เพราะได้อ่าน กระทู้แนะนำ ถ้าธรรมเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนที่เที่ยงแท้ แล้วใครรับผลของกรรม?
https://ppantip.com/topic/36609323
(ช่วงนี้ผมไม่ค่อยมีเวลา ติดพันกับงาน)
แต่จะพิมพ์สนทนา ก็เห็นว่า จะมีปัญหาในการแตกประเด็นเกินไป จึงขอตั้งกระทู้ใหม่ขึ้น.
ผมขอกล่าว แบบ ภาษาทั่วไป ว่า.
เพราะมีอวิชชา จึงมีสังขาร วิญาณ นามรูป ก็คือสัมพันธ์กับ ขันธ์ 5 เหมือนเป็นเนื้อเดียวกัน
และขันธ์ 5 ก็เกิดจากมี อวิชชา ที่ก่อเกิดเป็นร่างกายตัวตน ที่เจริญขึ้น พร้อมกับมี อุปทานขันธ์ ร่วมกันเหมือนเป็นเนื้อเดียวกัน.
หวังว่า... คงพอเข้าใจแยกออกดังที่ผมเสนอ ก็คือ ขันธ์ 5 กับ อุปทานขันธ์ นั้นคนละอย่างกัน แต่ร่วมกันอยู่เหมือนเป็นเนื้อเดียวกัน.
ปุถุชนที่มีชีวิตอยู่ นั้นก็จะมีวงจรของ ขันธ์ 5 และ อุปทานขันธ์ นั้นอยู่ร่วมกันสัมพันธ์กันไป
พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ ก็จะมีแต่วงจรของ ขันธ 5 อย่างเดียว เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วิสุทธิขันธ์ เพราะวงจร อุปทานขันธ์นั้นไม่ปรากฏอีกแล้ว เพราะความสิ้นไปของอวิชชา
ความต่างกัน ของ ขันธ์ 5 กับ อุปทานขันธ์ แม้ทั้ง 2 นั้นมี จุดเริ่มที่เกิดจาก อวิชชาเช่นเดียวกัน แต่ก็ต่างกันคือ.
อุปทานขันธ์ นั้นหล่อเลี้ยงอยู่ได้ ก็เพียงอวิชชา เพียงอย่างเดียว.
ส่วน ขันธ์ 5 เมื่อปรากฏขึ้นแล้วมีร่างกายตัวตน เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย ก็จะถูกหล่อเลี้ยงด้วย อวิชชา(อุปทานธันธ์) กับสิ่งแวดล้อมคือ อาหาร อายุ ไออุ่น อุตุ(สภวะที่เอื่อต่อการดำรงชีพ ทั้งอุ่นหภูมิ อากาศ แร่ธาตุ ฯลฯ)
ดังนั้นท่านที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ แม้หมดสิ้ันอวิชชาและอุปทานขันธ์ไปแล้ว ย่อมยังดำรงชีพอยู่ได้ ตามวาสนา ด้วย อาหาร อายุ ไออุ่น อุตุ จึงไม่ต้องสิ้นชีพไปทันที เหมือน อวิชชา และอุปทานขันธ์ ที่สิ้นไป.
ก็หมายความว่า พระอรหันต์เมื่อยังดำรงชีพอยู่ ท่านก็ต้อง ยังกระทำกิจวัตรประจำของท่านอย่างปกติ กิน พูด เดิน ยืน นั่ง นอน คือ วิสุทธิขันธ์(ขันธ์ 5) ทำหน้าที่เป็นปกติ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อร่างกายสังขารท่าน และผู้อื่น ได้เป็นปกติ
ก็คือการกระทำของท่าน ย่อมเกิดผลต่อสังขารท่าน ต่อผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม ที่ได้รับผลต่างๆ ในการกระทำของท่านได้อยู่ แต่ใจท่านไม่ติดไม่ยึดสงบสันติ จึงไม่เป็นวิบากกรรมเกิดขึ่นกับท่าน ที่จะส่งผลให้เกิดต่อไป มีสิ้นชีพ(ขันธ์แตกดับ หรือตาย)ไปแล้ว
แต่เมื่อยังมีชีพอยู่ ขันธ์นั้นก็ยังรับผลวิบากกรรมเก่าได้อยู่ และยังได้รับผลที่ขันธ์นั้นได้กระทำในปัจจุบันที่ดำรงชีพได้อยู่ เช่นท่านไม่ทานอาหาร ท่านก็ต้องมีเวทนาคือหิว หรือไม่มีเรี่ยวแรง ท่านไปนอนที่เย็น หรือร้อนเกินไปท่านก็ป่วย ลำบากกายได้อยู่ ก็เป็นผลในการกระทำของขันธ์ในปัจจุบันที่มีชีพอยู่นั้นเอง แม้ท่านจะหมดสิ้นกิเลสแล้วสังขารยังมีเวทนาเป็นทุกข์ แต่ท่านเป็นผู้ที่พ้นแล้ว นิพพานอยู่ แม้จะยังมีชีวิต หรือดับสิ้นชีวิตไปแล้วนั้นเอง.
พระอรหันต์กระทำ ย่อมไม่เกิดกรรมที่เป็นวิบาก แต่มีผลกับร่างกายสังขารท่าน และผู้อื่นร่วมทั้งสิ่งแวดล้อม.
https://ppantip.com/topic/36609323
(ช่วงนี้ผมไม่ค่อยมีเวลา ติดพันกับงาน)
แต่จะพิมพ์สนทนา ก็เห็นว่า จะมีปัญหาในการแตกประเด็นเกินไป จึงขอตั้งกระทู้ใหม่ขึ้น.
ผมขอกล่าว แบบ ภาษาทั่วไป ว่า.
เพราะมีอวิชชา จึงมีสังขาร วิญาณ นามรูป ก็คือสัมพันธ์กับ ขันธ์ 5 เหมือนเป็นเนื้อเดียวกัน
และขันธ์ 5 ก็เกิดจากมี อวิชชา ที่ก่อเกิดเป็นร่างกายตัวตน ที่เจริญขึ้น พร้อมกับมี อุปทานขันธ์ ร่วมกันเหมือนเป็นเนื้อเดียวกัน.
หวังว่า... คงพอเข้าใจแยกออกดังที่ผมเสนอ ก็คือ ขันธ์ 5 กับ อุปทานขันธ์ นั้นคนละอย่างกัน แต่ร่วมกันอยู่เหมือนเป็นเนื้อเดียวกัน.
ปุถุชนที่มีชีวิตอยู่ นั้นก็จะมีวงจรของ ขันธ์ 5 และ อุปทานขันธ์ นั้นอยู่ร่วมกันสัมพันธ์กันไป
พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ ก็จะมีแต่วงจรของ ขันธ 5 อย่างเดียว เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วิสุทธิขันธ์ เพราะวงจร อุปทานขันธ์นั้นไม่ปรากฏอีกแล้ว เพราะความสิ้นไปของอวิชชา
ความต่างกัน ของ ขันธ์ 5 กับ อุปทานขันธ์ แม้ทั้ง 2 นั้นมี จุดเริ่มที่เกิดจาก อวิชชาเช่นเดียวกัน แต่ก็ต่างกันคือ.
อุปทานขันธ์ นั้นหล่อเลี้ยงอยู่ได้ ก็เพียงอวิชชา เพียงอย่างเดียว.
ส่วน ขันธ์ 5 เมื่อปรากฏขึ้นแล้วมีร่างกายตัวตน เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย ก็จะถูกหล่อเลี้ยงด้วย อวิชชา(อุปทานธันธ์) กับสิ่งแวดล้อมคือ อาหาร อายุ ไออุ่น อุตุ(สภวะที่เอื่อต่อการดำรงชีพ ทั้งอุ่นหภูมิ อากาศ แร่ธาตุ ฯลฯ)
ดังนั้นท่านที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ แม้หมดสิ้ันอวิชชาและอุปทานขันธ์ไปแล้ว ย่อมยังดำรงชีพอยู่ได้ ตามวาสนา ด้วย อาหาร อายุ ไออุ่น อุตุ จึงไม่ต้องสิ้นชีพไปทันที เหมือน อวิชชา และอุปทานขันธ์ ที่สิ้นไป.
ก็หมายความว่า พระอรหันต์เมื่อยังดำรงชีพอยู่ ท่านก็ต้อง ยังกระทำกิจวัตรประจำของท่านอย่างปกติ กิน พูด เดิน ยืน นั่ง นอน คือ วิสุทธิขันธ์(ขันธ์ 5) ทำหน้าที่เป็นปกติ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อร่างกายสังขารท่าน และผู้อื่น ได้เป็นปกติ
ก็คือการกระทำของท่าน ย่อมเกิดผลต่อสังขารท่าน ต่อผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม ที่ได้รับผลต่างๆ ในการกระทำของท่านได้อยู่ แต่ใจท่านไม่ติดไม่ยึดสงบสันติ จึงไม่เป็นวิบากกรรมเกิดขึ่นกับท่าน ที่จะส่งผลให้เกิดต่อไป มีสิ้นชีพ(ขันธ์แตกดับ หรือตาย)ไปแล้ว
แต่เมื่อยังมีชีพอยู่ ขันธ์นั้นก็ยังรับผลวิบากกรรมเก่าได้อยู่ และยังได้รับผลที่ขันธ์นั้นได้กระทำในปัจจุบันที่ดำรงชีพได้อยู่ เช่นท่านไม่ทานอาหาร ท่านก็ต้องมีเวทนาคือหิว หรือไม่มีเรี่ยวแรง ท่านไปนอนที่เย็น หรือร้อนเกินไปท่านก็ป่วย ลำบากกายได้อยู่ ก็เป็นผลในการกระทำของขันธ์ในปัจจุบันที่มีชีพอยู่นั้นเอง แม้ท่านจะหมดสิ้นกิเลสแล้วสังขารยังมีเวทนาเป็นทุกข์ แต่ท่านเป็นผู้ที่พ้นแล้ว นิพพานอยู่ แม้จะยังมีชีวิต หรือดับสิ้นชีวิตไปแล้วนั้นเอง.