เมื่อ 30 ปีก่อน ณ วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ หลวงพี่รูปหนึ่ง(ปัจจุบันเป็นหลวงพ่อ) บวชอยู่ที่วัดแห่งนี้ได้ 5 พรรษา แล้วยังไม่เคยออกธุดงค์ พระรูปอื่นๆที่อยู่มาก่อนก็ออกธุดงค์กันไปหลายต่อหลายองค์ ซึ่งจริงๆแล้วการธุดงค์ไม่ได้เป็นการบังคับ ทำด้วยใจเท่านั้น ถ้าพระรูปไหนไม่อยากธุดงค์ก็ไม่ว่ากัน แต่สำหรับหลวงพี่ท่านนี้อยากธุดงค์สักครั้งในชีวิตเพื่อขัดเกลาจิตใจ ปล่อยวาง และเพื่อเข้าถึงธรรมะ แต่ที่ผ่านมายังไม่พร้อมก็เลยยังไม่ออกธุดงค์
และวันนี้เป็นวันที่หลวงพี่กำหนดไว้แล้วว่าจะออกธุดงค์ หลวงพี่ก็เตรียมของสำหรับการธุดงค์ ซึ่งก็มีไม่กี่อย่าง ส่วนพวกอาหารก็บิณฑบาตเอา การออกธุดงค์ในครั้งนี้หลวงพี่ต้องออกธุดงค์เพียงลำพัง ไม่มีพระรูปอื่นตามไปด้วยเลย เพราะที่ผ่านๆมาก็ออกธุดงค์กันทีละองค์
เช้าตรู่หลวงพี่เริ่มออกธุดงค์ เดินเท้าเปล่า ในตัวมีของใช้สำหรับพักแรมเท่านั้น หลวงพี่เดินผ่านหมู่บ้านหลายต่อหลายหมู่บ้าน เจอผู้คนที่เห็นหลวงพี่แล้วยกมือไหว้ บางคนที่เห็นก็จะถวายอาหารแห้ง น้ำดื่มอยู่เป็นระยะ หลวงพี่รู้สึกตื่นเต้นที่ได้พบเจอสิ่งใหม่ หลังจากอยู่กับกิจวัตรเดิมๆมาถึง 5 พรรษา
บ่ายคล้อยมาหลวงพี่เดินท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนเอาเรื่องในวันนี้ หลวงพี่จึงมองหาที่พักสำหรับคืนนี้ไว้แต่เนิ่นๆ เดินไปเรื่อยๆสักพัก หลวงพี่ก็เจอเชิงดอยลูกนึง ไม่ใหญ่มาก เดินไปอีกหน่อยก็ถึงหลวงพี่ตัดสินใจเดินไปที่ดอยน้อยลูกนี้ จากตรงนี้ดูเหมือนใกล้ แต่กว่าจะเดินไปถึงก็เหนื่อยเอาเรื่อง หลวงพี่เดินขึ้นไปบนยอดดอยพอดี จุดนี้เหมาะที่จะพักค้างแรม มองลงไปก็จะเจอทิวทัศน์ที่สวยงาม และบริเวณนี้จะไม่มีผู้คน บ้านเรือนจะอยู่ห่างไกลออกไปหลายกิโลเมตร
หลวงพี่ปักกลดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ระหว่างนี้ก็ทำธุระส่วนตัวไปด้วย เสร็จแล้วหลวงพี่ก็มานั่งทบทวนสิ่งที่พบเจอในวันนี้ สักพักแสงแดดก็จางลงเรื่อยๆจนลับขอบฟ้า หลวงพี่ก็นั่งสมาธิต่อไปเรื่อยๆ หลวงพี่บอกว่าในใจจริงๆรู้สึกกลัวขึ้นมานิดๆ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ต้องอยู่ลำพังในที่ๆไม่คุ้นเคย
หลวงพี่ก็ทำสมาธิต่อ สวดมนต์ไปด้วย จนเวลาผ่านไปเป็นเวลาเท่าไหร่ก็ไม่รู้ คิดว่าน่าจะดึกมากแล้ว หลวงพี่ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซด์ 2-3 คันขับขึ้นมาบนดอยที่หลวงพี่ปักกลดอยู่ หลวงพี่ก็นั่งสมาธิต่อแต่มุ่งจิตไปฟังเสียงที่กำลังเกิดขึ้น
เสียงมอเตอร์ไซด์ทุกคันขับผ่านหลวงพี่ไปประมาณ 50 เมตรได้ (เดาจากเสียง) ก็ได้ยินเสียงวัยรุ่นชาย 5-6 คนคุยกันเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว ตามด้วยเสียงกำลังก่อไฟ สักพักก็เป็นเสียงดีดกีต้าร์ ร้องเพลงกันครึกครื้น “เอ้าชนนนนนนน” เสียงวัยรุ่นกินเหล้ากัน เสียงทั้งหมดดังอยู่แบบนั้นประมาณ 1 ชม.ก็เงียบไป........เงียบแบบเงียบสนิท เหมือนเปิดเพลงไว้แล้วกดปิดทันทีประมาณนี้ ไม่มีแม้แต่เสียงกองไฟที่เมื่อกี้ยังดังชัดเจนอยู่เลย
หลวงพี่จึงลืมตาขึ้นแล้วมองไปที่จุดที่ได้ยินเสียงเหล่าวัยรุ่น เห็นเป็นกลุ่มควันขนาดใหญ่ แล้วกลุ่มควันก็ค่อยๆเปลี่ยนรูปร่างเป็นใบหน้าคน หันมามองหลวงพี่ หลวงพี่นั่งตัวแข็งทื่อ เพราะความกลัว
กลุ่มควันนั้นรวมตัวกันอีกครั้งจนกลายเป็นรูปร่างชายวัยรุ่นคนหนึ่ง สีเทาๆทั้งตัว เดินเอามือกุมท้อง ที่ท้องมีเลือดไหลด้วย กำลังเดินเข้ามาหาหลวงพี่ หลวงพี่พยายามแข็งใจไม่ให้ชายคนนี้รู้ว่าหลวงพี่กลัวมากตอนนี้ ระหว่างที่ชายวัยรุ่นกำลังเดินๆมา ก็มีหยดน้ำ 3-4 หยดลงมาใส่หลวงพี่จากด้านบน หลวงพี่แหงนหน้าไปมอง....... ไม่เจออะไร ก็เลยหันหน้ากลับมา
“โอ๊ยยย” หลวงพี่หลุดตะโกนออกมาเพราะตกใจ เพราะหลังจากที่หันหน้ามาก็เจอร่างชายวัยรุ่นที่เมื่อกี้ที่กำลังเดินอยู่ไกลๆตอนนี้มานั่งจ้องหน้าหลวงพี่อยู่ใกล้ๆ เนื้อตัวมอมแมม เลือดก็ยังไหลออกจากท้องเรื่อยๆ หลวงพี่ไม่กล้าสบตา จึงหลับตาไป เพื่อจะสื่อสารกัน
“มีไรให้อาตมาช่วยไหมโยม” หลวงพี่แข็งใจพยายามสื่อสาร แต่ชายวัยรุ่นไม่ตอบ ได้ยินแต่เสียงลมหายใจ จากนั้นก็เป็นเสียงเหมือนกำลังกินอะไรสักอย่าง แล้วกลิ่นเหม็นเน่าก็คลุ้งไปทั่ว หลวงพี่หรี่ตามองนิดนึง เห็นร่างนั้นกำลังแลบลิ้นกินเลือดที่ไหลจากท้องตัวเอง คราบเลือดเยิ้มเต็มปาก
“อาตมาไม่มีวิชาอาคมที่จะสื่อสารกับโยมหรอกนะ อาตมาจึงไม่รู้สาเหตุที่โยมเป็นเช่นนี้ อาตมาจะแผ่เมตตาให้ ขาดเหลืออะไรก็เข้าฝันบอกอาตมาก็แล้วกัน” หลวงพี่เปล่งเสียงออกไป พร้อมกับสวดแผ่เมตตา พอแผ่เมตตาจบหลวงพี่ลืมตาขึ้นก็ไม่เจอร่างนั้นแล้ว
รุ่งเช้าหลวงพี่ก็ออกธุดงค์ต่อ ไม่เจอเหตุการณ์แบบนี้อีกเลยจนการธุดงค์สิ้นสุด หลวงพี่มารู้ข่าวทีหลังว่าที่ดอยลูกนั้น มีกลุ่มวัยรุ่นมาสังสรรค์กันแล้วก็เล่นไพ่ เล่นไปเล่นมาเกิดมีปากเสียงกัน บานปลายจนต้องทำร้ายกัน มีคนตาย 1 คนถูกแทงเข้าที่ช่องท้อง จมกองเลือดอยู่กลางดอย
ธุดงค์ครั้งแรก