ตอนที่ 1
https://ppantip.com/topic/35875039
ตอนที่ 2
https://ppantip.com/topic/35891221
ตอนที่ 3
https://ppantip.com/topic/36004158
ตอนที่ 4
https://ppantip.com/topic/36009236
อลเวงรักสองภพ
โดย...ล. วิลิศมาหรา
ช่อชบาถือกระโถนทองเหลืองเดินตามขบวนเสด็จของเจ้าย่าศรีสุพรรณที่ประทับมาบนเสลี่ยง แบกหามด้วยบ่าวไพรร่างกำยำสี่คน นางกำนัลที่ตามเสด็จวันนี้นอกจากเธอกับสีมอยซึ่งเป็นคนหอบพานพระศรีแล้ว ก็ยังมีนางกำนัลร่างเตี้ยล่ำชื่อนางผันทำหน้าที่กางสัปทนกันแดด ส่วนอีกคนชื่อคำแก้วถือห่อผ้าพะรุงพะรังนำหน้าขบวน และมีหน้าที่ป่าวประกาศให้คนหลีกทาง
ขบวนเสด็จเดินผ่านบ้านเรือนสองข้างทาง ส่วนใหญ่ปลูกเป็นกระต๊อบไม้ไผ่หลังเล็กๆ ฝาบ้านทำด้วยฟาก หลังคามุงหญ้าคา ที่สร้างเป็นเรือนไม้เห็นประปราย บ้านทุกหลังยกใต้ถุนสูง ผูกสัตว์เลี้ยงประเภทวัวควายไว้ใต้ถุน บ้านบางหลังมีกี่ทอผ้าตั้งอยู่
เวลาขณะนั้นสายมากแล้ว แสงแดดแรงกล้า แต่อากาศไม่ร้อนจัดเหมือนอยู่กลางเมืองใหญ่ในยุคของช่อชบา ถนนเป็นทางเดินกว้างพอประมาณบนพื้นดินธรรมดา ลัดเลาะไปตามย่านบ้านเรือนของชาวเมือง ไม่ได้ถูกปรับให้สูงขึ้นแต่อย่างใด ผู้คนสัญจรไปมาบนถนนพากันหลบเข้าข้างทาง และยอบตัวลงนั่งก้มหน้าเมื่อขบวนเสด็จผ่าน
เคียงข้างเธอด้านขวาคือสีมอยที่เดินเคี้ยวหมากหยับๆ นาน ๆ ก็ก้มลงบ้วนน้ำหมากทิ้งลงพื้นทีหนึ่ง ส่วนด้านซ้ายมือคือหนุ่มตัวสูงผู้เป็นอนุชาของเจ้าย่าที่ไม่ยักกินหมากตามแฟน แต่คอยลอบส่งสายตาหวานฉ่ำให้แม่สาวปากเปรอะน้ำหมากบ่อยๆ ซึ่งรายนั้นก็ลอบสบตาชายหนุ่มเป็นระยะ ก่อนทำท่าขวยเขินสะเทิ้นอายหลบตาเขา แต่แล้วก็แอบสบตากันใหม่ เป็นอยู่แบบนี้มาตลอดทางจนคนตรงกลางนึกอิจฉา ตัวเองเลยกลายเป็นเหมือนไม้กันหมาให้สองหนุ่มสาวไปโดยไม่ตั้งใจ
“นี่...น้อยศิลป์ ทำไมท่านถึงไม่กินหมากเหมือนคนอื่นล่ะ” มองๆ แล้วอดนึกสงสัยไม่ได้เลยเอ่ยปากถาม คนถูกถามละสายตาจากใบหน้าจิ้มลิ้มของสาวคนรัก หันมาตอบ
“ไม่กินหรอก มันฝาดชาในปาก กินแล้วเมาหัว”
“ถ้านานๆ กินทีมันก็ชาปากกับเมาหัวเอาสิเจ้าข้า พอกินบ่อยเข้าเดี๋ยวก็ชินไปเอง”
แม่สาวสีมอยอ้อมแอ้มบอกก่อนบ้วนน้ำหมากปรี้ดลงพื้นอีกครั้ง แล้วเงยหน้าส่งยิ้มเห็นฟันดำเมี่ยมมาให้หนุ่มหล่อ
“ไม่กินหมากที่ไหนจะได้ฟันดำ ผู้ใหญ่เขาว่ามีแต่หมาเท่านั้นที่ฟันขาว”
ช่อชบาฟังหล่อนพูดแล้วสะดุ้ง เพิ่งรู้ว่าทำไมแม่สาวน้ำหมากถึงตั้งอกตั้งใจกินหมากทั้งวันจากคำอธิบายของเจ้าหล่อน ที่แท้นางห่วงสวยนี่เอง ผู้คนสมัยโบราณต้องมีฟันดำถึงจะเรียกว่าสวย หล่อ เท่ ช่อชบาเคยได้ยินมาเหมือนกัน
“ข้านี่แหละจะมีฟันขาวให้แปลกไปกว่าคนอื่น พวกเราเป็นสหายของพระธิดาแฝดที่ไม่คิดว่าคนฟันขาวจะน่ารังเกียจอันใด ใครจะฟันขาวหรือฟันดำขึ้นอยู่กับความชอบ ต่างก็เป็นคนเหมือนกันไม่ควรเอาไปเปรียบกับหมา ตำหนักของพระธิดาจึงชวนกันมีฟันขาว เลยไม่มีใครกินหมากสักคน”
ช่อชบาเหลียวมองหน้าหนุ่มฟันขาวอย่างทึ่ง หนุ่มน้อยคนนี้มีความคิดความอ่านหลายอย่างแตกต่างไปจากผู้คนที่นี่ ได้ยินมาว่าเจ้าย่าส่งเขาให้ไปอยู่สำนักฤาษีแถวดอยง้มเมืองภูกามยาว ซึ่งเป็นสถานที่เล่าเรียนฝึกปรือวิชาของบรรดาลูกหลานผู้ครองนครแถวนี้ตั้งแต่เด็ก จึงทำให้เขามีความรู้รอบตัวกว้างขวางกว่าคนทั่วไป เปรียบได้กับลูกท่านหลานเธอทั้งหลายที่ถูกส่งให้ไปร่ำเรียนถึงเมืองนอกเมืองนาในยุคเธอกระมัง ความคิดแผลงๆ ไม่เหมือนชาวบ้านแบบนี้ ถ้าเป็นสมัยใหม่ก็คงเป็นแบบที่เรียกกันว่ามีบุคลิกต่อต้านสังคม เป็นพวกหัวก้าวหน้า หรือเป็นคนหัวแข็งนั่นเอง
“มีฟันขาวเดี๋ยวไม่สวยนะเจ้าข้า แต่ถ้าอยากเคี้ยวหมากแล้วไม่อยากให้ฟันดำก็เอายาเส้นขัดฟันเสียก็ได้ แล้วไม่ต้องเคี้ยวบ่อยนัก แค่วันละอมหนึ่งก็พอ”
“เจ้าก็คะยั้นคะยอให้ข้ากินหมากเสียจริงนะสีมอย ถ้าข้ามีฟันขาวแล้วเจ้าจะไม่ชอบฤา เอาล่ะ ก็ได้ ถ้าเจ้าอยากให้ข้ากินก็คายหมากในปากเจ้ามาให้ข้าสิ”
คนตัวสูงเอียงตัวข้ามช่อชบามากระซิบบอกหญิงที่หมายตาเบาๆ ซึ่งสาวเจ้าก็เขินอายจนหน้าจิ้มลิ้มแดงก่ำ
โอ๊ะโอ๋...คายหมากให้กันกินมีจริงๆ ด้วยแฮะ นึกว่ามีแต่ในวรรณคดีขุนช้างขุนแผนที่เคยอ่านเจอเสียอีก...พี่เคี้ยวหมาก เจ้าอยากพี่ยังคาย...
พอนึกภาพคู่รักคายหมากใส่ปากป้อนให้กันกิน สาวจากอนาคตก็อดขำไม่ได้ ยิ่งนึกก็ยิ่งขำจนกลั้นไม่ไหว ปล่อยหัวเราะพรืดออกมา เฮ้อ...ค่านิยมในแต่ละยุคแต่ละสมัยช่างแตกต่างกัน นี่ถ้าเป็นในสมัยเธอคงป้อนกันด้วยหมากฝรั่ง
...แต่ อี๋ย์ ไม่เอาด้วยหรอก...เพราะถ้าเป็นหมากฝรั่งคงเหม็นน้ำลายพิลึก ส่วนคนโบราณกลิ่นปูนกลิ่นหมากมันคงฉุนจนกลบกลิ่นน้ำลายหมด คนเขาถึงคายหมากให้กันกินได้ สองหนุ่มสาวที่กำลังจีบกันอยู่เห็นท่าทางนางเกี๋ยงก็ชะงัก หันมามองหน้าคนที่กำลังกลั้นหัวเราะจนหน้าดำหน้าแดงพร้อมกัน
“เจ้าขำอันใดนางแปลง...” คิ้วหนาย่นเป็นปมถามเธอตาขวาง
“เปล่า...เปล่าเจ้าข้า ไม่มีอะไร จีบกันต่อเถอะน่า ฉันก็เป็นแบบนี้แหละ เส้นตื้น ชอบหัวเราะง่ายๆ เหมือนผีบ้า อย่าสนใจเลย” ปฏิเสธทั้งยังกลั้นขำไม่ได้ ต้องข่มหัวเราะไว้แทบแย่
“ตั้งแต่ฟื้นจากเป็นลม นางเกี๋ยงมันมักทำท่าแปลกๆ อยู่เรื่อยแหละเจ้าข้า พูดจาอะไรก็ไม่รู้ฟังไม่ค่อยเข้าใจ หากนายน้อยเข้าใจภาษาแปลกๆ ของมัน ฟังมันพูดรู้เรื่อง ก็วานช่วยเล่าให้ข้าเจ้าฟังด้วยนะเจ้าข้า”
ช่อชบาเหล่ตามองสีมอยที่กำลังพูดอ้อนแฟนหนุ่ม นึกชมแม่เพื่อนสาวร่วมห้องในใจว่าไม่ธรรมดา นางฉอเลาะได้น่าเอ็นดู อ่อยได้เนียนมาก
“ได้สิ รับรองว่าถ้าเจ้ารู้เรื่องของอีเกี๋ยง เจ้าต้องตกใจจนเป็นลมแน่”
หนุ่มหน้าขาวชะโงกตัวข้ามช่อชบามากระซิบกับสีมอยอีก ซึ่งฝ่ายนั้นก็เบิกตาโตทำปากห่อ ทำท่าแอ๊บแบ๊วเหมือนพวกสาวๆ ในเฟซบุคนิยมทำกันไม่มีผิด
“จริงหรือเจ้าข้า”
เจ้าหล่อนอุทานถามแล้วปิดปากหัวเราะคิกๆ แสดงว่าไม่เชื่อ คงคิดว่าเขาพูดกระเซ้าแหย่นางเกี๋ยงเล่น ช่อชบานึกรำคาญสองหนุ่มสาวที่ชะโงกจีบกันข้ามตัวเธอไปมาเต็มทีจึงหยุดเดิน ปล่อยให้สองคนนั่นเดินเลยไปก่อน แล้วเธอก็เลี่ยงมาเดินฟากซ้ายมือของชายหนุ่มแทน เลยกลายเป็นน้อยศิลป์ไชยอยู่ตรงกลาง ขนาบข้างด้วยเธอกับสีมอย
พอสองคนนั่นหันมามอง เธอก็พยักหน้าให้ทำนองว่าตามสบาย เชิญจีบกันได้เต็มที่ ทั้งคู่หันกลับไปมองหน้ากันแล้วยิ้มอายๆ ก่อนหัวเราะต่อกระซิกกันใหม่ เดินมาพักหนึ่งก็ได้ยินนายน้อยศิลป์ไชยเล่าเรื่องเธอให้สีมอยฟังเบาๆ ว่า
“ข้าจะบอกอะไรให้ นางเกี๋ยงผู้นี้มีความลับ ไว้ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังวันหลัง ด้วยเหตุนี้แหละพระธิดาแฝดถึงไม่ได้ตามเจ้าย่ามาวันนี้ เพราะพอท้าวเพื่อนรู้ความจริงของมันเข้า ท่านก็เกิดเป็นลมไปเสียก่อน”
คราวนี้นางกำนัลสีมอยมีสีหน้าตกอกตกใจ หล่อนผ่อนฝีเท้าลงให้มีระยะห่างจากขบวนเสด็จ ช่อชบากับน้อยศิลป์ไชยก็เลยต้องผ่อนตาม หล่อนถามเขาน้ำเสียงเปลี่ยนเป็นจริงจัง
“มีเรื่องแบบนั้นด้วยหรือเจ้าข้า ท้าวเพื่อนถึงกับเป็นลมเชียวฤา สีมอยอยากรู้เสียจริงว่ามันเรื่องอะไรกัน”
กิริยาท่าทางของหนุ่มสาวทั้งสามคงทำให้ท่านผู้เป็นใหญ่บนเสลี่ยงเริ่มผิดสังเกต ท่านเหลียวมองหาอนุชาพลางส่งเสียงเรียก พยักพระพักตร์ให้เดินมาหา
“น้อยศิลป์ ไปเดินทำไมตรงนั้น มาอยู่ข้างๆ พี่นี่ซิ” สิ้นเสียงสั่งหนุ่มสาวทั้งหมดก็หยุดการสนทนาลง สีมอยเดินทำตัวลีบลงทันใด หนุ่มหน้าขาวรับคำแล้วรีบเดินขึ้นหน้าไปอยู่ข้างเสลี่ยงของเจ้าย่าศรีสุพรรณทันที
(มีต่อ)
อลเวงรักสองภพ ตอนที่ 5
https://ppantip.com/topic/35875039
ตอนที่ 2
https://ppantip.com/topic/35891221
ตอนที่ 3
https://ppantip.com/topic/36004158
ตอนที่ 4
https://ppantip.com/topic/36009236
โดย...ล. วิลิศมาหรา
ช่อชบาถือกระโถนทองเหลืองเดินตามขบวนเสด็จของเจ้าย่าศรีสุพรรณที่ประทับมาบนเสลี่ยง แบกหามด้วยบ่าวไพรร่างกำยำสี่คน นางกำนัลที่ตามเสด็จวันนี้นอกจากเธอกับสีมอยซึ่งเป็นคนหอบพานพระศรีแล้ว ก็ยังมีนางกำนัลร่างเตี้ยล่ำชื่อนางผันทำหน้าที่กางสัปทนกันแดด ส่วนอีกคนชื่อคำแก้วถือห่อผ้าพะรุงพะรังนำหน้าขบวน และมีหน้าที่ป่าวประกาศให้คนหลีกทาง
ขบวนเสด็จเดินผ่านบ้านเรือนสองข้างทาง ส่วนใหญ่ปลูกเป็นกระต๊อบไม้ไผ่หลังเล็กๆ ฝาบ้านทำด้วยฟาก หลังคามุงหญ้าคา ที่สร้างเป็นเรือนไม้เห็นประปราย บ้านทุกหลังยกใต้ถุนสูง ผูกสัตว์เลี้ยงประเภทวัวควายไว้ใต้ถุน บ้านบางหลังมีกี่ทอผ้าตั้งอยู่
เวลาขณะนั้นสายมากแล้ว แสงแดดแรงกล้า แต่อากาศไม่ร้อนจัดเหมือนอยู่กลางเมืองใหญ่ในยุคของช่อชบา ถนนเป็นทางเดินกว้างพอประมาณบนพื้นดินธรรมดา ลัดเลาะไปตามย่านบ้านเรือนของชาวเมือง ไม่ได้ถูกปรับให้สูงขึ้นแต่อย่างใด ผู้คนสัญจรไปมาบนถนนพากันหลบเข้าข้างทาง และยอบตัวลงนั่งก้มหน้าเมื่อขบวนเสด็จผ่าน
เคียงข้างเธอด้านขวาคือสีมอยที่เดินเคี้ยวหมากหยับๆ นาน ๆ ก็ก้มลงบ้วนน้ำหมากทิ้งลงพื้นทีหนึ่ง ส่วนด้านซ้ายมือคือหนุ่มตัวสูงผู้เป็นอนุชาของเจ้าย่าที่ไม่ยักกินหมากตามแฟน แต่คอยลอบส่งสายตาหวานฉ่ำให้แม่สาวปากเปรอะน้ำหมากบ่อยๆ ซึ่งรายนั้นก็ลอบสบตาชายหนุ่มเป็นระยะ ก่อนทำท่าขวยเขินสะเทิ้นอายหลบตาเขา แต่แล้วก็แอบสบตากันใหม่ เป็นอยู่แบบนี้มาตลอดทางจนคนตรงกลางนึกอิจฉา ตัวเองเลยกลายเป็นเหมือนไม้กันหมาให้สองหนุ่มสาวไปโดยไม่ตั้งใจ
“นี่...น้อยศิลป์ ทำไมท่านถึงไม่กินหมากเหมือนคนอื่นล่ะ” มองๆ แล้วอดนึกสงสัยไม่ได้เลยเอ่ยปากถาม คนถูกถามละสายตาจากใบหน้าจิ้มลิ้มของสาวคนรัก หันมาตอบ
“ไม่กินหรอก มันฝาดชาในปาก กินแล้วเมาหัว”
“ถ้านานๆ กินทีมันก็ชาปากกับเมาหัวเอาสิเจ้าข้า พอกินบ่อยเข้าเดี๋ยวก็ชินไปเอง”
แม่สาวสีมอยอ้อมแอ้มบอกก่อนบ้วนน้ำหมากปรี้ดลงพื้นอีกครั้ง แล้วเงยหน้าส่งยิ้มเห็นฟันดำเมี่ยมมาให้หนุ่มหล่อ
“ไม่กินหมากที่ไหนจะได้ฟันดำ ผู้ใหญ่เขาว่ามีแต่หมาเท่านั้นที่ฟันขาว”
ช่อชบาฟังหล่อนพูดแล้วสะดุ้ง เพิ่งรู้ว่าทำไมแม่สาวน้ำหมากถึงตั้งอกตั้งใจกินหมากทั้งวันจากคำอธิบายของเจ้าหล่อน ที่แท้นางห่วงสวยนี่เอง ผู้คนสมัยโบราณต้องมีฟันดำถึงจะเรียกว่าสวย หล่อ เท่ ช่อชบาเคยได้ยินมาเหมือนกัน
“ข้านี่แหละจะมีฟันขาวให้แปลกไปกว่าคนอื่น พวกเราเป็นสหายของพระธิดาแฝดที่ไม่คิดว่าคนฟันขาวจะน่ารังเกียจอันใด ใครจะฟันขาวหรือฟันดำขึ้นอยู่กับความชอบ ต่างก็เป็นคนเหมือนกันไม่ควรเอาไปเปรียบกับหมา ตำหนักของพระธิดาจึงชวนกันมีฟันขาว เลยไม่มีใครกินหมากสักคน”
ช่อชบาเหลียวมองหน้าหนุ่มฟันขาวอย่างทึ่ง หนุ่มน้อยคนนี้มีความคิดความอ่านหลายอย่างแตกต่างไปจากผู้คนที่นี่ ได้ยินมาว่าเจ้าย่าส่งเขาให้ไปอยู่สำนักฤาษีแถวดอยง้มเมืองภูกามยาว ซึ่งเป็นสถานที่เล่าเรียนฝึกปรือวิชาของบรรดาลูกหลานผู้ครองนครแถวนี้ตั้งแต่เด็ก จึงทำให้เขามีความรู้รอบตัวกว้างขวางกว่าคนทั่วไป เปรียบได้กับลูกท่านหลานเธอทั้งหลายที่ถูกส่งให้ไปร่ำเรียนถึงเมืองนอกเมืองนาในยุคเธอกระมัง ความคิดแผลงๆ ไม่เหมือนชาวบ้านแบบนี้ ถ้าเป็นสมัยใหม่ก็คงเป็นแบบที่เรียกกันว่ามีบุคลิกต่อต้านสังคม เป็นพวกหัวก้าวหน้า หรือเป็นคนหัวแข็งนั่นเอง
“มีฟันขาวเดี๋ยวไม่สวยนะเจ้าข้า แต่ถ้าอยากเคี้ยวหมากแล้วไม่อยากให้ฟันดำก็เอายาเส้นขัดฟันเสียก็ได้ แล้วไม่ต้องเคี้ยวบ่อยนัก แค่วันละอมหนึ่งก็พอ”
“เจ้าก็คะยั้นคะยอให้ข้ากินหมากเสียจริงนะสีมอย ถ้าข้ามีฟันขาวแล้วเจ้าจะไม่ชอบฤา เอาล่ะ ก็ได้ ถ้าเจ้าอยากให้ข้ากินก็คายหมากในปากเจ้ามาให้ข้าสิ”
คนตัวสูงเอียงตัวข้ามช่อชบามากระซิบบอกหญิงที่หมายตาเบาๆ ซึ่งสาวเจ้าก็เขินอายจนหน้าจิ้มลิ้มแดงก่ำ
โอ๊ะโอ๋...คายหมากให้กันกินมีจริงๆ ด้วยแฮะ นึกว่ามีแต่ในวรรณคดีขุนช้างขุนแผนที่เคยอ่านเจอเสียอีก...พี่เคี้ยวหมาก เจ้าอยากพี่ยังคาย...
พอนึกภาพคู่รักคายหมากใส่ปากป้อนให้กันกิน สาวจากอนาคตก็อดขำไม่ได้ ยิ่งนึกก็ยิ่งขำจนกลั้นไม่ไหว ปล่อยหัวเราะพรืดออกมา เฮ้อ...ค่านิยมในแต่ละยุคแต่ละสมัยช่างแตกต่างกัน นี่ถ้าเป็นในสมัยเธอคงป้อนกันด้วยหมากฝรั่ง
...แต่ อี๋ย์ ไม่เอาด้วยหรอก...เพราะถ้าเป็นหมากฝรั่งคงเหม็นน้ำลายพิลึก ส่วนคนโบราณกลิ่นปูนกลิ่นหมากมันคงฉุนจนกลบกลิ่นน้ำลายหมด คนเขาถึงคายหมากให้กันกินได้ สองหนุ่มสาวที่กำลังจีบกันอยู่เห็นท่าทางนางเกี๋ยงก็ชะงัก หันมามองหน้าคนที่กำลังกลั้นหัวเราะจนหน้าดำหน้าแดงพร้อมกัน
“เจ้าขำอันใดนางแปลง...” คิ้วหนาย่นเป็นปมถามเธอตาขวาง
“เปล่า...เปล่าเจ้าข้า ไม่มีอะไร จีบกันต่อเถอะน่า ฉันก็เป็นแบบนี้แหละ เส้นตื้น ชอบหัวเราะง่ายๆ เหมือนผีบ้า อย่าสนใจเลย” ปฏิเสธทั้งยังกลั้นขำไม่ได้ ต้องข่มหัวเราะไว้แทบแย่
“ตั้งแต่ฟื้นจากเป็นลม นางเกี๋ยงมันมักทำท่าแปลกๆ อยู่เรื่อยแหละเจ้าข้า พูดจาอะไรก็ไม่รู้ฟังไม่ค่อยเข้าใจ หากนายน้อยเข้าใจภาษาแปลกๆ ของมัน ฟังมันพูดรู้เรื่อง ก็วานช่วยเล่าให้ข้าเจ้าฟังด้วยนะเจ้าข้า”
ช่อชบาเหล่ตามองสีมอยที่กำลังพูดอ้อนแฟนหนุ่ม นึกชมแม่เพื่อนสาวร่วมห้องในใจว่าไม่ธรรมดา นางฉอเลาะได้น่าเอ็นดู อ่อยได้เนียนมาก
“ได้สิ รับรองว่าถ้าเจ้ารู้เรื่องของอีเกี๋ยง เจ้าต้องตกใจจนเป็นลมแน่”
หนุ่มหน้าขาวชะโงกตัวข้ามช่อชบามากระซิบกับสีมอยอีก ซึ่งฝ่ายนั้นก็เบิกตาโตทำปากห่อ ทำท่าแอ๊บแบ๊วเหมือนพวกสาวๆ ในเฟซบุคนิยมทำกันไม่มีผิด
“จริงหรือเจ้าข้า”
เจ้าหล่อนอุทานถามแล้วปิดปากหัวเราะคิกๆ แสดงว่าไม่เชื่อ คงคิดว่าเขาพูดกระเซ้าแหย่นางเกี๋ยงเล่น ช่อชบานึกรำคาญสองหนุ่มสาวที่ชะโงกจีบกันข้ามตัวเธอไปมาเต็มทีจึงหยุดเดิน ปล่อยให้สองคนนั่นเดินเลยไปก่อน แล้วเธอก็เลี่ยงมาเดินฟากซ้ายมือของชายหนุ่มแทน เลยกลายเป็นน้อยศิลป์ไชยอยู่ตรงกลาง ขนาบข้างด้วยเธอกับสีมอย
พอสองคนนั่นหันมามอง เธอก็พยักหน้าให้ทำนองว่าตามสบาย เชิญจีบกันได้เต็มที่ ทั้งคู่หันกลับไปมองหน้ากันแล้วยิ้มอายๆ ก่อนหัวเราะต่อกระซิกกันใหม่ เดินมาพักหนึ่งก็ได้ยินนายน้อยศิลป์ไชยเล่าเรื่องเธอให้สีมอยฟังเบาๆ ว่า
“ข้าจะบอกอะไรให้ นางเกี๋ยงผู้นี้มีความลับ ไว้ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังวันหลัง ด้วยเหตุนี้แหละพระธิดาแฝดถึงไม่ได้ตามเจ้าย่ามาวันนี้ เพราะพอท้าวเพื่อนรู้ความจริงของมันเข้า ท่านก็เกิดเป็นลมไปเสียก่อน”
คราวนี้นางกำนัลสีมอยมีสีหน้าตกอกตกใจ หล่อนผ่อนฝีเท้าลงให้มีระยะห่างจากขบวนเสด็จ ช่อชบากับน้อยศิลป์ไชยก็เลยต้องผ่อนตาม หล่อนถามเขาน้ำเสียงเปลี่ยนเป็นจริงจัง
“มีเรื่องแบบนั้นด้วยหรือเจ้าข้า ท้าวเพื่อนถึงกับเป็นลมเชียวฤา สีมอยอยากรู้เสียจริงว่ามันเรื่องอะไรกัน”
กิริยาท่าทางของหนุ่มสาวทั้งสามคงทำให้ท่านผู้เป็นใหญ่บนเสลี่ยงเริ่มผิดสังเกต ท่านเหลียวมองหาอนุชาพลางส่งเสียงเรียก พยักพระพักตร์ให้เดินมาหา
“น้อยศิลป์ ไปเดินทำไมตรงนั้น มาอยู่ข้างๆ พี่นี่ซิ” สิ้นเสียงสั่งหนุ่มสาวทั้งหมดก็หยุดการสนทนาลง สีมอยเดินทำตัวลีบลงทันใด หนุ่มหน้าขาวรับคำแล้วรีบเดินขึ้นหน้าไปอยู่ข้างเสลี่ยงของเจ้าย่าศรีสุพรรณทันที
(มีต่อ)