อลเวงรักสองภพ ตอนที่ 3

อลเวงรักสองภพ


โดย...ล. วิลิศมาหรา

ตอนที่ 1
https://ppantip.com/topic/35875039

ตอนที่ 2
https://ppantip.com/topic/35891221

เมื่อมาถึงเรือนประธาน ช่อชบาก็เห็นผู้หญิงร่างผอมบางวัยกลางคนนั่งอยู่บนตั่งไม้สักในโถงกว้างโล่ง แวดล้อมด้วยหญิงสาวนั่งพับเพียบบนพื้นข้างๆ ผู้หญิงคนนี้สวมเสื้อแขนกระบอกสีเหลืองนวล ห่มสไบปักลวดลายสวยงาม นุ่งผ้าซิ่นไหมลายดอกอ่อนช้อยยาวกรอมเท้า เกล้ามวยผมไว้กลางศีรษะครอบด้วยปลอกทองคำ สวมเครื่องประดับสายสร้อย แหวนกำไล ซึ่งล้วนเป็นโลหะสีทองสุกปลั่งและอัญมณีมีค่า ซึ่งคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าย่าศรีสุพรรณผู้เป็นใหญ่ในตำหนักนี้  

เจ้าย่าศรีสุพรรณเป็นชายาหม้ายของพระเจ้าพิมพิสาครกษัตริย์องค์ก่อนของเมืองสรอง ที่สิ้นพระชนม์จากการทำยุทธหัตถีกับท้าวแมนสรวงอดีตกษัตริย์ของเมืองสรวง เรื่องนี้อยู่ในหนังสือนอกเวลาที่ช่อชบาเคยอ่านและจำได้ดี ใครจะไปนึกว่าจะได้มาเจอตัวจริงเสียงจริงของท่านเอาแบบนี้ หญิงผู้มาจากอนาคตจึงเงอะงะ เดินตามหลังสีมอยผ่านชานเรือนขึ้นมาด้วยอาการแข้งขาสั่น

เมื่อนางกำนัลคนโปรดทั้งสองคลานเข่าเข้ามาหมอบอยู่ข้างตั่งนั่ง พระพักต์เรียวขาวละมุนกับเนตรอ่อนโยนก็หันมามอง

“ไหว้สาเจ้าข้าแม่นายเจ้าย่า” สีมอยพนมมือยกขึ้นจบศีรษะแล้วลดมือลงพนมไว้กลางอกพร้อมหมอบตัวลง ซึ่งช่อชบาก็รีบทำตามอย่างหล่อนโดยเร็ว

“ไหว้สาเจ้าข้าแม่นายเจ้าย่า” พูดตามสีมอยเป๊ะเพื่อป้องกันความผิดพลาด นั่งหมอบลงแต่ตาลอบชำเลืองมองผู้ที่อยู่บนตั่งไม้หวาดๆ เนตรมีแววฉงนเหลือบมามองหน้าอีเกี๋ยงอย่างสังเกต พลันเสียงมีเมตตาก็ดังขึ้น

“หายไข้แล้วฤา ทำไมขึ้นมาบนเรือนข้าเร็วนัก ถ้ายังไม่หายดีเจ้าพักก่อนก็ได้ ดูเจ้าสิ หน้าตาผมเผ้ายาวรุ่มร่ามรุงรังนัก”

ช่อชบาหน้าแหย ก้มมองตัวเองแล้วทำจมูกฟุดฟิด กลิ่นตัวนางเกี๋ยงแรงดีเหลือเกิน ไม่ได้อาบน้ำแค่วันเดียวตัวเหม็นสาบราวกลิ่นหมาเน่า สีมอยหันมาถลึงตาใส่เหมือนโมโหที่เธอไม่เชื่อฟัง ทูลเสียเองว่า

“มันไม่ได้ป่วยดอกแต่เพิ่งฟื้นจากเป็นลมเจ้าข้าแม่นายเจ้าย่า ฟื้นมาก็สะลึมสะลือ ลืมโน่นลืมนี่ จำอะไรไม่ได้แม้แต่ตัวมันเอง เมื่อวานก็คงลืมอาบน้ำเสียด้วยก็ไม่รู้ แต่มันห่วงงานถวายหมากเจ้าย่า เซ้าซี้ข้าเจ้าให้พาขึ้นมาเฝ้าแต่เช้า หลงลืมแม้แต่ทางมาตำหนัก จะมาเองยังจำทางมาไม่ได้เลยเจ้าข้า”

ช่อชบาเหลือบมองคนเพ็ดทูลอย่างทึ่ง อื้อฮือ...สมเป็นบ่าวคนโปรด เจรจาเอาใจเจ้านายเก่งแท้ แถมยังทูลเอาความดีความชอบให้ตัวเองกับเพื่อนได้แนบเนียนระดับตุ๊กตาทอง

หญิงสูงศักดิ์บนตั่งสรวลคิกอย่างขำขัน มองดูนางกำนัลกำมะลอนั่งทำหน้าเอ๋อ ท่าทางเหมือนลืมตัวไปจริงๆ จึงมองมาตาแป๋ว

แต่ความจริงแล้วช่อชบากำลังนึกสะดุดใจต่างหาก ว่าเหตุไฉนเจ้าย่าที่ในหนังสือกล่าวถึงด้านความโหดร้าย รักแรงแค้นแรง และเป็นคนสั่งให้สังหารหลานสาวตัวเองกับชายคนรักของหลานจนตายคาที่ทั้งสามคนจึงยังดูสาว ไม่ได้แก่เหมือนเคยคิดเอาไว้ และไม่ได้มีท่าทางดุร้ายน่ากลัวอย่างที่ควรจะเป็น กลับกันเสียอีก ดวงหน้าขาวละมุนมักแย้มยิ้มอย่างคนอารมณ์ดี แววตาที่มองมาก็อ่อนโยนดูเป็นคนใจดี รูปร่างหน้าตาของพระนางบ่งบอกว่ามีเมตตา ไม่น่าอำมหิตได้ถึงขนาดนั้น หรือว่าจะเกิดเหตุการณ์เข้าใจผิดอะไรบางอย่างขึ้น เรื่องเล่าสืบต่อกันปากต่อปาก พอหลายชั่วอายุคนเข้าก็อาจมีบางอย่างบิดเบือนไปจากความเป็นจริงก็ได้

เพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องเหล่านี้จึงแทบสะดุ้งเมื่อมีเสียงหนึ่งดังขึ้น

“พี่นาง”

ร่างสูงสะโอดสะองของผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่งก้าวโครมๆ ขึ้นบันไดเรือนมา บ่าวไพร่ที่อยู่บนเรือนพากันยอบตัวลงแสดงความเคารพ จนกระทั่งผู้ชายคนนั้นเข้ามาถึงที่ประทับก็ยกมือขึ้นพนมไหว้ แล้วทรุดลงนั่งเคียงข้างเจ้าย่าบนตั่ง

“อ้าว ไหนว่าจะไปชวนธิดาแฝดให้ไปด้วยกันกับเรา”

รอยยิ้มน้อยๆ แต้มมุมปากได้รูปสวยเหมือนปากผู้หญิง ผู้ชายคนนี้มีใบหน้าที่ขาวจนเกือบซีด ทว่าคิ้วหนาเข้มกับดวงตาสดใสเป็นประกายทำให้ดูคมคายขึ้น

“กำลังจะไปเจ้าข้า แต่น้องมาเฝ้าพี่นางก่อน เผื่อมีอะไรให้น้องรับใช้”

“ดูอ้อนพี่เข้า...รู้ทันเจ้าหรอกน่า วันนี้อยากได้อันใด”

คำเรียกขานของคนทั้งคู่ช่อชบาประมวลได้ว่าทั้งสองคงเป็นพี่น้องกัน และต้องเป็นพี่น้องที่สนิทสนมรักใคร่กันมากอีกด้วย หนุ่มน้อยน่าจะอายุไม่เกินยี่สิบ รูปร่างหน้าตาแบบนี้ถ้าอยู่ในยุคของเธอคงได้เป็นดารานักร้องชื่อดัง แล้วบินไปโกอินเตอร์ที่เกาหลีเป็นแน่

“พี่นางช่างรู้ใจน้องจริง...” รอยยิ้มมีเสน่ห์ผุดพรายเต็มใบหน้า ก่อนชายตามองสองนางกำนัลที่หมอบอยู่ข้างตั่ง สายตาคมกริบแฉลบมายังร่างแน่งน้อยของสีมอย ก่อนเหลือบมามองทางช่อชบาชั่วแวบ

“วันนี้เกี๋ยงขึ้นมารับใช้พี่นางได้แล้วนี่ ถ้างั้นน้องขอสีมอยตามไปตำหนักท้าวเพื่อนแพงด้วยได้หรือไม่เจ้าข้า”

“ฮื้อ...เอาอีกแล้วนะน้อยศิลป์ ระวังคนจะนินทาเอาได้ว่าน้องชายของเจ้าย่าทำตัวเหมือนคนสามัญ เที่ยวไปเดินเล่นกับบ่าวไพร่ได้ยังไง ไม่ดีหรอก”

“อ้าว เราก็เป็นคนสามัญจริงๆ นี่พี่นาง”

ใบหน้าคมคายหัวเราะร่าชอบอกชอบใจคำพูดของตัวเอง บ่งบอกถึงอุปนิสัยเปิดเผยจริงใจ เขาถูกเจ้าย่าเหน็บนิ้วบิดเข้าที่ลำแขนหนึบใหญ่ ชายหนุ่มหยุดหัวเราะทำหน้ายุ่ง ร้องโอดโอย ลูบแขนตัวเองป้อยๆ

“พูดจาไม่ระวังปาก เห็นทีกลับไปเยี่ยมบ้านคราวนี้ พี่จะละเจ้าไว้เสียที่นั่น ไม่ให้กลับมาทำทะลึ่งทะเล้นอยู่ในวังหลวงนี่อีกหรอก เจ้าอยากกลับไปเป็นน้อยหนานอยู่ตามข่วงบ้าน หรือจะเป็นนายน้อยศิลป์ไชยอยู่ในวังหลวงแห่งนี้...หือ”

ฟังจากการสนทนากัน ช่อชบารู้แล้วว่าหนุ่มน้อยหน้าขาวท่าทางขี้เล่นคนนี้คือน้องชายของเจ้าย่าศรีสุพรรณ ชื่อว่าศิลป์ไชย ซึ่งทั้งเจ้าย่าและน้องชายเดิมทีเป็นสามัญชน หลังอภิเษกกับพระเจ้าพิมพิสาครแล้ว เจ้าย่าคงรับเอาน้องชายเข้ามาอยู่ในวังด้วย

“อยู่บ้านเดิมก็ดีเหมือนกันเจ้าข้า มีอิสระดี จะรักจะชอบกับใครก็ได้ ไม่ต้องทนอึดอัดเหมือนอยู่ที่นี่”

ช่อชบาเริ่มผิดสังเกตหนุ่มน้อยเพราะขณะที่พูด สายตาคมกริบของเขามักชำเลืองมาทางสาวน้อยปากเปื้อนน้ำหมากข้างเธอ ซึ่งนับตั้งแต่น้อยศิลป์ไชยปรากฏตัวขึ้นมา เจ้าหล่อนก็นั่งนิ่งเงียบไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ แถมยังเอาแต่ก้มหน้างุด

...ฮั่นแน่ ชักจะยังไงๆ แล้ววุ้ย  ช่อชบานึกตงิดอยู่ในใจ

“บอกว่าพูดอะไรให้ระวังปากไว้ไง พี่ชักโมโหเจ้าแล้วนะ” คราวนี้น้ำเสียงเจ้าย่าเริ่มห้วน จ้องน้องตาเขียวปั้ด หนุ่มหน้าเกาหลีเลยยิ้มเจื่อนลง แต่ก็ยังไม่วายพูดอ้อน

“น้องอยากได้บ่าวประจำตัวคอยรับใช้เวลาไปไหนๆ สักคนนี่พี่นาง”

“ก็แล้วทำไมต้องเป็นสีมอยด้วยเล่า เอานางเกี๋ยงแน่ะ มันกำลังไม่มีอะไรทำ” ช่อชบาสะดุ้งโหยง...ซวยแล้วไหมล่ะตู


หมู่เรือนในวังเมืองสรองสร้างด้วยไม้สักทอง ยกพื้นสูงประมาณช่วงอก ปลูกรวมกันเป็นหมู่ๆ แต่ละหมู่ก็จะมีเรือนประธานหลังใหญ่อยู่ด้านหน้าสุด เรือนทุกหลังมุงหลังคาด้วยไม้แป้นเกล็ด ยอดจั่วประดับไม้แกะสลักอ่อนโค้งงดงาม ไขว้กันเหมือนกากบาทที่เรียกว่ากาแล รอบเชิงชายแกะสลักลวดลายฉลุ ตัวเรือนบางด้านมีปล่องลมเรียงเป็นแถบแทนหน้าต่าง ในเวียงวังมีหมู่เรือนแบบนี้เป็นหย่อมๆ สันนิษฐานว่าเรือนแต่ละหมู่ก็คงจะเป็นตำหนักของเจ้านายแต่ละพระองค์ ส่วนพระราชวังคงเป็นปราสาทก่ออิฐฉาบปูนหลังใหญ่ที่เห็นอยู่ไกลออกไปอีกหน่อย

ช่อชบาเดินไล่ตามร่างสูงของน้อยศิลป์ไชยผ่านข่วงบ้านไปยังตำหนักของพระธิดาแฝด ขายาวๆ ก้าวห่างออกไปเรื่อยๆ ทำให้เธอต้องรีบเดินจ้ำตามด้วยกลัวเดินไม่ทันแล้วจะหลงทางกัน นึกเคืองเจ้าของร่างเดิมที่ตัวเตี้ย แข้งขาสั้น จนทำให้เธอต้องออกเดินแกมวิ่งตามหลังเขาแบบนี้

สวนกับผู้คนซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าฝ้ายสีเข้ม ผู้ชายนุ่งกางเกงขากว้างขมวดพับตรงเอว บ้างก็พับขารั้งขึ้นสูงเพื่อความคล่องตัว ส่วนใหญ่ไม่มีใครสวมเสื้อแต่มักโพกศีรษะด้วยผ้า มีบ้างที่ไว้ผมยาวขมวดเป็นจุกกลางกระหม่อม ส่วนผู้หญิงถ้ายังสาวก็เห็นนุ่งผ้าซิ่นมีลายทางขวางสีหม่น พันทบรอบอกเหมือนพันผ้าแถบ ที่สูงอายุมีเพียงผ้ายาวคล้องบ่า หรือตลบเฉียงบ่าเอาไว้หมิ่นๆ แอบนึกแปลกใจว่าพวกเขาไม่หนาวกันหรือยังไง ที่นี่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้ม จึงทำให้อากาศหนาวเย็นตลอดวัน ขนาดในเวียงวังก็ยังมีต้นไม้ขึ้นหนาทึบอยู่เป็นแห่งๆ

คนเหล่านี้คงเป็นบ่าวไพร่ใช้แรงงานข้างล่างตำหนัก จึงดูไม่ค่อยสะอาดสะอ้านเหมือนสีมอยกับรื่นและโรย อดชะเง้อชะแง้มองไปรอบๆ อย่างทึ่งไม่ได้ รู้สึกราวกับกำลังอยู่ในกองถ่ายภาพยนตร์ย้อนยุคที่บังเอิญไม่มีกล้อง ไม่มีผู้กำกับ ไม่มีทีมงานอะไรทั้งนั้น เพราะมันคือชีวิตจริงของผู้คนยุคโบราณจริงๆ ไม่ใช่ตัวละคร

มัวแต่มองเพลินขณะเท้าก็เร่งสาวตามจนไม่ทันระวังตัว ร่างผอมกะหร่องของช่อชบาในคราบนางเกี๋ยงจึงชนเข้ากับร่างสูงข้างหน้าที่หยุดชะงักกะทันหันเข้าจังเบ้อเร่อ

ปึ้ก!...

โอ้ยโย่

“เจ้าเป็นใครกัน”

คำถามนั้นเป็นเหตุให้คนเดินชนจนล้มก้นกระแทกพื้นต้องนั่งหน้าซีด เขาคงเกิดสงสัยในตัวเธอเข้าให้แล้วหรือยังไง นี่เธอเผลอไปแสดงอะไรออกมาทางหน้าเอ๋อๆ ของตัวเองให้ผิดสังเกตหรือเปล่า...ไม่นะ พูดก็ไม่ค่อยได้พูด แล้วก็ยังไม่ได้ลงมือทำหน้าที่นางกำนัลอะไรทั้งนั้นด้วย แต่ดูท่าหนุ่มน้อยคนนี้จะเป็นคนช่างสังเกต จึงสงสัยว่าเธอไม่ใช่นางเกี๋ยง ล้มลงไปแล้วก็เผลอยื่นมือให้เขาช่วยดึงให้ลุกขึ้น ซึ่งเขาก็ดึงจริงๆ โดยมีสายตาฉงนสนเท่ห์เขม้นมองมา  

“เอ่อ... ท่านพูดถึงเรื่องอะไร”

แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง หนุ่มหน้าใสปล่อยมือที่จับมือเธอออก ทำเอานางเกี๋ยงกำมะลอมองตามตาละห้อยอย่างเสียดายนิดๆ ผู้ชายอะไรไม่รู้มือนุ่มเป็นบ้า...น้อยศิลป์ไชยมองพิจารณาเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนพูดว่า  

“คนเขาลือกันว่าเจ้าฟื้นจากเป็นลมแล้วก็หลงลืมสติฟั่นเฟือน แต่ข้าว่าเจ้าถูกผีเข้ามากกว่า อยากกินอันใดก็ว่ามา หาไม่เจ้าจะเจอดีจากคาถาไล่ผีของข้า”  
      
“หา...เปล่านะ...ฉัน เอ้อ ข้าสมองฟั่นเฟือนจำอะไรไม่ค่อยได้เท่านั้นเอง ไม่ได้ถูกผีเข้าสักหน่อยเจ้าข้า”

หญิงสาวละล่ำละลักปฏิเสธ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อ ชายหนุ่มหันซ้ายแลขวาแล้วกวักมือเรียกผู้ชายคนหนึ่ง ที่หิ้วถังใส่น้ำกำลังจะเดินผ่านหน้าไปพอดี เขากระซิบกระซาบกับผู้ชายคนนั้นซึ่งก็มองสำรวจทั่วตัวเธอไปด้วยเช่นกัน แล้วส่งถังน้ำในมือให้น้อยศิลป์ไชย

“เช่นนั้นรึ ดีล่ะ ข้าจะถือโอกาสฝึกปรือวิชาไล่ผีที่พี่นางกายคำสอนให้ ดูซิว่าเจ้าแค่ฟั่นเฟือนหรือถูกผีเข้ากันแน่”

บอกแล้วคนที่ทำตัวเป็นหมอผีก็หลับตาพนมมือพึมพำในลำคอ ท่าทางเหมือนท่องคาถาอะไรอยู่ โดยมีผู้ชายอีกคนคอยยืนคุมเชิงเธอเอาไว้ ช่อชบาหน้าเหรอ นึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา...เจ้าบ้านี่คิดจะทำอะไรกับเธอกันแน่

หญิงสาวขยับจะถอยหลังหนี แต่ทันใดนั้นหนุ่มหน้าขาวก็ลืมตาขึ้นแล้วเป่าพรวดลงในถังน้ำ ก่อนยกน้ำทั้งถังเทใส่ศรีษะเธอ

ซ่า....
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่