โต๊ะเครื่องแป้ง 2. (ตอนจบ)

เรื่องสั่นชุดราตรีรัญจวน
เรื่อง : โต๊ะเครื่องแป้ง 2 (ตอนจบ)
โดย : ตรัยโศก  ณ  ริมน่าน

เรื่องสั้นชุดนี้  ผู้เขียนขอสงวนสิทธิ์ในการนำไปเผยแพร่ในช่องทางอื่น  ขอบคุณครับ

       แดดอ่อนยามเช้าส่องแสงลอดเข้ามาทางหน้าต่าง   เสียงนกน้อยร้องบรรเลงขับขานเพลงของวันใหม่ปลุกให้ธิดาตื่นขึ้นจากการหลับใหลอันแสนสุข  เธอยังคงนั่งงัวเงียอยู่บนเตียงนอนอ่อนนุ่มเช่นเดิม  จิตใจยังคิดถึงแต่ชายในความฝันคนนั้น  ถ้อยคำหวานที่เขาพร่ำบอก  สัมผัสรักอุ่นไอความคิดถึงยังแผ่ซ่านสถิตอยู่ทั่วทั้งสรรพางค์กาย  กลิ่นของเขา  น้ำเสียง  รูปร่างหน้าตา  เธอจดจำได้ทุกอย่างดั่งว่าเธอและเขาเป็นคนรักกันและยังคงรักกันอยู่  เขาไม่ใช่คนในความฝัน  แต่มีตัวตนอยู่จริงและยังคงอยู่กับเธอไม่จากไปไหน  เสียงเคาะประตูและร้องเรียกชื่อทำให้ธิดาสะดุ้งจากภวังค์เคลิ้ม  เธอขานรับและเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว  เกือบชั่วโมงธิดาก็เดินลงมาชั้นล่างด้วยท่าทีอ่อนเพลีย

“ตื่นสายจังล่ะลูกวันนี้?”   แม่ถามพลางจัดจานอาหารที่อยู่บนโต๊ะให้เข้าที่  ส่วนพ่อนั้นนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่หน้าบ้าน   ธิดาเหม่อมองออกไปด้านนอก  บรรยากาศยามเช้าของชนบทช่างสดใสยิ่งนัก  แต่ร่างกายของเธอกลับไม่มีปฏิกิริยาสดชื่นตอบรับมันเลยแม้แต่น้อย
เธอทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้  ถอนใจยาวก่อนจะเลื่อนชามข้าวต้มตรงหน้าเข้ามาใกล้อีกนิดเพื่อสะดวกในการกิน  พ่อลุกจากเก้าอี้ไม้หน้าบ้านนั่งลงตรงข้ามเธอแล้วมองด้วยแววตาเป็นห่วง

“ไม่สบายรึเปล่าลูก?  ทำไมดูเพลีย ๆ”  

“เปล่าค่ะ  สงสัยตื่นสายเลยยังเพลียอยู่”  ธิดาตอบพ่อพลางใช้ช้อนกระเบื้องสีขาวคนข้าวต้มไปมา  ทั้งพ่อและแม่มองดูกิริยาของลูกสาวคนเดียวอย่างเป็นห่วงแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก   สายของวันนี้เธอและครอบครัวจะไปที่วัดประจำหมู่บ้านเพื่อทำบุญใหญ่  ย่าบอกว่าถือเป็นการบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางว่ากลับมาอยู่บ้านแล้วให้ช่วยคุ้มครอง

“....อายุวัณโณ..สุขัง...พะลัง...”  เสียงพระสงฆ์ให้พรท่อนสุดท้าย  ธิดาลุกขึ้นเดินลงจากศาลาตรงไปยังโคนต้นไทรใหญ่  บรรจงเทน้ำในจานสังกะสีลงไปพร้อมอธิษฐานจิต

“ขอเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้าจงมารับเอาส่วนบุญนี้ไปด้วยเทอญ”

พ่อและแม่ของเธอเหลียวมองลูกสาวที่นั่งหลับตาพนมมือนิ่งอยู่ตรงนั้น  ก่อนจะหันมาปรึกษากับหลวงพ่อเจ้าอาวาสเรื่องความฝันของทั้งคู่   มันเป็นความฝันที่แปลกประหลาดอีกทั้งยังฝันเหมือนกันทุกประการ
ในฝันนั้น  ทั้งคู่พบว่าตัวเองนั่งอยู่ในเรือนไม้หลังใหญ่  ส่วนตัวธิดานั่งอยู่ใกล้ ๆในชุดไทยสวยงาม แต่งหน้าอ่อน ๆแต่แลดูสวยคม  เธอนั่งพับเพียบเรียบร้อยมือประสานกันไว้  หลังตรงงามสง่า  ใบหน้าของลูกสาวดูอิ่มเอมทั้งเลือดฝาดและความสุขอย่างเห็นได้ชัด  ครู่ใหญ่มีเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจดังใกล้เข้ามา  แล้วชายหนุ่มหน้าตาดีคมเข้มสูงโปร่งก็โผล่พ้นหัวกระไดเรือน  เขาเดินตรงเข้ามานั่งพับเพียบต่อหน้าทั้งสองก้มลงไหว้อย่างนอบน้อม

 “ไหว้พระเถิดพ่อ”  พ่อของธิดาตอบ

ชายหนุ่มแอบชำเลืองมองไปยังสาวเจ้าพร้อมกับที่เธอก็แอบมองเขาอยู่เช่นกัน  ทั้งสองเกิดสะดุ้งเล็กน้อยแล้วต่างคนก็ต่างเบนหน้าหนี  ทั้งพ่อและแม่ของธิดาหันมองหน้ากันแล้วยิ้มละไม

“มาวันนี้มีธุระอะไรล่ะ?  พ่อวัลลภ”  พ่อของธิดาเปิดฉากถามก่อนเมื่อเห็นว่าต่างคนต่างเงียบอยู่นาน  ความจริงแล้วทุกคนต่างรู้ว่าเหตุผลที่หนุ่มคมเข้มคนนี้มาเยือนเรือนชานนั้นมีจุดประสงค์อะไร  แต่ก็ถามไถ่เป็นพิธีเท่านั้น

“กระผมตั้งใจจะมาบอกกล่าวแก่คุณท่านและคุณหญิงน่ะขอรับ  ว่า...เอ่อ...กระผมรักน้องชิดจันทร์...และเอ่อ..”  ชายหนุ่มพูดอ้ำอึ้งเหมือนคนติดอ่าง  พ่อของธิดาหรือในความฝันถูกเรียกว่าชิดจันทร์นิ่งฟังยิ้มมุมปาก  ก่อนจะแกล้งตบเข่าเสียงดังจนหนุ่มสาวสะดุ้งโหยง

“เอ้า! จะว่ากระไรก็พูดมาอย่ามัวอ้ำอึ้ง”  เขาบอกเสียงเข้มแกล้งทำสีหน้าฉุนเฉียว

“กระผมจะมาออกปากสู่ขอน้องชิดจันทร์ไปเป็นคู่ครองขอรับ”  ชายหนุ่มที่ชื่อวัลลภสูดหายใจเข้าแล้วพูดออกมาเสียงดังฟังชัด  พ่อและแม่ของชิดจันทร์หันมองหน้ากันแล้วยิ้มกริ่มอีกครั้ง

“เรื่องนี้เห็นทีคงจะยาก”  พ่อของชิดจันทร์เอ่ย  ชายหนุ่มหน้าเสียทันที  ส่วนสาวชิดจันทร์นั้นก็หันขวับมองพ่อสีหน้าสลดเช่นกัน

“เพราะต้องถามลูกสาวชั้นล่ะนะว่าเจ้าตัวเขาจะว่าอย่างไร  พ่อแม่น่ะเลี้ยงได้แต่ตัวเท่านั้นล่ะพ่อวัลลภ”  พ่อของชิดจันท์บอกพร้อมกับเอนหลังพิงพนักเก้าอี้  เอื้อมมือหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบยิ้ม ๆ

แล้วภาพก็ตัดไปเป็นงานสังสรรค์รื่นเริงแบบไทย ๆ  บรรยากาศแห่งความสุขนั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นงานมงคลสมรส  และบ่าวสาวก็ไม่ใช่ใครที่ไหน  ชิดจันทร์และวัลลภนั่นเอง  ทั้งคู่นั่งจับมือมองตากันหวานเยิ้มขณะแขกเหรื่อทยอยเดินเข้ามาอวยพร

“ทั้งหมดมันก็เท่านี้เองเจ้าค่ะหลวงพ่อ”  แม่ของธิดาบอก หลวงพ่อท่านนิ่งฟังและยิ้มละไม ไม่ได้ตอบอะไรออกมา

“เอ่อ!  มันเป็นเรื่องดีหรือร้ายเจ้าคะ?”  แม่ของธิดาถามอีกครั้ง

“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด  จะดีจะร้ายเขาก็เป็นคู่ครองกันมาแต่หนหลัง  วันนี้เขาได้พบกันแล้ว ที่เหลือก็...”    หลวงพ่อพูดยังไม่ทันจบประโยคท่านก็หยุดและถอนหายใจยาว    “ที่เหลือก็แล้วแต่กรรมผูกพันล่ะนะ”   ท่านพูดต่อยิ้ม ๆ 

ทั้งหมดพากันกลับบ้าน  พ่อและแม่ของธิดายังคงไม่สบายใจ  จะด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบแต่ทั้งคู่รู้สึกถึงเรื่องร้ายที่จะเกิดขึ้น  ได้แต่ภาวนาขอให้มันเป็นเพียงความฝันเท่านั้น  ตลอดทั้งวันธิดาไม่ไปไหนเลย  เธอหมกตัวอยู่ในห้องจวบจนกระทั่งมื้อค่ำ 

“ทำไมกินข้าวนิดเดียวล่ะลูก?”  แม่ถามด้วยความเป็นห่วง

“หนูไม่ค่อยหิวอ่ะแม่  รู้สึกเพลีย ๆ หนูขอตัวไปนอนก่อนนะ”  ธิดาตอบและลุกจากโต๊ะอาหารไป  พ่อแม่มองดูด้วยความเป็นห่วงแต่ก็มิอาจทำอะไรได้
ราตรีนั้นธิดาก็ฝันอีก  เหตุการณ์มันเกิดขึ้นในสถานที่เดิม เธอและเขาคนนั้นรักกันหวานชื่นดูดดื่ม  แผงอกหนากำยำที่เธอนอนซบหลังจากผ่านเวลาแห่งความสุข  เสียงหอบหายใจที่เปี่ยมล้นด้วยไฟเสน่หา  กายาที่พร่ำพรอดกอดกันเปลือยเปล่าใต้ผ้าแพรสีครามเนื้อนุ่ม  ทุกอณูของความฝันซึมผ่านฝังรากลึกอยู่กับเธอจวบจนกระทั่งฟ้าสาง

ธิดาเริ่มเก็บตัวมากขึ้น  ข้าวปลาก็ลงมากินบ้างแต่น้อยเต็มที  ร่างกายที่ขาดสารอาหารเข้าไปหล่อเลี้ยงย่อมอ่อนแรงโรยราเป็นธรรมดา   

“ธิดา  เป็นยังไงบ้างลูก?”  แม่ถามพลางลูบผมเบา ๆ 

“หนูไม่เป็นไรค่ะแม่”   เธอตอบยิ้มละไมก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง  ครู่เดียวลมหายใจของเธอก็ผ่อนเข้าออกเป็นจังหวะราบเรียบ  นั่นแสดงให้เห็นว่าเธอหลับใหลอย่างปริ่มสุขแล้ว  แม่มองดูลูกสาวด้วยความกังวลยิ่ง  เพียงอาทิตย์เดียวจากเด็กสาวสดใสร่าเริงผิวพรรณเปล่งปลั่ง  กลับผอมแห้งแก้มตอบไร้ราศี 

 จังหวะที่นางกำลังจะก้าวออกจากห้องลูกสาว  หางตาก็เห็นเหมือนมีเงาของใครสะท้อนอยู่ในกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง  เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นอย่างเต็มตา  ธิดาลูกสาวของนางกำลังยืนกอดกับชายหนุ่มที่เธอรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่ารู้จักแต่นึกไม่ออก  พอกะพริบตาถี่ ๆ ภาพนั้นก็หาย ไป  นางขนลุกวาบไปทั้งตัวเมื่อนึกขึ้นได้ว่าชายคนนั้นคือใคร  เขาคือคนที่นางและสามีฝันถึง  นางรีบนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับพ่อของธิดาทันที  คราแรกเขาบอกว่านางเพ้อเจ้อ  แต่เมื่อหวนคิดไปถึงอาการของลูกสาวในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา  หากจะเชื่อแบบนั้นมันก็ดูไม่ผิดนัก

“แล้วเราจะเอายังไงกันดีล่ะพ่อ?”   แม่ของธิดาถามสามีด้วยความกังวล

“เดี๋ยวพรุ่งนี้จะลองปรึกษาคุณแม่ดูก่อนว่าจะช่วยหาทางออกได้มั้ย”  พ่อของธิดาพูดเสียงเครียดเช่นกัน

ฟ้ายังไม่ทันสางดี  แต่ผู้เป็นย่ากลับต้องนั่งตาค้างหน้าเครียด  เมื่อได้ยินว่าอาการหลานสาวที่แปลกไปนี้เกิดจากสิ่งลึกลับที่สิงสู่อยู่ในโต๊ะเครื่องแป้ง  อีกทั้งลูกสะใภ้ยังเห็นมาแล้วกับตาอีกด้วย

“เดี๋ยวแม่จะไปถามอาจารย์ศรดูว่าจะช่วยได้มั้ย”  ย่าของธิดาพูด

สายวันนั้นนางเดินทางไปบ้านหมอผีซึ่งอยู่คนละหมู่บ้าน  หวังให้ช่วยหลานสาวที่บัดนี้ราวกับคนป่วยนอนรอความตาย   หมอผีศรนั่งทางในอยู่ครู่หนึ่งก็ลืมตาโพลงแล้วตะเบ็งเสียงพูดดังลั่น

“มันเป็นเพราะโต๊ะตัวนั้นจริง ๆ ไอ้ผีร้ายมันสิงสู่อยู่ในนั้น  มันจะเอาชีวิตหลานสาวมืง  มันจะเอาอีหนูนั่นไปอยู่ด้วย”  

“แล้วจะทำยังไงดีล่ะจ๊ะพ่อหมอ?” ย่าของธิดาถาม

“มืงลองสำรวจดูที่โต๊ะนั่นนะ  มันจะมีแหวนอยู่สองวง  เอามาให้กู ๆ จะทำพิธีให้” 

ย่าของธิดารับคำและตรงกลับบ้านทันที  เมื่อถึงก็ขึ้นไปห้องนอนของหลานสาว  ในห้องธิดาหลับใหลอย่างสงบโดยมีแม่คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง  ย่าของธิดาสำรวจดูทุกซอกทุกมุมของโต๊ะเครื่องแป้ง  ที่สุดก็พบห่อผ้าแพรเล็ก ๆ ถูกม้วนเป็นก้อนอยู่มุมลึกสุดของลิ้นชักด้านขวา  จังหวะที่นางล้วงออกมานั้นมีรูปถ่ายใบหนึ่งติดออกมาด้วย  แต่นางไม่ทันสังเกตรูปใบนั้นจึงหล่นลงพื้นใต้โต๊ะ

“นั่นอะไรเหรอคะคุณแม่?”  แม่ของธิดาถามจ้องของในมือแม่ผัวนิ่ง

“ของที่จะช่วยหนูธิดาได้ยังไงล่ะ”  เมื่อได้ของที่ต้องการแล้ว ย่าของธิดาก็กลับไปบ้านหมอผีอีกครั้ง  เจ้าสำนักหน้าเหี้ยมบอกว่าคืนนี้จะทำพิธีให้พรุ่งนี้หลานสาวของนางก็หายให้สบายใจได้

ค่ำนั้นคนทั้งบ้านมารวมตัวกันที่ห้องนอนของธิดา  บัดนี้เธอราวกับเป็นเจ้าหญิงนิทรา เธอไม่ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลเลยตั้งแต่เมื่อคืนวาน  เอาแต่นอนอย่างเดียว  ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ลืมตาตื่น  พ่อและแม่ของสาวน้อยได้แต่ทำใจเท่านั้น  แต่เมื่อทราบว่าหมอผีเจ้าพิธีรับปากว่าจะช่วยและพรุ่งนี้เช้าลูกสาวสุดที่รักจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม  ทั้งคู่ต่างก็ตั้งตารอด้วยความหวัง

คืนนั้นที่เรือนหมอผี  หลังจากที่นั่งภาวนาอยู่พักใหญ่  จู่ ๆ ชายหนุ่มรูปงามก็ปรากฏตัวยืนจังก้าต่อหน้าหมอผีด้วยใบหน้าถทึง

“หึ!  มาแล้วรึไอ้ผีชั่ว  มืงหยุดทำร้ายนังหนูนั่นซะแล้วกูจะช่วยสงเคราะห์ให้มืงไปเกิดแบบสบายๆ” 
 
“ไม่ใช่เรื่องของมืงอย่ามาสอด!  เอาของ ๆ กูไปไว้ที่เดิมเสีย  มิเช่นนั้นกูจักฆ่ามืงทิ้ง”   ชายหนุ่มตอบกลับมาเสียงกร้าว แต่ปากของเขามิได้ขยับเลยสักนิด

“ชะ!  มืงกล้ามาลองดีกับกูเรอะ?  ดีล่ะงั้นมืงจะได้รู้ว่าใครเป็นใคร”  หมอผีพูดพร้อมกับหลับตาพนมมือท่องคาถา  จู่ ๆ ก็บังเกิดเปลวไฟแดงฉานลุกพรึ่บรายล้อมโหมร่างชายหนุ่ม  เขาร้องออกมาอย่างเจ็บปวด  หมอผีหัวเราะอย่างสะใจราวคนบ้าคลั่ง

(มีต่อนะครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่