ้านายบนเรือนทุกคนลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากัน แถมน้อยศิลป์ไชยยังทำท่าเหมือนปกป้องสีมอยไว้ข้างหลัง ใบหน้าเลอะน้ำหมากของเจ้าหล่อนชะเง้อออกมาแอบมองแล้วแวบหายเข้าไปข้างหลังเขาอีก

เมื่อสองพระธิดามองมายังแม่นายทิพย์เกสรที่ยืนหน้าบึ้งอยู่ข้างเจ้าย่า หญิงตาตี่ก็ประณมมือไหว้ ทูลฟ้องความผิดของสีมอยให้ทรงทราบทันที

“ไหว้สาพระธิดาเจ้าข้า พวกเรากำลังคิดกันว่า จะลงโทษนางบ่าวสีมอยที่ทำน้ำหกเลอะผ้าซิ่นของข้าสถานใดดีอยู่ เพื่อสั่งสอนมิให้มันคิดทะเยอทะยานมากไปกว่าเป็นขี้ข้าบนตำหนักเจ้านาย”

“เรื่องไม่เป็นเรื่องเท่านั้นเองดอก พระเพื่อนพระแพง นี่ก็ได้ตกลงกันว่าจะให้สีมอยมันไปปรนนิบัติกายคำอย่างที่ได้ยินนั่นแหละ ไล่มันไปเสียให้พ้นๆ จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันเสียที” ในที่สุดเจ้าย่าก็เป็นคนตัดบท สรุปเอาแบบที่ช่อชบาเสนอก่อนหน้า ด้วยคงอยากให้เรื่องจบลงโดยเร็ว

“เจ้าย่าจะไม่ลงโทษสีมอยอันใดอีกแล้วใช่หรือไม่เจ้าข้า” ซึ่งก็ทำให้น้องชายของท่านมีสีหน้าโล่งใจขึ้นมาก รีบขอคำยืนยันจากพี่สาว

“เออ เออ...ไม่ต้องไปตบตีมันให้เปลืองแรงแล้ว แค่ไล่ไปให้พ้นหูพ้นตาข้าก็พอ ถ้ายังอยู่คงมีแต่เรื่อง เจ้านี่อีกคนมันน่านักเชียว...”

เสียงตอบห้วนสั้น บ่งบอกว่าไม่พอพระทัยอย่างยิ่ง และคล้ายกับไม่เคยได้ยินถ้อยคำแบบนั้นของเจ้าย่ามาก่อน ทั้งตัวน้อยศิลป์ไชยเองกับพระธิดาทั้งสอง หรือแม้แต่แม่นายทิพย์เกสร ต่างพากันจ้องพระพักตร์ของเจ้าย่าด้วยสีหน้าฉงนฉงาย

“เรื่องเท่านี้เองดอกรึถึงกับจะต้องลงโทษตบตีคน...”

พระแพงผู้น้องเอ่ยขึ้นบ้าง ทรงชำเลืองมองซิ่นคำของแม่นายทิพย์เกสรแล้วเบ้โอษฐ์ ดูท่าทางพระธิดาผู้น้องคงไม่ใคร่ชอบหน้าหญิงตาตี่สักเท่าไหร่

“ผ้าซิ่นที่เลอะน้ำไป แม่นายทิพย์อยากได้ผืนใหม่หรือไม่ ของข้าเจ้ามีที่สวยๆ อีกตั้งหลายผืน สวยกว่าผืนที่ท่านใส่อยู่ตอนนี้ตั้งเยอะ”

พอโดนคำพูดดูถูกอาภรณ์ล้ำค่าของตนเข้า แม่นายทิพย์เกสรก็หน้าแดงก่ำเพราะแรงโทสะ ผ้าซิ่นคำของหญิงสาวสมัยโบราณนั้นคงเปรียบได้กับเสื้อผ้าแบรนด์ดังของบรรดาหญิงสาวไฮโซทั้งหลาย ที่แข่งกันอวดรวยอยู่ในยุคของช่อชบา เห็นบางคนถึงกับปักเพชรปักพลอยระยิบระยับไปทั้งชุด จนเสื้อผ้าที่น่าจะเป็นแค่สิ่งห่อหุ้มร่างกายป้องกันอุจาดตา กลายเป็นของล้ำค่าต้องใช้องครักษ์พิทักษ์ชุดกันเลยทีเดียว ชุดเจ้าสาวของทายาทเศรษฐีบางชุดสร้างบ้านพักให้คนไร้บ้านได้เป็นสิบๆ หลัง

แต่ก็เห็นหล่อนทำได้เพียงฮึดฮัดกระฟัดกระเฟียด ไม่กล้าต่อปากต่อคำด้วยกับสององค์หญิง ซึ่งคงเป็นเพราะรู้ตัวดีว่าศักดิ์ต่ำกว่า เลยต้องสงบปากตัวเองไว้ หนุ่มน้อยคลายสีหน้าเคร่งเครียดลง เผยยิ้มให้กับสองพระธิดาคู่หูผู้เข้ามาช่วยคนรักของตนได้ทันเวลา

“ขอบพระทัยเจ้าย่าเจ้าข้า เป็นพระกรุณาแก่ข้าน้อยและสีมอยยิ่งนัก...ถ้างั้นสีมอย เจ้าจงไปเก็บข้าวของเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะไปส่งเจ้าให้ถึงที่เรือนข้าเอง”

กล่าวขอบพระทัยเจ้าย่าแล้วรีบหันไปบอกคนที่แอบซ่อนอยู่ด้านหลัง สีมอยเยี่ยมหน้าออกมามองแล้วผงกศีรษะรับ ทั้งคู่ไม่รีรออะไรอีก ทำท่าจะพากันเดินไปจากที่ตรงนั้นเลย แต่เจ้าย่าทรงสะบัดเสียงห้ามเสียก่อน

“เดี๋ยว! อย่าเพิ่งไป น้อยศิลป์เจ้าไม่ต้องยุ่ง เรื่องสีมอยเดี๋ยวข้าจะให้คนจัดการเอง โอย...นี่ข้าหิวจนแสบไส้แล้ว ล่วงมาจนบ่ายยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลยสักคน มัวแต่ยุ่งเรื่องไร้สาระจนไม่ต้องกินข้าวกินปลากัน”

ทรงโอดครวญขึ้นมาทำให้น้องชายของท่านต้องชะงักเท้ายืนรีรอ

“นางสีมอย เอ็งจะไปเก็บของก็ไป เสร็จแล้วข้าจะให้คนมาพาไปเรือนกายคำ เย็นนี้จะได้ช่วยกันกับบัวเงินป้อนข้าวคนเจ็บเสียเลย ส่วนน้อยศิลป์ เจ้าก็นั่งลงชวนแม่นายทิพย์กินข้าวปลาเสียที”

ว่าพลางค้อนน้องชายวงใหญ่ แล้วเรียกแกมบังคับให้มานั่งร่วมสำรับด้วย สีมอยนั้นทรงโบกหลังหัตถ์อนุญาตให้ไปได้ ร่างเล็กๆ จึงรีบค้อมตัวลงรับพระบัญชาแล้วทำท่าจะผละจากไป แต่น้อยศิลป์ไชยยังรั้งแขนหล่อนเอาไว้คล้ายยังอาลัยกันอยู่ ซึ่งกิริยาแบบนั้นของเขาก็ได้ทำให้ผู้หญิงอีกคนถึงกับแทบควันออกหู หล่อนทำหน้าบึ้ง กระแทกเสียงลาเจ้าของตำหนัก

“ข้าน้อยจะขอกลับเรือนไปก่อนเจ้าข้า ไม่นึกอยากกินข้าวปลาอันใดแล้ว”

ภาพที่เห็นมันคงบาดตาบาดใจเสียจนทนไม่ไหว แม่นายทิพย์เกสรชิงทูลขอตัวลากลับ ช่อชบาแอบชำเลืองมองหน้าบึ้งตึงของคนพูดอย่างสมน้ำหน้า เจ้าหล่อนคงผิดคาดไปมาก อุตส่าห์ใส่ร้ายเล่นงานคนอื่นหวังให้โดนลงโทษ สุดท้ายตัวเองกลับโดนหักหน้าเสียเอง

“ในเมื่อเจ้าย่าพิพากษาโทษนางบ่าวอวดดีเยี่ยงนี้ ข้าเจ้าก็ไม่มีความเห็นใดอีก เช่นนั้นก็ตามพระทัยท่านทั้งหลายเถิด...ขอตัวก่อนนะเจ้าข้า อีอิ่ม กลับเรือนเรา”

แล้วหล่อนก็ทำความเคารพผู้มีศักดิ์สูงกว่าทุกคน หันมาเรียกบ่าวของตัวให้ลุกขึ้น ก่อนเดินคอแข็งลงจากตำหนักไปท่ามกลางความโล่งอกโล่งใจของคนบนเรือน

“งั้นก็จบเรื่องนี้กันเสียที ข้าจะกินข้าวละ พระเพื่อนพระแพงเชิญเข้ามาเสียที่ข้างในเรือนเถิด เอ้า...มานั่งกินข้าวกันได้แล้ว”

เจ้าย่ามองตามหลังหญิงผู้มีท่าทีกระเง้ากระงอดพลางถอนหายใจยาว ทรงเลิกสนพระทัย หันไปพยักพักตร์เรียกให้พระธิดาแฝดเข้ามาในเรือน แล้วประทับลงข้างสำรับใหม่

น้อยศิลป์ไชยกระซิบบอกอะไรบางอย่างแก่สาวคนรัก สีมอยค้อมตัวรับแล้วหันหลังเดินเข้าไปทางด้านหลังตำหนัก คาดว่าคงไปเก็บข้าวของส่วนตัวเพื่อเตรียมตัวไปเป็นบ่าวเรือนเดิมของเจ้าย่า ร่างสูงมองตามหลังคนรักจนลับสายตาแล้วถึงค่อยกลับมาลงนั่งร่วมวงสำรับกับพี่สาว ช่อชบารอจนสองเจ้าหญิงประทับลงเรียบร้อยแล้วก็รีบคลานเข่าเข้ามาหา

“มาที่นี่ทำไมเหรอเจ้าข้า พระธิดา”

เมื่อคลานมาถึงจึงกระซิบถามสองพี่น้องเบาๆ ตาคอยชำเลืองดูเจ้าของตำหนักที่กำลังนั่งเสวยอยู่กลางเติ๋นกับน้องชาย

“มารับตัวเจ้าน่ะซี ข้าเอาบ่าวมาเปลี่ยนกันกับเจ้า ให้เจ้าไปเป็นบ่าวที่ตำหนักข้าแทน ดีไหมเล่า ข้ามีเรื่องจะหารือด้วยหลายเรื่อง เดี๋ยวพอเจ้าย่าเสวยเสร็จข้าสองคนจะทูลขอเจ้ากับท่าน”

“จะเอานางเกี๋ยงไปทำไม”

ช่อชบาสะดุ้งโหยงกับเสียงถามดังก้องของเจ้าย่า น่าแปลกที่คนซึ่งกำลังนั่งอยู่ในวงขันโตก ห่างกันตั้งไกลกับที่เธอกับสองพระธิดาสนทนากันอยู่ กลับได้ยินเสียงพวกเธอคุยกันชัดเจน พระเพื่อนชะงัก คงนึกไม่ถึงเหมือนกันว่าเสียงพูดคุยจะดังไปถึงกรรณท่านได้ แต่แล้วก็เป็นพระแพงที่เป็นคนตอบเสียเองว่า

“หลังฟื้นจากเป็นลม นางเกี๋ยงก็เกิดมีความคิดเฉียบแหลมขึ้นมามาก ข้าน้อยสองคนนึกนิยมในตัวมัน จึงอยากขอมันไปรับใช้ที่ตำหนักเราเจ้าข้า”

อ้างเอาแบบนั้นก็ยิ่งทำให้สนพระทัยน่ะสิ...ช่อชบานึกในใจ แต่ผิดคาด เจ้าย่ากลับแค่คราง อืม...ในลำศอ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบว่า

“อืม...เช่นนั้นดอกรึ...ใช่ๆ นางคนนี้ข้าก็ว่ามันมีความคิดความอ่านไม่ธรรมดา เจ้าสองคนก็ช่างสรรหาผู้คน ตำหนักเพื่อนแพงล้วนมีแต่คนแปลกประหลาด ตะละคนคิดอ่านพิสดารทั้งสิ้น”

“เพราะรักเจ้าย่าดอกถึงชวนกันมากับพระแพง หลานเห็นว่านางเกี๋ยงมันฟื้นขึ้นมาแล้วก็มิเป็นการ แม้แต่ตำหมากก็ไม่เป็นสับปะรด อยู่ที่นี่มีแต่จะทำให้ขัดพระทัย หลานจึงจะเอาบ่าวที่เก่งปรนนิบัติมาเปลี่ยนให้เสียอย่างไรเล่า” แฝดผู้พี่ประจบ

“น้อยศิลป์ด้วย กินข้าวกินปลาเสร็จแล้วก็พานางเกี๋ยงไปส่งให้ที่ตำหนักข้าที มีเรื่องหารือกับพวกเจ้าเป็นการใหญ่อยู่”

“เรื่องอันใดของพวกเจ้ากัน หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องพระลอของไอ้พวกช่างซอหรอกนะ”

น้ำเสียงเข้มกระด้างของเจ้าย่าทำให้ช่อชบาเงยหน้าขึ้นมอง คิดว่าตัวเองทันได้เห็นสายพระเนตรแข็งกร้าวฉายวาบขึ้นบนพระพักตร์ซึ่งเคยละมุนอยู่เป็นนิจ หญิงสาวนึกสะดุดใจ ในวรรณคดีที่เคยอ่าน เจ้าย่าเป็นผู้บงการให้สังหารพระลอและหลานสาวของตัวเอง หรือว่าโศกนาฏกรรมนี้กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว



จบตอน.
[/b
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่