เรื่องสั่นชุดราตรีรัญจวน
เรื่อง : โต๊ะเครื่องแป้ง 2 (ตอนจบ)
โดย : ตรัยโศก ณ ริมน่าน
เรื่องสั้นชุดนี้ ผู้เขียนขอสงวนสิทธิ์ในการนำไปเผยแพร่ในช่องทางอื่น ขอบคุณครับ
แดดอ่อนยามเช้าส่องแสงลอดเข้ามาทางหน้าต่าง เสียงนกน้อยร้องบรรเลงขับขานเพลงของวันใหม่ปลุกให้ธิดาตื่นขึ้นจากการหลับใหลอันแสนสุข เธอยังคงนั่งงัวเงียอยู่บนเตียงนอนอ่อนนุ่มเช่นเดิม จิตใจยังคิดถึงแต่ชายในความฝันคนนั้น ถ้อยคำหวานที่เขาพร่ำบอก สัมผัสรักอุ่นไอความคิดถึงยังแผ่ซ่านสถิตอยู่ทั่วทั้งสรรพางค์กาย กลิ่นของเขา น้ำเสียง รูปร่างหน้าตา เธอจดจำได้ทุกอย่างดั่งว่าเธอและเขาเป็นคนรักกันและยังคงรักกันอยู่ เขาไม่ใช่คนในความฝัน แต่มีตัวตนอยู่จริงและยังคงอยู่กับเธอไม่จากไปไหน เสียงเคาะประตูและร้องเรียกชื่อทำให้ธิดาสะดุ้งจากภวังค์เคลิ้ม เธอขานรับและเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว เกือบชั่วโมงธิดาก็เดินลงมาชั้นล่างด้วยท่าทีอ่อนเพลีย
“ตื่นสายจังล่ะลูกวันนี้?” แม่ถามพลางจัดจานอาหารที่อยู่บนโต๊ะให้เข้าที่ ส่วนพ่อนั้นนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่หน้าบ้าน ธิดาเหม่อมองออกไปด้านนอก บรรยากาศยามเช้าของชนบทช่างสดใสยิ่งนัก แต่ร่างกายของเธอกลับไม่มีปฏิกิริยาสดชื่นตอบรับมันเลยแม้แต่น้อย
เธอทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ ถอนใจยาวก่อนจะเลื่อนชามข้าวต้มตรงหน้าเข้ามาใกล้อีกนิดเพื่อสะดวกในการกิน พ่อลุกจากเก้าอี้ไม้หน้าบ้านนั่งลงตรงข้ามเธอแล้วมองด้วยแววตาเป็นห่วง
“ไม่สบายรึเปล่าลูก? ทำไมดูเพลีย ๆ”
“เปล่าค่ะ สงสัยตื่นสายเลยยังเพลียอยู่” ธิดาตอบพ่อพลางใช้ช้อนกระเบื้องสีขาวคนข้าวต้มไปมา ทั้งพ่อและแม่มองดูกิริยาของลูกสาวคนเดียวอย่างเป็นห่วงแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก สายของวันนี้เธอและครอบครัวจะไปที่วัดประจำหมู่บ้านเพื่อทำบุญใหญ่ ย่าบอกว่าถือเป็นการบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางว่ากลับมาอยู่บ้านแล้วให้ช่วยคุ้มครอง
“....อายุวัณโณ..สุขัง...พะลัง...” เสียงพระสงฆ์ให้พรท่อนสุดท้าย ธิดาลุกขึ้นเดินลงจากศาลาตรงไปยังโคนต้นไทรใหญ่ บรรจงเทน้ำในจานสังกะสีลงไปพร้อมอธิษฐานจิต
“ขอเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้าจงมารับเอาส่วนบุญนี้ไปด้วยเทอญ”
พ่อและแม่ของเธอเหลียวมองลูกสาวที่นั่งหลับตาพนมมือนิ่งอยู่ตรงนั้น ก่อนจะหันมาปรึกษากับหลวงพ่อเจ้าอาวาสเรื่องความฝันของทั้งคู่ มันเป็นความฝันที่แปลกประหลาดอีกทั้งยังฝันเหมือนกันทุกประการ
ในฝันนั้น ทั้งคู่พบว่าตัวเองนั่งอยู่ในเรือนไม้หลังใหญ่ ส่วนตัวธิดานั่งอยู่ใกล้ ๆในชุดไทยสวยงาม แต่งหน้าอ่อน ๆแต่แลดูสวยคม เธอนั่งพับเพียบเรียบร้อยมือประสานกันไว้ หลังตรงงามสง่า ใบหน้าของลูกสาวดูอิ่มเอมทั้งเลือดฝาดและความสุขอย่างเห็นได้ชัด ครู่ใหญ่มีเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจดังใกล้เข้ามา แล้วชายหนุ่มหน้าตาดีคมเข้มสูงโปร่งก็โผล่พ้นหัวกระไดเรือน เขาเดินตรงเข้ามานั่งพับเพียบต่อหน้าทั้งสองก้มลงไหว้อย่างนอบน้อม
“ไหว้พระเถิดพ่อ” พ่อของธิดาตอบ
ชายหนุ่มแอบชำเลืองมองไปยังสาวเจ้าพร้อมกับที่เธอก็แอบมองเขาอยู่เช่นกัน ทั้งสองเกิดสะดุ้งเล็กน้อยแล้วต่างคนก็ต่างเบนหน้าหนี ทั้งพ่อและแม่ของธิดาหันมองหน้ากันแล้วยิ้มละไม
“มาวันนี้มีธุระอะไรล่ะ? พ่อวัลลภ” พ่อของธิดาเปิดฉากถามก่อนเมื่อเห็นว่าต่างคนต่างเงียบอยู่นาน ความจริงแล้วทุกคนต่างรู้ว่าเหตุผลที่หนุ่มคมเข้มคนนี้มาเยือนเรือนชานนั้นมีจุดประสงค์อะไร แต่ก็ถามไถ่เป็นพิธีเท่านั้น
“กระผมตั้งใจจะมาบอกกล่าวแก่คุณท่านและคุณหญิงน่ะขอรับ ว่า...เอ่อ...กระผมรักน้องชิดจันทร์...และเอ่อ..” ชายหนุ่มพูดอ้ำอึ้งเหมือนคนติดอ่าง พ่อของธิดาหรือในความฝันถูกเรียกว่าชิดจันทร์นิ่งฟังยิ้มมุมปาก ก่อนจะแกล้งตบเข่าเสียงดังจนหนุ่มสาวสะดุ้งโหยง
“เอ้า! จะว่ากระไรก็พูดมาอย่ามัวอ้ำอึ้ง” เขาบอกเสียงเข้มแกล้งทำสีหน้าฉุนเฉียว
“กระผมจะมาออกปากสู่ขอน้องชิดจันทร์ไปเป็นคู่ครองขอรับ” ชายหนุ่มที่ชื่อวัลลภสูดหายใจเข้าแล้วพูดออกมาเสียงดังฟังชัด พ่อและแม่ของชิดจันทร์หันมองหน้ากันแล้วยิ้มกริ่มอีกครั้ง
“เรื่องนี้เห็นทีคงจะยาก” พ่อของชิดจันทร์เอ่ย ชายหนุ่มหน้าเสียทันที ส่วนสาวชิดจันทร์นั้นก็หันขวับมองพ่อสีหน้าสลดเช่นกัน
“เพราะต้องถามลูกสาวชั้นล่ะนะว่าเจ้าตัวเขาจะว่าอย่างไร พ่อแม่น่ะเลี้ยงได้แต่ตัวเท่านั้นล่ะพ่อวัลลภ” พ่อของชิดจันท์บอกพร้อมกับเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เอื้อมมือหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบยิ้ม ๆ
แล้วภาพก็ตัดไปเป็นงานสังสรรค์รื่นเริงแบบไทย ๆ บรรยากาศแห่งความสุขนั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นงานมงคลสมรส และบ่าวสาวก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ชิดจันทร์และวัลลภนั่นเอง ทั้งคู่นั่งจับมือมองตากันหวานเยิ้มขณะแขกเหรื่อทยอยเดินเข้ามาอวยพร
“ทั้งหมดมันก็เท่านี้เองเจ้าค่ะหลวงพ่อ” แม่ของธิดาบอก หลวงพ่อท่านนิ่งฟังและยิ้มละไม ไม่ได้ตอบอะไรออกมา
“เอ่อ! มันเป็นเรื่องดีหรือร้ายเจ้าคะ?” แม่ของธิดาถามอีกครั้ง
“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด จะดีจะร้ายเขาก็เป็นคู่ครองกันมาแต่หนหลัง วันนี้เขาได้พบกันแล้ว ที่เหลือก็...” หลวงพ่อพูดยังไม่ทันจบประโยคท่านก็หยุดและถอนหายใจยาว “ที่เหลือก็แล้วแต่กรรมผูกพันล่ะนะ” ท่านพูดต่อยิ้ม ๆ
ทั้งหมดพากันกลับบ้าน พ่อและแม่ของธิดายังคงไม่สบายใจ จะด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบแต่ทั้งคู่รู้สึกถึงเรื่องร้ายที่จะเกิดขึ้น ได้แต่ภาวนาขอให้มันเป็นเพียงความฝันเท่านั้น ตลอดทั้งวันธิดาไม่ไปไหนเลย เธอหมกตัวอยู่ในห้องจวบจนกระทั่งมื้อค่ำ
“ทำไมกินข้าวนิดเดียวล่ะลูก?” แม่ถามด้วยความเป็นห่วง
“หนูไม่ค่อยหิวอ่ะแม่ รู้สึกเพลีย ๆ หนูขอตัวไปนอนก่อนนะ” ธิดาตอบและลุกจากโต๊ะอาหารไป พ่อแม่มองดูด้วยความเป็นห่วงแต่ก็มิอาจทำอะไรได้
ราตรีนั้นธิดาก็ฝันอีก เหตุการณ์มันเกิดขึ้นในสถานที่เดิม เธอและเขาคนนั้นรักกันหวานชื่นดูดดื่ม แผงอกหนากำยำที่เธอนอนซบหลังจากผ่านเวลาแห่งความสุข เสียงหอบหายใจที่เปี่ยมล้นด้วยไฟเสน่หา กายาที่พร่ำพรอดกอดกันเปลือยเปล่าใต้ผ้าแพรสีครามเนื้อนุ่ม ทุกอณูของความฝันซึมผ่านฝังรากลึกอยู่กับเธอจวบจนกระทั่งฟ้าสาง
ธิดาเริ่มเก็บตัวมากขึ้น ข้าวปลาก็ลงมากินบ้างแต่น้อยเต็มที ร่างกายที่ขาดสารอาหารเข้าไปหล่อเลี้ยงย่อมอ่อนแรงโรยราเป็นธรรมดา
“ธิดา เป็นยังไงบ้างลูก?” แม่ถามพลางลูบผมเบา ๆ
“หนูไม่เป็นไรค่ะแม่” เธอตอบยิ้มละไมก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง ครู่เดียวลมหายใจของเธอก็ผ่อนเข้าออกเป็นจังหวะราบเรียบ นั่นแสดงให้เห็นว่าเธอหลับใหลอย่างปริ่มสุขแล้ว แม่มองดูลูกสาวด้วยความกังวลยิ่ง เพียงอาทิตย์เดียวจากเด็กสาวสดใสร่าเริงผิวพรรณเปล่งปลั่ง กลับผอมแห้งแก้มตอบไร้ราศี
จังหวะที่นางกำลังจะก้าวออกจากห้องลูกสาว หางตาก็เห็นเหมือนมีเงาของใครสะท้อนอยู่ในกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นอย่างเต็มตา ธิดาลูกสาวของนางกำลังยืนกอดกับชายหนุ่มที่เธอรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่ารู้จักแต่นึกไม่ออก พอกะพริบตาถี่ ๆ ภาพนั้นก็หาย ไป นางขนลุกวาบไปทั้งตัวเมื่อนึกขึ้นได้ว่าชายคนนั้นคือใคร เขาคือคนที่นางและสามีฝันถึง นางรีบนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับพ่อของธิดาทันที คราแรกเขาบอกว่านางเพ้อเจ้อ แต่เมื่อหวนคิดไปถึงอาการของลูกสาวในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา หากจะเชื่อแบบนั้นมันก็ดูไม่ผิดนัก
“แล้วเราจะเอายังไงกันดีล่ะพ่อ?” แม่ของธิดาถามสามีด้วยความกังวล
“เดี๋ยวพรุ่งนี้จะลองปรึกษาคุณแม่ดูก่อนว่าจะช่วยหาทางออกได้มั้ย” พ่อของธิดาพูดเสียงเครียดเช่นกัน
ฟ้ายังไม่ทันสางดี แต่ผู้เป็นย่ากลับต้องนั่งตาค้างหน้าเครียด เมื่อได้ยินว่าอาการหลานสาวที่แปลกไปนี้เกิดจากสิ่งลึกลับที่สิงสู่อยู่ในโต๊ะเครื่องแป้ง อีกทั้งลูกสะใภ้ยังเห็นมาแล้วกับตาอีกด้วย
“เดี๋ยวแม่จะไปถามอาจารย์ศรดูว่าจะช่วยได้มั้ย” ย่าของธิดาพูด
สายวันนั้นนางเดินทางไปบ้านหมอผีซึ่งอยู่คนละหมู่บ้าน หวังให้ช่วยหลานสาวที่บัดนี้ราวกับคนป่วยนอนรอความตาย หมอผีศรนั่งทางในอยู่ครู่หนึ่งก็ลืมตาโพลงแล้วตะเบ็งเสียงพูดดังลั่น
“มันเป็นเพราะโต๊ะตัวนั้นจริง ๆ ไอ้ผีร้ายมันสิงสู่อยู่ในนั้น มันจะเอาชีวิตหลานสาวมืง มันจะเอาอีหนูนั่นไปอยู่ด้วย”
“แล้วจะทำยังไงดีล่ะจ๊ะพ่อหมอ?” ย่าของธิดาถาม
“มืงลองสำรวจดูที่โต๊ะนั่นนะ มันจะมีแหวนอยู่สองวง เอามาให้กู ๆ จะทำพิธีให้”
ย่าของธิดารับคำและตรงกลับบ้านทันที เมื่อถึงก็ขึ้นไปห้องนอนของหลานสาว ในห้องธิดาหลับใหลอย่างสงบโดยมีแม่คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง ย่าของธิดาสำรวจดูทุกซอกทุกมุมของโต๊ะเครื่องแป้ง ที่สุดก็พบห่อผ้าแพรเล็ก ๆ ถูกม้วนเป็นก้อนอยู่มุมลึกสุดของลิ้นชักด้านขวา จังหวะที่นางล้วงออกมานั้นมีรูปถ่ายใบหนึ่งติดออกมาด้วย แต่นางไม่ทันสังเกตรูปใบนั้นจึงหล่นลงพื้นใต้โต๊ะ
“นั่นอะไรเหรอคะคุณแม่?” แม่ของธิดาถามจ้องของในมือแม่ผัวนิ่ง
“ของที่จะช่วยหนูธิดาได้ยังไงล่ะ” เมื่อได้ของที่ต้องการแล้ว ย่าของธิดาก็กลับไปบ้านหมอผีอีกครั้ง เจ้าสำนักหน้าเหี้ยมบอกว่าคืนนี้จะทำพิธีให้พรุ่งนี้หลานสาวของนางก็หายให้สบายใจได้
ค่ำนั้นคนทั้งบ้านมารวมตัวกันที่ห้องนอนของธิดา บัดนี้เธอราวกับเป็นเจ้าหญิงนิทรา เธอไม่ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลเลยตั้งแต่เมื่อคืนวาน เอาแต่นอนอย่างเดียว ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ลืมตาตื่น พ่อและแม่ของสาวน้อยได้แต่ทำใจเท่านั้น แต่เมื่อทราบว่าหมอผีเจ้าพิธีรับปากว่าจะช่วยและพรุ่งนี้เช้าลูกสาวสุดที่รักจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ทั้งคู่ต่างก็ตั้งตารอด้วยความหวัง
คืนนั้นที่เรือนหมอผี หลังจากที่นั่งภาวนาอยู่พักใหญ่ จู่ ๆ ชายหนุ่มรูปงามก็ปรากฏตัวยืนจังก้าต่อหน้าหมอผีด้วยใบหน้าถทึง
“หึ! มาแล้วรึไอ้ผีชั่ว มืงหยุดทำร้ายนังหนูนั่นซะแล้วกูจะช่วยสงเคราะห์ให้มืงไปเกิดแบบสบายๆ”
“ไม่ใช่เรื่องของมืงอย่ามาสอด! เอาของ ๆ กูไปไว้ที่เดิมเสีย มิเช่นนั้นกูจักฆ่ามืงทิ้ง” ชายหนุ่มตอบกลับมาเสียงกร้าว แต่ปากของเขามิได้ขยับเลยสักนิด
“ชะ! มืงกล้ามาลองดีกับกูเรอะ? ดีล่ะงั้นมืงจะได้รู้ว่าใครเป็นใคร” หมอผีพูดพร้อมกับหลับตาพนมมือท่องคาถา จู่ ๆ ก็บังเกิดเปลวไฟแดงฉานลุกพรึ่บรายล้อมโหมร่างชายหนุ่ม เขาร้องออกมาอย่างเจ็บปวด หมอผีหัวเราะอย่างสะใจราวคนบ้าคลั่ง
(มีต่อนะครับ)
โต๊ะเครื่องแป้ง 2. (ตอนจบ)
เรื่อง : โต๊ะเครื่องแป้ง 2 (ตอนจบ)
โดย : ตรัยโศก ณ ริมน่าน
เรื่องสั้นชุดนี้ ผู้เขียนขอสงวนสิทธิ์ในการนำไปเผยแพร่ในช่องทางอื่น ขอบคุณครับ
แดดอ่อนยามเช้าส่องแสงลอดเข้ามาทางหน้าต่าง เสียงนกน้อยร้องบรรเลงขับขานเพลงของวันใหม่ปลุกให้ธิดาตื่นขึ้นจากการหลับใหลอันแสนสุข เธอยังคงนั่งงัวเงียอยู่บนเตียงนอนอ่อนนุ่มเช่นเดิม จิตใจยังคิดถึงแต่ชายในความฝันคนนั้น ถ้อยคำหวานที่เขาพร่ำบอก สัมผัสรักอุ่นไอความคิดถึงยังแผ่ซ่านสถิตอยู่ทั่วทั้งสรรพางค์กาย กลิ่นของเขา น้ำเสียง รูปร่างหน้าตา เธอจดจำได้ทุกอย่างดั่งว่าเธอและเขาเป็นคนรักกันและยังคงรักกันอยู่ เขาไม่ใช่คนในความฝัน แต่มีตัวตนอยู่จริงและยังคงอยู่กับเธอไม่จากไปไหน เสียงเคาะประตูและร้องเรียกชื่อทำให้ธิดาสะดุ้งจากภวังค์เคลิ้ม เธอขานรับและเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว เกือบชั่วโมงธิดาก็เดินลงมาชั้นล่างด้วยท่าทีอ่อนเพลีย
“ตื่นสายจังล่ะลูกวันนี้?” แม่ถามพลางจัดจานอาหารที่อยู่บนโต๊ะให้เข้าที่ ส่วนพ่อนั้นนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่หน้าบ้าน ธิดาเหม่อมองออกไปด้านนอก บรรยากาศยามเช้าของชนบทช่างสดใสยิ่งนัก แต่ร่างกายของเธอกลับไม่มีปฏิกิริยาสดชื่นตอบรับมันเลยแม้แต่น้อย
เธอทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ ถอนใจยาวก่อนจะเลื่อนชามข้าวต้มตรงหน้าเข้ามาใกล้อีกนิดเพื่อสะดวกในการกิน พ่อลุกจากเก้าอี้ไม้หน้าบ้านนั่งลงตรงข้ามเธอแล้วมองด้วยแววตาเป็นห่วง
“ไม่สบายรึเปล่าลูก? ทำไมดูเพลีย ๆ”
“เปล่าค่ะ สงสัยตื่นสายเลยยังเพลียอยู่” ธิดาตอบพ่อพลางใช้ช้อนกระเบื้องสีขาวคนข้าวต้มไปมา ทั้งพ่อและแม่มองดูกิริยาของลูกสาวคนเดียวอย่างเป็นห่วงแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก สายของวันนี้เธอและครอบครัวจะไปที่วัดประจำหมู่บ้านเพื่อทำบุญใหญ่ ย่าบอกว่าถือเป็นการบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางว่ากลับมาอยู่บ้านแล้วให้ช่วยคุ้มครอง
“....อายุวัณโณ..สุขัง...พะลัง...” เสียงพระสงฆ์ให้พรท่อนสุดท้าย ธิดาลุกขึ้นเดินลงจากศาลาตรงไปยังโคนต้นไทรใหญ่ บรรจงเทน้ำในจานสังกะสีลงไปพร้อมอธิษฐานจิต
“ขอเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้าจงมารับเอาส่วนบุญนี้ไปด้วยเทอญ”
พ่อและแม่ของเธอเหลียวมองลูกสาวที่นั่งหลับตาพนมมือนิ่งอยู่ตรงนั้น ก่อนจะหันมาปรึกษากับหลวงพ่อเจ้าอาวาสเรื่องความฝันของทั้งคู่ มันเป็นความฝันที่แปลกประหลาดอีกทั้งยังฝันเหมือนกันทุกประการ
ในฝันนั้น ทั้งคู่พบว่าตัวเองนั่งอยู่ในเรือนไม้หลังใหญ่ ส่วนตัวธิดานั่งอยู่ใกล้ ๆในชุดไทยสวยงาม แต่งหน้าอ่อน ๆแต่แลดูสวยคม เธอนั่งพับเพียบเรียบร้อยมือประสานกันไว้ หลังตรงงามสง่า ใบหน้าของลูกสาวดูอิ่มเอมทั้งเลือดฝาดและความสุขอย่างเห็นได้ชัด ครู่ใหญ่มีเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจดังใกล้เข้ามา แล้วชายหนุ่มหน้าตาดีคมเข้มสูงโปร่งก็โผล่พ้นหัวกระไดเรือน เขาเดินตรงเข้ามานั่งพับเพียบต่อหน้าทั้งสองก้มลงไหว้อย่างนอบน้อม
“ไหว้พระเถิดพ่อ” พ่อของธิดาตอบ
ชายหนุ่มแอบชำเลืองมองไปยังสาวเจ้าพร้อมกับที่เธอก็แอบมองเขาอยู่เช่นกัน ทั้งสองเกิดสะดุ้งเล็กน้อยแล้วต่างคนก็ต่างเบนหน้าหนี ทั้งพ่อและแม่ของธิดาหันมองหน้ากันแล้วยิ้มละไม
“มาวันนี้มีธุระอะไรล่ะ? พ่อวัลลภ” พ่อของธิดาเปิดฉากถามก่อนเมื่อเห็นว่าต่างคนต่างเงียบอยู่นาน ความจริงแล้วทุกคนต่างรู้ว่าเหตุผลที่หนุ่มคมเข้มคนนี้มาเยือนเรือนชานนั้นมีจุดประสงค์อะไร แต่ก็ถามไถ่เป็นพิธีเท่านั้น
“กระผมตั้งใจจะมาบอกกล่าวแก่คุณท่านและคุณหญิงน่ะขอรับ ว่า...เอ่อ...กระผมรักน้องชิดจันทร์...และเอ่อ..” ชายหนุ่มพูดอ้ำอึ้งเหมือนคนติดอ่าง พ่อของธิดาหรือในความฝันถูกเรียกว่าชิดจันทร์นิ่งฟังยิ้มมุมปาก ก่อนจะแกล้งตบเข่าเสียงดังจนหนุ่มสาวสะดุ้งโหยง
“เอ้า! จะว่ากระไรก็พูดมาอย่ามัวอ้ำอึ้ง” เขาบอกเสียงเข้มแกล้งทำสีหน้าฉุนเฉียว
“กระผมจะมาออกปากสู่ขอน้องชิดจันทร์ไปเป็นคู่ครองขอรับ” ชายหนุ่มที่ชื่อวัลลภสูดหายใจเข้าแล้วพูดออกมาเสียงดังฟังชัด พ่อและแม่ของชิดจันทร์หันมองหน้ากันแล้วยิ้มกริ่มอีกครั้ง
“เรื่องนี้เห็นทีคงจะยาก” พ่อของชิดจันทร์เอ่ย ชายหนุ่มหน้าเสียทันที ส่วนสาวชิดจันทร์นั้นก็หันขวับมองพ่อสีหน้าสลดเช่นกัน
“เพราะต้องถามลูกสาวชั้นล่ะนะว่าเจ้าตัวเขาจะว่าอย่างไร พ่อแม่น่ะเลี้ยงได้แต่ตัวเท่านั้นล่ะพ่อวัลลภ” พ่อของชิดจันท์บอกพร้อมกับเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เอื้อมมือหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบยิ้ม ๆ
แล้วภาพก็ตัดไปเป็นงานสังสรรค์รื่นเริงแบบไทย ๆ บรรยากาศแห่งความสุขนั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นงานมงคลสมรส และบ่าวสาวก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ชิดจันทร์และวัลลภนั่นเอง ทั้งคู่นั่งจับมือมองตากันหวานเยิ้มขณะแขกเหรื่อทยอยเดินเข้ามาอวยพร
“ทั้งหมดมันก็เท่านี้เองเจ้าค่ะหลวงพ่อ” แม่ของธิดาบอก หลวงพ่อท่านนิ่งฟังและยิ้มละไม ไม่ได้ตอบอะไรออกมา
“เอ่อ! มันเป็นเรื่องดีหรือร้ายเจ้าคะ?” แม่ของธิดาถามอีกครั้ง
“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด จะดีจะร้ายเขาก็เป็นคู่ครองกันมาแต่หนหลัง วันนี้เขาได้พบกันแล้ว ที่เหลือก็...” หลวงพ่อพูดยังไม่ทันจบประโยคท่านก็หยุดและถอนหายใจยาว “ที่เหลือก็แล้วแต่กรรมผูกพันล่ะนะ” ท่านพูดต่อยิ้ม ๆ
ทั้งหมดพากันกลับบ้าน พ่อและแม่ของธิดายังคงไม่สบายใจ จะด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบแต่ทั้งคู่รู้สึกถึงเรื่องร้ายที่จะเกิดขึ้น ได้แต่ภาวนาขอให้มันเป็นเพียงความฝันเท่านั้น ตลอดทั้งวันธิดาไม่ไปไหนเลย เธอหมกตัวอยู่ในห้องจวบจนกระทั่งมื้อค่ำ
“ทำไมกินข้าวนิดเดียวล่ะลูก?” แม่ถามด้วยความเป็นห่วง
“หนูไม่ค่อยหิวอ่ะแม่ รู้สึกเพลีย ๆ หนูขอตัวไปนอนก่อนนะ” ธิดาตอบและลุกจากโต๊ะอาหารไป พ่อแม่มองดูด้วยความเป็นห่วงแต่ก็มิอาจทำอะไรได้
ราตรีนั้นธิดาก็ฝันอีก เหตุการณ์มันเกิดขึ้นในสถานที่เดิม เธอและเขาคนนั้นรักกันหวานชื่นดูดดื่ม แผงอกหนากำยำที่เธอนอนซบหลังจากผ่านเวลาแห่งความสุข เสียงหอบหายใจที่เปี่ยมล้นด้วยไฟเสน่หา กายาที่พร่ำพรอดกอดกันเปลือยเปล่าใต้ผ้าแพรสีครามเนื้อนุ่ม ทุกอณูของความฝันซึมผ่านฝังรากลึกอยู่กับเธอจวบจนกระทั่งฟ้าสาง
ธิดาเริ่มเก็บตัวมากขึ้น ข้าวปลาก็ลงมากินบ้างแต่น้อยเต็มที ร่างกายที่ขาดสารอาหารเข้าไปหล่อเลี้ยงย่อมอ่อนแรงโรยราเป็นธรรมดา
“ธิดา เป็นยังไงบ้างลูก?” แม่ถามพลางลูบผมเบา ๆ
“หนูไม่เป็นไรค่ะแม่” เธอตอบยิ้มละไมก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง ครู่เดียวลมหายใจของเธอก็ผ่อนเข้าออกเป็นจังหวะราบเรียบ นั่นแสดงให้เห็นว่าเธอหลับใหลอย่างปริ่มสุขแล้ว แม่มองดูลูกสาวด้วยความกังวลยิ่ง เพียงอาทิตย์เดียวจากเด็กสาวสดใสร่าเริงผิวพรรณเปล่งปลั่ง กลับผอมแห้งแก้มตอบไร้ราศี
จังหวะที่นางกำลังจะก้าวออกจากห้องลูกสาว หางตาก็เห็นเหมือนมีเงาของใครสะท้อนอยู่ในกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นอย่างเต็มตา ธิดาลูกสาวของนางกำลังยืนกอดกับชายหนุ่มที่เธอรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่ารู้จักแต่นึกไม่ออก พอกะพริบตาถี่ ๆ ภาพนั้นก็หาย ไป นางขนลุกวาบไปทั้งตัวเมื่อนึกขึ้นได้ว่าชายคนนั้นคือใคร เขาคือคนที่นางและสามีฝันถึง นางรีบนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับพ่อของธิดาทันที คราแรกเขาบอกว่านางเพ้อเจ้อ แต่เมื่อหวนคิดไปถึงอาการของลูกสาวในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา หากจะเชื่อแบบนั้นมันก็ดูไม่ผิดนัก
“แล้วเราจะเอายังไงกันดีล่ะพ่อ?” แม่ของธิดาถามสามีด้วยความกังวล
“เดี๋ยวพรุ่งนี้จะลองปรึกษาคุณแม่ดูก่อนว่าจะช่วยหาทางออกได้มั้ย” พ่อของธิดาพูดเสียงเครียดเช่นกัน
ฟ้ายังไม่ทันสางดี แต่ผู้เป็นย่ากลับต้องนั่งตาค้างหน้าเครียด เมื่อได้ยินว่าอาการหลานสาวที่แปลกไปนี้เกิดจากสิ่งลึกลับที่สิงสู่อยู่ในโต๊ะเครื่องแป้ง อีกทั้งลูกสะใภ้ยังเห็นมาแล้วกับตาอีกด้วย
“เดี๋ยวแม่จะไปถามอาจารย์ศรดูว่าจะช่วยได้มั้ย” ย่าของธิดาพูด
สายวันนั้นนางเดินทางไปบ้านหมอผีซึ่งอยู่คนละหมู่บ้าน หวังให้ช่วยหลานสาวที่บัดนี้ราวกับคนป่วยนอนรอความตาย หมอผีศรนั่งทางในอยู่ครู่หนึ่งก็ลืมตาโพลงแล้วตะเบ็งเสียงพูดดังลั่น
“มันเป็นเพราะโต๊ะตัวนั้นจริง ๆ ไอ้ผีร้ายมันสิงสู่อยู่ในนั้น มันจะเอาชีวิตหลานสาวมืง มันจะเอาอีหนูนั่นไปอยู่ด้วย”
“แล้วจะทำยังไงดีล่ะจ๊ะพ่อหมอ?” ย่าของธิดาถาม
“มืงลองสำรวจดูที่โต๊ะนั่นนะ มันจะมีแหวนอยู่สองวง เอามาให้กู ๆ จะทำพิธีให้”
ย่าของธิดารับคำและตรงกลับบ้านทันที เมื่อถึงก็ขึ้นไปห้องนอนของหลานสาว ในห้องธิดาหลับใหลอย่างสงบโดยมีแม่คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง ย่าของธิดาสำรวจดูทุกซอกทุกมุมของโต๊ะเครื่องแป้ง ที่สุดก็พบห่อผ้าแพรเล็ก ๆ ถูกม้วนเป็นก้อนอยู่มุมลึกสุดของลิ้นชักด้านขวา จังหวะที่นางล้วงออกมานั้นมีรูปถ่ายใบหนึ่งติดออกมาด้วย แต่นางไม่ทันสังเกตรูปใบนั้นจึงหล่นลงพื้นใต้โต๊ะ
“นั่นอะไรเหรอคะคุณแม่?” แม่ของธิดาถามจ้องของในมือแม่ผัวนิ่ง
“ของที่จะช่วยหนูธิดาได้ยังไงล่ะ” เมื่อได้ของที่ต้องการแล้ว ย่าของธิดาก็กลับไปบ้านหมอผีอีกครั้ง เจ้าสำนักหน้าเหี้ยมบอกว่าคืนนี้จะทำพิธีให้พรุ่งนี้หลานสาวของนางก็หายให้สบายใจได้
ค่ำนั้นคนทั้งบ้านมารวมตัวกันที่ห้องนอนของธิดา บัดนี้เธอราวกับเป็นเจ้าหญิงนิทรา เธอไม่ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลเลยตั้งแต่เมื่อคืนวาน เอาแต่นอนอย่างเดียว ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ลืมตาตื่น พ่อและแม่ของสาวน้อยได้แต่ทำใจเท่านั้น แต่เมื่อทราบว่าหมอผีเจ้าพิธีรับปากว่าจะช่วยและพรุ่งนี้เช้าลูกสาวสุดที่รักจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ทั้งคู่ต่างก็ตั้งตารอด้วยความหวัง
คืนนั้นที่เรือนหมอผี หลังจากที่นั่งภาวนาอยู่พักใหญ่ จู่ ๆ ชายหนุ่มรูปงามก็ปรากฏตัวยืนจังก้าต่อหน้าหมอผีด้วยใบหน้าถทึง
“หึ! มาแล้วรึไอ้ผีชั่ว มืงหยุดทำร้ายนังหนูนั่นซะแล้วกูจะช่วยสงเคราะห์ให้มืงไปเกิดแบบสบายๆ”
“ไม่ใช่เรื่องของมืงอย่ามาสอด! เอาของ ๆ กูไปไว้ที่เดิมเสีย มิเช่นนั้นกูจักฆ่ามืงทิ้ง” ชายหนุ่มตอบกลับมาเสียงกร้าว แต่ปากของเขามิได้ขยับเลยสักนิด
“ชะ! มืงกล้ามาลองดีกับกูเรอะ? ดีล่ะงั้นมืงจะได้รู้ว่าใครเป็นใคร” หมอผีพูดพร้อมกับหลับตาพนมมือท่องคาถา จู่ ๆ ก็บังเกิดเปลวไฟแดงฉานลุกพรึ่บรายล้อมโหมร่างชายหนุ่ม เขาร้องออกมาอย่างเจ็บปวด หมอผีหัวเราะอย่างสะใจราวคนบ้าคลั่ง
(มีต่อนะครับ)