อลเวงรักสองภพ
โดย...ล. วิลิศมาหรา
นึกว่าจะมีแต่เรื่องรักสามเส้าของพญาพิมพิสารที่เกิดเหตุชิงรักหักสวาทกันระหว่างเจ้าย่ากับน้องสาวของท่านเสียอีก ที่ไหนได้ หนุ่มน้อยหน้าขาวเพื่อนต่างชนชั้นคนใหม่ของช่อชบาก็โดนรักสามเส้าเล่นงานเอากับเขาด้วยเหมือนกัน ที่รู้ก็เพราะเมื่อขบวนเสด็จของเจ้าย่ากลับจากไปเยี่ยมบ้านเกิดมาถึงตำหนัก ช่อชบาก็ได้พบกับคู่ชิงหัวใจของสีมอยเข้าที่นั่น
“ไหว้สาเจ้าข้า แม่นายเจ้าย่า”
ที่หน้าตำหนักมีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งคาดว่าจะมียศถาบรรดาศักดิ์อยู่ในเวียงวังแห่งนี้ สังเกตได้จากการแต่งเนื้อแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแพรพรรณอย่างดี ใส่เครื่องประดับแพรวพราวเต็มตัว และมีบ่าวหญิงคนหนึ่งนั่งยองๆ คอยรับใช้อยู่ข้างๆ ยืนรออยู่ เธอผู้นี้มีรูปร่างเตี้ยล่ำ ตาตี่เล็ก ผิวคล้ำกว่าหญิงสาวสูงศักดิ์คนอื่นที่ช่อชบาเคยผ่านตามา หน้าตาบ้านๆ กว่าคนอื่นมาก ไม่ว่าจะเป็นพระธิดาฝาแฝดหรือสีมอย แม้กระทั่งพี่เลี้ยงรื่นโรยก็ยังดูหน้าตาดีกว่าเสียอีก...ยกเว้นก็แต่นางเกี๋ยงที่ตัวเองมาติดกับอยู่ในร่างนี่แหละ ที่มีหน้าตาอุบาทว์ที่สุด คะเนด้วยสายตาแล้วคงจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับสีมอย
“ไหว้พระเถอะเจ้า”
ท่านผู้นั่งอยู่บนเสลี่ยงค้อมเศียรให้น้อยๆ เมื่อบ่าวหามเสลี่ยงวางลงบนพื้นท่านจึงก้าวลงมายืน หญิงคนนั้นรีบกระวีกระวาดเข้ามาช่วยพยุง พลางชายหางตามองหน้าใสสะอาดของหนุ่มน้อยที่ยืนวางท่าหล่ออยู่ข้างเสลี่ยง
“ไหว้สาแม่นายทิพย์เจ้าข้า”
ชายหนุ่มประณมมือไหว้แค่อก กล่าวแสดงความเคารพแล้วก็ทำหน้านิ่งๆ แต่สีมอยที่ยืนข้างเขากลับออกอาการตัวหงอ ร่างบางของเจ้าหล่อนถอยหลังห่างคนรักออกมาในทันใด ซึ่งทำให้ช่อชบานึกเอะใจว่าหญิงผู้มาใหม่จะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับคนในตำหนักหลังนี้ โดยเฉพาะกับหนุ่มรูปงาม
“แหม...ไม่ต้องไหว้ข้าเจ้าหรอกพี่น้อยศิลป์ เราอายุเท่ากัน แล้วข้าเจ้าไม่ถือตัวว่าต่างศักดิ์กันกับท่าน” หล่อนบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนดัดให้อ่อนหวาน
“อย่าพูดเช่นนั้นเลย แม่นายทิพย์เกสรเป็นธิดาของพระยาจ่าบ้านเจ้าสิงห์คำ ท่านจะนับข้าน้อยเป็นพี่เป็นเชื้อหาได้ไม่”
“ทำไมจะไม่ได้เล่า น้อยศิลป์เป็นน้องชายของเจ้าย่า ซึ่งมีศักดิ์เป็นมเหสีของเจ้าลุงของข้า ตระกูลเราดองกันเยี่ยงนี้ที่ไหนท่านยังทำตัวเหินห่าง ข้าเจ้านี้น้อยใจนัก”
ตัดพ้อด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดพลางทำตาแดงๆ ประกอบคำพูด แต่หนุ่มหน้าขาวเหมือนไม่ยินดียินร้ายกับท่าทีเรียกร้องความสนใจแบบนั้น คงยืนทำหน้านิ่งไม่ตอบว่าอะไรอีก เจ้าย่ามองหน้าคนทั้งคู่สลับกันแล้วถอนพระทัยอย่างรำคาญ ตัดบทขึ้นว่า
“เอาล่ะๆ ไหว้กันก็ดีแล้ว ต่อไปแม่นายทิพย์ไหว้ตอบเสียก็สิ้นเรื่อง เออ...แล้วนี่เจ้ามารอนานแล้วฤา”
“มานานแล้วเจ้าข้า เสียดายนางอิ่มมันไปบอกช้า ข้าเจ้าเลยมาไม่ทันไปเยี่ยมพี่นางกายคำกับเจ้าย่าด้วย” เมื่อเห็นน้อยศิลป์ไชยไม่สนใจตัวเอง แม่สาวที่เจ้าย่าเรียกว่าแม่นายทิพย์ก็เลยหันมาอ้อนคนเป็นพี่สาวของเขาแทน
ช่อชบาจับตามองสถานการณ์เงียบๆ ฟังจากการทักทายกันก็พอรู้ว่า ระหว่างเจ้าของตำหนักกับผู้มาเยือนมีความสนิทสนมกันมาก ซึ่งนางอิ่มก็คงเป็นนางบ่าวที่ตามหล่อนมาด้วยแน่ๆ เพราะพอถูกพาดพิงถึงนางก็เงยหน้าขึ้นมองคนพูดด้วยสายตาบอกชัดถึงความกังขาว่า
...สตอร์แล้วมั้ยล่ะ ตูไปเกี่ยวอะไรด้วยว้า...
“อืม นึกว่าน้อยศิลป์ชวนเจ้าแล้วเสียอีก ทีแรกเห็นบอกจะไปชวนพระธิดาแฝด ยังนึกอยู่เลยว่าไปคราวนี้ขบวนเสด็จคงยาว เพราะไปกันหลายคน สุดท้ายไม่ยักมีใครไปด้วย ติดขัดธุระกันหมด แต่ไม่เป็นไรไปวันใหม่ก็ได้...แล้วนี่มารออยู่ตั้งแต่เช้า เจ้าได้กินข้าวกินปลามื้อเที่ยงหรือยัง”
ราวกับรอให้ผู้สูงวัยกว่ากล่าวชวนอยู่แต่แรก หล่อนรีบสั่นหน้า ยินดีเสียจนดวงตาหยีเล็กเปล่งประกายวิบวับ
“ยังเลยเจ้าข้า กำลังหิวพอดี คิดว่าจะกลับเรือนไปอยู่แล้วเพราะล่วงเข้าถึงยามบ่าย แต่นางอิ่มมันยั้งไว้ว่าควรรออีกหน่อย ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ได้ไหว้สาเจ้าย่าวันนี้”
เป็นอีกครั้งที่บ่าวชื่ออิ่มเงยขึ้นมองหน้าเจ้านายตัวเอง แววตาบอกว่างงจัด
โธ่ถัง...ยังกับเป็นบ่าวก้นกระโถน โดนเจ้านายโยนใส่ทั้งน้ำหมากน้ำลาย...ช่อชบาแอบนึกขำในใจ
“เช่นนั้นก็กินข้าวเสียด้วยกันเลยนะเจ้า นี่ก็ยังไม่ได้กินกันมาสักคนเหมือนกัน สีมอย เอ็งกับนางอิ่มไปจัดสำรับมาสู่แม่นายทิพย์เกสรกินข้าวกับข้าบนเรือน อ้าว! แล้วนั่นน้อยศิลป์จะไปไหน ขึ้นไปกินข้าวบนเรือนกับพี่ก่อน กินเสร็จแล้วค่อยไป...”
ประโยคท้ายทรงหันมาเรียกอนุชาที่ขยับตัวจะตามสองนางกำนัล ซึ่งรับคำแล้วค้อมกายผ่านเจ้านายไปทางเรือนครัวอย่างรู้ทัน ทำให้หนุ่มหน้าขาวต้องหยุดชะงัก หันมายิ้มปุเลี่ยนให้คนเป็นพี่สาวแทน เจ้าย่าส่งค้อนขวับ ก่อนแตะไหล่หญิงมาใหม่ชวนให้ขึ้นบนเรือน
ช่อชบาจำต้องตามขึ้นไปนั่งพับเพียบอยู่กับพื้นเรือนด้วย วางกระโถนกับพานพระศรีที่สีมอยยัดใส่มือให้ก่อนจะตามนางอิ่มไปเรือนครัวลง ส่วนตาจับสังเกตหญิงสาวที่กำลังประจบประแจงเอาพระทัยเจ้าย่าอย่างสุดฝีมือ หล่อนประคองเจ้าย่าให้ประทับบนตั่งกลางห้อง ส่วนตัวเองนั่งลงเคียงข้าง แล้วถึงกับลงทุนบีบนวดพระเพลาโดยไม่เรียกหาบ่าวให้มาปรนนิบัติ ผู้หญิงคนนี้มีคำนำหน้าเป็น“แม่นาย” คล้ายกับที่คนอื่นเรียกเจ้าย่าว่า“แม่นาย” เช่นกัน ซึ่งคงจะเป็นการเรียกลำดับพระญาติห่างๆ ของเชื้อพระวงศ์ คล้ายกับคำนำหน้าชื่อว่าหม่อมหลวงในยุครัตนโกสินทร์กระมัง ซึ่งอีกเดี๋ยวสีมอยคงให้ความกระจ่างว่าเป็นพระญาติทางไหนกันแน่ แต่ในตอนนี้เดาออกไม่ยากว่า หล่อนมาดักรอน้องชายของเจ้าย่าต่างหาก หาใช่ตัวของเจ้าย่าอย่างที่หล่อนอ้างไม่
น้อยศิลป์ไชยตามมายอบตัวลงนั่งเคียงเจ้าย่าอีกข้าง เขาทำสีหน้ากระอักกระอ่วน ไม่ยอมมองมาทางคนที่กำลังนวดเฟ้นให้เจ้าย่า เป็นสัญญาณว่าหากจะทำให้ฝ่ายชายสนใจแล้วล่ะก็ แม่นายทิพย์ตาหยีคนนี้คงต้องใช้ฝีมืออีกมาก
“ได้ยินจากท่านพ่อว่าพี่นางกายคำไม่สบาย คงค่อยยังชั่วบ้างแล้วกระมังเจ้าข้า”
ซึ่งหล่อนก็ดูเหมือนรู้ตัว จึงถามอย่างใส่ใจคนในครอบครัวของอีกฝ่าย ส่วนสายตาแลเลยไปทางชายหนุ่มซึ่งยังคงนั่งทำหน้าตูม ไม่พูดไม่จา
“ก็ยังทรงๆ อยู่ กายคำป่วยคราวนี้หนักเอาการ ข้ากับน้อยศิลป์คงต้องหมั่นไปเยี่ยมเรื่อยๆ พรุ่งนี้ว่าจะให้หมอหลวงไปดูอาการอีกคน หมอยาในเมืองนี้ก็หามาจัดหยูกยาให้จนหมดทุกคนแล้วก็ยังไม่หายสักที”
“โอ...ป่วยมากเพียงนั้นเชียวหรือเจ้าข้า ถ้างั้นพรุ่งนี้ข้าเจ้าจะขอตามไปเยี่ยมด้วย เผื่อมีอะไรพอจะช่วยได้”
“ดีจริง เจ้าช่างมีน้ำใจ เออนี่ เจ้าว่ามาอย่างนี้ทำให้ข้านึกขึ้นได้ ที่บ้านโน้นบ่าวไพร่เห็นนายตัวเองป่วยก็พากันหลบหนี เหตุเพราะกายคำอยู่ตัวคนเดียวพวกมันเลยถือโอกาส บัดนี้เลยไม่มีคนอยู่ดูแล หนักที่บัวเงินต้องคอยป้อนข้าวป้อนน้ำให้ทุกมื้อจนไม่ได้กลับบ้านกลับช่อง ข้าใคร่ปรึกษากับท่านหาญบ้านสิงห์คำพ่อเจ้าสักหน่อย ว่าพอจะเจียดบ่าวให้ช่วยแบ่งเบาภาระบัวเงินสักคนสองคนได้หรือไม่”
“ได้สิเจ้าข้า เรื่องบ่าวแค่คนสองคนจะเป็นไรไป อีกหน่อย บ่าวบ้านข้าก็เหมือนบ่าวที่นี่อยู่แล้ว”
ตอบตกลงแทบจะในทันที คราวนี้เห็นชัดว่าหนุ่มหน้าขาวสะดุ้งโหยงแล้วหันมาทำหน้ายุ่ง จ้องหน้าแบนๆ กับตาหยีของแม่นายทิพย์เกสรอย่างไม่ชอบใจในคำพูด
“ไหนพี่นางบอกว่าจะทูลขอจากท้าวพิชัยมิใช่หรือเจ้าข้า ไปรบกวน
คนอื่น ทำไม” เขารีบถามสอดขึ้น จงใจเน้นคำว่าคนอื่น ซึ่งคำพูดแบบนั้นทำให้สีหน้าของแม่นายขี้เหร่ม่อยลง
“เอ๊ะ เจ้านี่ ก็ถ้าได้บ่าวจากท่านพระยาสิงห์คำจะมิดีกว่ารึ จะได้ไม่ต้องนำเรื่องนี้ไปกวนพระทัยท้าวท่าน เรื่องแค่นี้ยังคิดไม่ได้แล้วจะไปทำหน้าที่เป็น*หมื่นพรหมปัญญาได้อย่างไร”
ทรงเอ็ดน้องชายเสียงดัง ซึ่งกิริยาอาการแบบนี้ทำให้ช่อชบานึกแปลกใจ เพราะตั้งแต่แรกเจอ เธอไม่เคยได้ยินเจ้าย่าพูดจากระโชกดุใครเสียงดังมาก่อน ยิ่งน้องชายคนนี้ด้วยแล้วยิ่งไม่มีทาง เห็นท่านมักยิ้มแย้มให้เสมอ แม้คำตำหนิก็ยังอ่อนโยนแฝงความเอ็นดู ซึ่งหนุ่มหน้าขาวก็คงผิดสังเกตด้วยเช่นกัน จึงเห็นเขาจ้องมองพี่สาวอย่างแปลกใจ
ขณะนั้นเอง นางบ่าวทั้งหลายก็พากันยกสำรับกับข้าวเข้ามาพอดี สีมอยปูเสื่อสีสวยลาดลงกับพื้นไม้กระดาน ก่อนยกขันโตกวางตรงกลางเสื่อ บ่าวชื่ออิ่มยกขันเงินใส่น้ำล้างพระหัตถ์กับคนโทมาตั้ง บ่าวคนอื่นวางถาดใส่ผลไม้กับพานพระศรีลงตาม พร้อมด้วยถาดใส่เมี่ยงและบุหรี่ขี้โย เมื่อเห็นบ่าวตั้งขันโตกเสร็จเจ้าย่าก็เอ่ยชวนอนุชากับแม่นายทิพย์เกสรลงนั่งล้อมขันโตก ขณะที่นางบ่าวทั้งหมดกระถดตัวถอยหลังไปนั่งพับเพียบรอรับใช้ห่างๆ
“เดี๋ยว...” เสียงทักห้วนๆ ดังมาจากหญิงผู้เป็นแขก
“นังสีมอย เจ้าเอาขันมาล้างมือให้ข้าหน่อยสิ” บ่าวทุกคนรวมทั้งช่อชบาพากันหันไปมองสีมอยซึ่งนั่งหน้าซีดตัวสั่นน้อยๆ พร้อมกัน
เอาแล้วไง นางอิจฉาเริ่มออกโรง... ช่อชบาแสนสังเวชเมื่อเห็นเพื่อนสาวประคองขันใส่น้ำด้วยมือสั่นๆ ค่อยๆ ถัดตัวด้วยสองเข่าเข้าไปหาเจ้านาย ซึ่งช่อชบาแน่ใจว่าหล่อนไม่ชอบขี้หน้านางบ่าวคนโปรดของชายที่หล่อนหมายตาอยู่เป็นแน่
เวรแล้ว สีมอยเอ้ย...
ยังไม่จบตอนนะคะ
(เขียนได้วันละนิดละหน่อย แต่ลิก็อยากวางให้อ่านกันค่ะ ตามประสานักอยากเขียน อิอิ)
อลเวงรักสองภพ ตอนที่ 7
โดย...ล. วิลิศมาหรา
นึกว่าจะมีแต่เรื่องรักสามเส้าของพญาพิมพิสารที่เกิดเหตุชิงรักหักสวาทกันระหว่างเจ้าย่ากับน้องสาวของท่านเสียอีก ที่ไหนได้ หนุ่มน้อยหน้าขาวเพื่อนต่างชนชั้นคนใหม่ของช่อชบาก็โดนรักสามเส้าเล่นงานเอากับเขาด้วยเหมือนกัน ที่รู้ก็เพราะเมื่อขบวนเสด็จของเจ้าย่ากลับจากไปเยี่ยมบ้านเกิดมาถึงตำหนัก ช่อชบาก็ได้พบกับคู่ชิงหัวใจของสีมอยเข้าที่นั่น
“ไหว้สาเจ้าข้า แม่นายเจ้าย่า”
ที่หน้าตำหนักมีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งคาดว่าจะมียศถาบรรดาศักดิ์อยู่ในเวียงวังแห่งนี้ สังเกตได้จากการแต่งเนื้อแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแพรพรรณอย่างดี ใส่เครื่องประดับแพรวพราวเต็มตัว และมีบ่าวหญิงคนหนึ่งนั่งยองๆ คอยรับใช้อยู่ข้างๆ ยืนรออยู่ เธอผู้นี้มีรูปร่างเตี้ยล่ำ ตาตี่เล็ก ผิวคล้ำกว่าหญิงสาวสูงศักดิ์คนอื่นที่ช่อชบาเคยผ่านตามา หน้าตาบ้านๆ กว่าคนอื่นมาก ไม่ว่าจะเป็นพระธิดาฝาแฝดหรือสีมอย แม้กระทั่งพี่เลี้ยงรื่นโรยก็ยังดูหน้าตาดีกว่าเสียอีก...ยกเว้นก็แต่นางเกี๋ยงที่ตัวเองมาติดกับอยู่ในร่างนี่แหละ ที่มีหน้าตาอุบาทว์ที่สุด คะเนด้วยสายตาแล้วคงจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับสีมอย
“ไหว้พระเถอะเจ้า”
ท่านผู้นั่งอยู่บนเสลี่ยงค้อมเศียรให้น้อยๆ เมื่อบ่าวหามเสลี่ยงวางลงบนพื้นท่านจึงก้าวลงมายืน หญิงคนนั้นรีบกระวีกระวาดเข้ามาช่วยพยุง พลางชายหางตามองหน้าใสสะอาดของหนุ่มน้อยที่ยืนวางท่าหล่ออยู่ข้างเสลี่ยง
“ไหว้สาแม่นายทิพย์เจ้าข้า”
ชายหนุ่มประณมมือไหว้แค่อก กล่าวแสดงความเคารพแล้วก็ทำหน้านิ่งๆ แต่สีมอยที่ยืนข้างเขากลับออกอาการตัวหงอ ร่างบางของเจ้าหล่อนถอยหลังห่างคนรักออกมาในทันใด ซึ่งทำให้ช่อชบานึกเอะใจว่าหญิงผู้มาใหม่จะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับคนในตำหนักหลังนี้ โดยเฉพาะกับหนุ่มรูปงาม
“แหม...ไม่ต้องไหว้ข้าเจ้าหรอกพี่น้อยศิลป์ เราอายุเท่ากัน แล้วข้าเจ้าไม่ถือตัวว่าต่างศักดิ์กันกับท่าน” หล่อนบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนดัดให้อ่อนหวาน
“อย่าพูดเช่นนั้นเลย แม่นายทิพย์เกสรเป็นธิดาของพระยาจ่าบ้านเจ้าสิงห์คำ ท่านจะนับข้าน้อยเป็นพี่เป็นเชื้อหาได้ไม่”
“ทำไมจะไม่ได้เล่า น้อยศิลป์เป็นน้องชายของเจ้าย่า ซึ่งมีศักดิ์เป็นมเหสีของเจ้าลุงของข้า ตระกูลเราดองกันเยี่ยงนี้ที่ไหนท่านยังทำตัวเหินห่าง ข้าเจ้านี้น้อยใจนัก”
ตัดพ้อด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดพลางทำตาแดงๆ ประกอบคำพูด แต่หนุ่มหน้าขาวเหมือนไม่ยินดียินร้ายกับท่าทีเรียกร้องความสนใจแบบนั้น คงยืนทำหน้านิ่งไม่ตอบว่าอะไรอีก เจ้าย่ามองหน้าคนทั้งคู่สลับกันแล้วถอนพระทัยอย่างรำคาญ ตัดบทขึ้นว่า
“เอาล่ะๆ ไหว้กันก็ดีแล้ว ต่อไปแม่นายทิพย์ไหว้ตอบเสียก็สิ้นเรื่อง เออ...แล้วนี่เจ้ามารอนานแล้วฤา”
“มานานแล้วเจ้าข้า เสียดายนางอิ่มมันไปบอกช้า ข้าเจ้าเลยมาไม่ทันไปเยี่ยมพี่นางกายคำกับเจ้าย่าด้วย” เมื่อเห็นน้อยศิลป์ไชยไม่สนใจตัวเอง แม่สาวที่เจ้าย่าเรียกว่าแม่นายทิพย์ก็เลยหันมาอ้อนคนเป็นพี่สาวของเขาแทน
ช่อชบาจับตามองสถานการณ์เงียบๆ ฟังจากการทักทายกันก็พอรู้ว่า ระหว่างเจ้าของตำหนักกับผู้มาเยือนมีความสนิทสนมกันมาก ซึ่งนางอิ่มก็คงเป็นนางบ่าวที่ตามหล่อนมาด้วยแน่ๆ เพราะพอถูกพาดพิงถึงนางก็เงยหน้าขึ้นมองคนพูดด้วยสายตาบอกชัดถึงความกังขาว่า...สตอร์แล้วมั้ยล่ะ ตูไปเกี่ยวอะไรด้วยว้า...
“อืม นึกว่าน้อยศิลป์ชวนเจ้าแล้วเสียอีก ทีแรกเห็นบอกจะไปชวนพระธิดาแฝด ยังนึกอยู่เลยว่าไปคราวนี้ขบวนเสด็จคงยาว เพราะไปกันหลายคน สุดท้ายไม่ยักมีใครไปด้วย ติดขัดธุระกันหมด แต่ไม่เป็นไรไปวันใหม่ก็ได้...แล้วนี่มารออยู่ตั้งแต่เช้า เจ้าได้กินข้าวกินปลามื้อเที่ยงหรือยัง”
ราวกับรอให้ผู้สูงวัยกว่ากล่าวชวนอยู่แต่แรก หล่อนรีบสั่นหน้า ยินดีเสียจนดวงตาหยีเล็กเปล่งประกายวิบวับ
“ยังเลยเจ้าข้า กำลังหิวพอดี คิดว่าจะกลับเรือนไปอยู่แล้วเพราะล่วงเข้าถึงยามบ่าย แต่นางอิ่มมันยั้งไว้ว่าควรรออีกหน่อย ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ได้ไหว้สาเจ้าย่าวันนี้”
เป็นอีกครั้งที่บ่าวชื่ออิ่มเงยขึ้นมองหน้าเจ้านายตัวเอง แววตาบอกว่างงจัด โธ่ถัง...ยังกับเป็นบ่าวก้นกระโถน โดนเจ้านายโยนใส่ทั้งน้ำหมากน้ำลาย...ช่อชบาแอบนึกขำในใจ
“เช่นนั้นก็กินข้าวเสียด้วยกันเลยนะเจ้า นี่ก็ยังไม่ได้กินกันมาสักคนเหมือนกัน สีมอย เอ็งกับนางอิ่มไปจัดสำรับมาสู่แม่นายทิพย์เกสรกินข้าวกับข้าบนเรือน อ้าว! แล้วนั่นน้อยศิลป์จะไปไหน ขึ้นไปกินข้าวบนเรือนกับพี่ก่อน กินเสร็จแล้วค่อยไป...”
ประโยคท้ายทรงหันมาเรียกอนุชาที่ขยับตัวจะตามสองนางกำนัล ซึ่งรับคำแล้วค้อมกายผ่านเจ้านายไปทางเรือนครัวอย่างรู้ทัน ทำให้หนุ่มหน้าขาวต้องหยุดชะงัก หันมายิ้มปุเลี่ยนให้คนเป็นพี่สาวแทน เจ้าย่าส่งค้อนขวับ ก่อนแตะไหล่หญิงมาใหม่ชวนให้ขึ้นบนเรือน
ช่อชบาจำต้องตามขึ้นไปนั่งพับเพียบอยู่กับพื้นเรือนด้วย วางกระโถนกับพานพระศรีที่สีมอยยัดใส่มือให้ก่อนจะตามนางอิ่มไปเรือนครัวลง ส่วนตาจับสังเกตหญิงสาวที่กำลังประจบประแจงเอาพระทัยเจ้าย่าอย่างสุดฝีมือ หล่อนประคองเจ้าย่าให้ประทับบนตั่งกลางห้อง ส่วนตัวเองนั่งลงเคียงข้าง แล้วถึงกับลงทุนบีบนวดพระเพลาโดยไม่เรียกหาบ่าวให้มาปรนนิบัติ ผู้หญิงคนนี้มีคำนำหน้าเป็น“แม่นาย” คล้ายกับที่คนอื่นเรียกเจ้าย่าว่า“แม่นาย” เช่นกัน ซึ่งคงจะเป็นการเรียกลำดับพระญาติห่างๆ ของเชื้อพระวงศ์ คล้ายกับคำนำหน้าชื่อว่าหม่อมหลวงในยุครัตนโกสินทร์กระมัง ซึ่งอีกเดี๋ยวสีมอยคงให้ความกระจ่างว่าเป็นพระญาติทางไหนกันแน่ แต่ในตอนนี้เดาออกไม่ยากว่า หล่อนมาดักรอน้องชายของเจ้าย่าต่างหาก หาใช่ตัวของเจ้าย่าอย่างที่หล่อนอ้างไม่
น้อยศิลป์ไชยตามมายอบตัวลงนั่งเคียงเจ้าย่าอีกข้าง เขาทำสีหน้ากระอักกระอ่วน ไม่ยอมมองมาทางคนที่กำลังนวดเฟ้นให้เจ้าย่า เป็นสัญญาณว่าหากจะทำให้ฝ่ายชายสนใจแล้วล่ะก็ แม่นายทิพย์ตาหยีคนนี้คงต้องใช้ฝีมืออีกมาก
“ได้ยินจากท่านพ่อว่าพี่นางกายคำไม่สบาย คงค่อยยังชั่วบ้างแล้วกระมังเจ้าข้า”
ซึ่งหล่อนก็ดูเหมือนรู้ตัว จึงถามอย่างใส่ใจคนในครอบครัวของอีกฝ่าย ส่วนสายตาแลเลยไปทางชายหนุ่มซึ่งยังคงนั่งทำหน้าตูม ไม่พูดไม่จา
“ก็ยังทรงๆ อยู่ กายคำป่วยคราวนี้หนักเอาการ ข้ากับน้อยศิลป์คงต้องหมั่นไปเยี่ยมเรื่อยๆ พรุ่งนี้ว่าจะให้หมอหลวงไปดูอาการอีกคน หมอยาในเมืองนี้ก็หามาจัดหยูกยาให้จนหมดทุกคนแล้วก็ยังไม่หายสักที”
“โอ...ป่วยมากเพียงนั้นเชียวหรือเจ้าข้า ถ้างั้นพรุ่งนี้ข้าเจ้าจะขอตามไปเยี่ยมด้วย เผื่อมีอะไรพอจะช่วยได้”
“ดีจริง เจ้าช่างมีน้ำใจ เออนี่ เจ้าว่ามาอย่างนี้ทำให้ข้านึกขึ้นได้ ที่บ้านโน้นบ่าวไพร่เห็นนายตัวเองป่วยก็พากันหลบหนี เหตุเพราะกายคำอยู่ตัวคนเดียวพวกมันเลยถือโอกาส บัดนี้เลยไม่มีคนอยู่ดูแล หนักที่บัวเงินต้องคอยป้อนข้าวป้อนน้ำให้ทุกมื้อจนไม่ได้กลับบ้านกลับช่อง ข้าใคร่ปรึกษากับท่านหาญบ้านสิงห์คำพ่อเจ้าสักหน่อย ว่าพอจะเจียดบ่าวให้ช่วยแบ่งเบาภาระบัวเงินสักคนสองคนได้หรือไม่”
“ได้สิเจ้าข้า เรื่องบ่าวแค่คนสองคนจะเป็นไรไป อีกหน่อย บ่าวบ้านข้าก็เหมือนบ่าวที่นี่อยู่แล้ว”
ตอบตกลงแทบจะในทันที คราวนี้เห็นชัดว่าหนุ่มหน้าขาวสะดุ้งโหยงแล้วหันมาทำหน้ายุ่ง จ้องหน้าแบนๆ กับตาหยีของแม่นายทิพย์เกสรอย่างไม่ชอบใจในคำพูด
“ไหนพี่นางบอกว่าจะทูลขอจากท้าวพิชัยมิใช่หรือเจ้าข้า ไปรบกวน คนอื่น ทำไม” เขารีบถามสอดขึ้น จงใจเน้นคำว่าคนอื่น ซึ่งคำพูดแบบนั้นทำให้สีหน้าของแม่นายขี้เหร่ม่อยลง
“เอ๊ะ เจ้านี่ ก็ถ้าได้บ่าวจากท่านพระยาสิงห์คำจะมิดีกว่ารึ จะได้ไม่ต้องนำเรื่องนี้ไปกวนพระทัยท้าวท่าน เรื่องแค่นี้ยังคิดไม่ได้แล้วจะไปทำหน้าที่เป็น*หมื่นพรหมปัญญาได้อย่างไร”
ทรงเอ็ดน้องชายเสียงดัง ซึ่งกิริยาอาการแบบนี้ทำให้ช่อชบานึกแปลกใจ เพราะตั้งแต่แรกเจอ เธอไม่เคยได้ยินเจ้าย่าพูดจากระโชกดุใครเสียงดังมาก่อน ยิ่งน้องชายคนนี้ด้วยแล้วยิ่งไม่มีทาง เห็นท่านมักยิ้มแย้มให้เสมอ แม้คำตำหนิก็ยังอ่อนโยนแฝงความเอ็นดู ซึ่งหนุ่มหน้าขาวก็คงผิดสังเกตด้วยเช่นกัน จึงเห็นเขาจ้องมองพี่สาวอย่างแปลกใจ
ขณะนั้นเอง นางบ่าวทั้งหลายก็พากันยกสำรับกับข้าวเข้ามาพอดี สีมอยปูเสื่อสีสวยลาดลงกับพื้นไม้กระดาน ก่อนยกขันโตกวางตรงกลางเสื่อ บ่าวชื่ออิ่มยกขันเงินใส่น้ำล้างพระหัตถ์กับคนโทมาตั้ง บ่าวคนอื่นวางถาดใส่ผลไม้กับพานพระศรีลงตาม พร้อมด้วยถาดใส่เมี่ยงและบุหรี่ขี้โย เมื่อเห็นบ่าวตั้งขันโตกเสร็จเจ้าย่าก็เอ่ยชวนอนุชากับแม่นายทิพย์เกสรลงนั่งล้อมขันโตก ขณะที่นางบ่าวทั้งหมดกระถดตัวถอยหลังไปนั่งพับเพียบรอรับใช้ห่างๆ
“เดี๋ยว...” เสียงทักห้วนๆ ดังมาจากหญิงผู้เป็นแขก
“นังสีมอย เจ้าเอาขันมาล้างมือให้ข้าหน่อยสิ” บ่าวทุกคนรวมทั้งช่อชบาพากันหันไปมองสีมอยซึ่งนั่งหน้าซีดตัวสั่นน้อยๆ พร้อมกัน
เอาแล้วไง นางอิจฉาเริ่มออกโรง... ช่อชบาแสนสังเวชเมื่อเห็นเพื่อนสาวประคองขันใส่น้ำด้วยมือสั่นๆ ค่อยๆ ถัดตัวด้วยสองเข่าเข้าไปหาเจ้านาย ซึ่งช่อชบาแน่ใจว่าหล่อนไม่ชอบขี้หน้านางบ่าวคนโปรดของชายที่หล่อนหมายตาอยู่เป็นแน่
เวรแล้ว สีมอยเอ้ย...
(เขียนได้วันละนิดละหน่อย แต่ลิก็อยากวางให้อ่านกันค่ะ ตามประสานักอยากเขียน อิอิ)