ลุยเดี่ยวเที่ยวทั่วโลก ฉบับ “หนีร้อนจากไทย ไปตากไอแดดที่ Ethiopia” ตอนที่ 6: เกี่ยวแขนเพื่อนใหม่ไป Aksum


ตอนที่ 0: สารบัญการเดินทาง
https://ppantip.com/topic/36464768
ตอนที่ 1: ซินเดอเรลล่าชะเง้อหาราชรถฟักทองท่อง Addis Ababa
https://ppantip.com/topic/36464848
ตอนที่ 2: Danakil เตาอบขนาดใหญ่ในเอธิโอเปีย
https://ppantip.com/topic/36464894
ตอนที่ 3: สีสันแห่งซัลเฟอร์ที่ Dallol
https://ppantip.com/topic/36465028
ตอนที่ 4: Erta Ale มนต์เสน่ห์ “ออนเซน” แอฟริกา
https://ppantip.com/topic/36471880
ตอนที่ 5: โบกมืออำลาแก๊งค์ช้าง ช้าง ช้าง...See you!
https://ppantip.com/topic/36482464


    วันนี้มีเรา คนเยอรมัน และคู่รักอิสราเอลที่จะนั่งรถไป Aksum ด้วยกัน สาวเยอรมันเป็นคนเดียวในกลุ่มที่มีประสบการณ์นั่งรถ Local ของที่นี่มาแล้ว และคำแนะนำจากเธอคือ “ประตูเปิดปุ๊บ เล็งรถ แล้ววิ่ง” ที่เหลือมองหน้ากัน “มันต้องวิ่งด้วยเหรอ?” ในเมื่อผู้เชี่ยวชาญแนะนำเราก็พร้อมทำตาม พวกเราถึงหน้าท่ารถประมาณ 5:30 น. ประตูยังปิดอยู่ คนเริ่มมาออหน้าประตูมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเราถามคนเฝ้าประตูว่าไป Aksum ต้องนั่งรถคันไหน หลังจากได้เป้าหมายปุ๊บ เราก็รอเวลาที่ประตูเปิด พอถึงเวลา 6 โมงนิดๆ เจ้าหน้าที่ด้านในก็เปิดประตู แล้วภาพที่เห็นคือคนเอธิโอเปียวิ่งกรูแข่งกันไปที่รถประหนึ่งรถคือเส้นชัยในโอลิมปิก ส่วนเราถือคติ “When in Rome do as Romans do” และแน่นอนว่าในจำนวน 4 คนเราก็วิ่งถึงเป็นคนสุดท้ายตามที่คาด พอได้ที่นั่งปุ๊บหันไปมองรอบๆ “จะวิ่งทำไมเนี่ย???? ที่นั่งยังว่างเยอะมาก!!!” แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าต้องยืนไปอีกหลายชั่วโมงแหละเน๊อะ

    รถออกเกือบ 6 โมงครึ่ง วิ่งมาได้ครู่หนึ่งก็แวะพักให้กินข้าว แต่พอทุกคนเห็นสภาพร้านแล้วเลยขอบายไปนั่งจิบกาแฟข้างทางกันดีกว่า ส่วนคนที่ไม่กินกาแฟอย่างเราก็เดินเล่นแถวนั้น ซื้อกล้วยมาเป็นเสบียง เพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่ช่วงบ่ายเมื่อวาน



    พอล้อรถหมุนอีกรอบ หนุ่มเอธิโอเปียที่นั่งด้านหลังเราก็ใจดี เป็นไกด์แนะนำสองข้างทางให้กับพวกเรา ทำให้รู้ว่าถึงเราจะไม่ได้ไป Hawzien แต่รถคันนี้ก็ผ่านด้านหลัง Rock Hewn Churches ของกลุ่มที่อยู่ฝั่งตะวันตกของ Tigray เหมือนกัน เราจึงมโนว่าเราได้มาที่ Rock Hewn Churches of Tigray แล้ว


    เกือบเที่ยงรถก็พาเรามาถึงเมือง Aksum ที่เมืองนี้คือไม่ได้จองโรงแรม ไม่ได้คิดว่าจะไปโรงแรมยังไง แต่พอดูจากในแผนที่แล้วก็คิดว่า “ชั้นเดินได้” และก็มีโรงแรมในใจแล้ว ซึ่งเป็นโรงแรมเดียวกับเพื่อนเยอรมัน แต่เพื่อเยอรมันมีรถมารับไปส่งถึงโรงแรม ส่วนเรา...ก็หน้าด้านๆ ขอติดรถเค้าไปนั่นแหละ 555    

    สาวเยอรมันเล่าว่าเธอจ้างไกด์ส่วนตัวนำเที่ยว 600 Birr เราจะ join ด้วยก็ได้ เราก็ว่าดีเหมือนกันเพราะหารกันแล้วเหลือแค่ 300 Birr ซึ่งก็ไม่ถูกไม่แพงจนเกินไป พอตกปากรับคำเสร็จกลายเป็นว่าไกด์คิดเราคนละ 600 Birr แถมไม่รวมตั๋วเข้า Church อีก ราคานี้แพงเวอร์ๆ แต่รับปากไปแล้วก็ต้องไป เรามีเวลาเก็บของกินข้าว และเจอไกด์อีกทีตอนบ่ายโมงตรง และตอนนี้เองที่เราคิดว่า “ชั้นจะกินให้หายอยาก!!!”

ณ ร้านอาหารตรงข้ามโรงแรม ร้านเดียวที่เปิดอยู่ในตอนนั้น
เรา:   “ข้าวกับไก่” 
พนักงาน: ไม่มี!
เรา:   งั้นเอา “เบอเกอร์ไก่” 
พนักงาน: ไม่มี!
เรา:  "อะไรก็ได้ที่เป็นไก่ ที่ทำจากไก่ จากปลา เอาๆ มาเหอะ” 
พนักงาน: ไม่มี!

สรุปว่าช่วงนี้เป็นช่วงก่อน Easter มีแต่อาหาร Fasting ขาย และด้วยความที่ไม่ใช่คนคริสต์เลยเหวอมากๆ Fasting คืออะไร? ความรู้เกี่ยวกับ Easter ที่มีมาตลอดชีวิตคือ “ไข่” รู้แค่นั้นเลย สมัยอยู่โรงเรียน (คาทอลิก) ก่อน Easter เพื่อนๆ ก็ไม่เห็นมีใครจะหยุดกินเนื้อสัตว์ แล้วนี่คืออะไร? ใครก็ได้ช่วยด้วย!!!! และเพื่อนชาวเยอรมันของเราก็ไขความกระจ่างว่า “ช่วงนี้ยูต้องกินมังฯ ไปก่อนนะจ๊ะ” ประโยคนี้เหมือนมีกระแสไฟช็อตผ่านจากหูขวาทะลุหูซ้าย อยากจะหูหนวกชั่วคราว แล้วทำเป็นไม่รับรู้ประโยคนั้น “งั้น เอาข้าวผัดผักค่ะ” ชีวิตจะมีอะไรที่ต้องฝืนใจตัวเองมากกว่านี้อีกมั๊ย (ดราม่าจริงจัง)


          เราเริ่มทัวร์ตอนบ่ายโมงครึ่งและจบที่สามโมงกว่าๆ เป็นทัวร์ที่รวดเร็วปานจรวด และไกด์มีความรู้เท่าหางอึ่ง คือพูดเกริ่นเรื่องแล้วอ่านตามป้ายหน้าสถานที่เที่ยวให้เราฟัง เริ่มจากที่แรก Northern Stelae Park จะมี Stelae อยู่ 3 ต้น
1.     ต้นที่ล้มอยู่นั้นเป็นต้นที่มีขนาดใหญ่สุด แกะสลักจากหินก้อนเดียว แต่เนื่องจากน้ำหนักมาก แต่ฐานค่อนข้างแคบ ทำให้รับน้ำหนักไม่ได้จนล้มลงมา
2.    ต้นกลางเคยถูกอิตาลีมาเอาไปสมัยที่เอธิโอเปียแพ้ส่งครามโลก โดยการขนส่งจะตัดออกเป็นสามท่อน จะเห็นได้ว่าสีของต้นกลางดูค่อนข้างใหม่ คาดว่าน่าจะเป็นเพราะสภาพอากาศในอิตาลีรวามถึงวิธีการเก็บรักษาที่ทำให้ต้นกลางดูสะอาดและใหม่กว่าต้นอื่นๆ
3.    ต้นขวามือซึ่งไม่เคยถูกเคลื่อนย้ายไปไหนเลย
เสา Stelae มีไว้เพื่อบ่งบอกว่าด้านล่างนี้เป็นที่เก็บศพของกษัตริย์ และวงศาคณาญาติ แนวคิดนี้มีก่อนคริสตกาลเสียอีก


          ด้านล่างที่ฐานจะมีทางเข้า มุดลงไปด้านล่างจะเห็นพื้นที่ถูกแบ่งเป็นห้องต่างๆ ห้องพวกนี้ใช้สำหรับเก็บศพของกษัตริย์ และเชื้อพระวงศ์ เสาต้นแรกที่ล้มลงมาได้สร้างความเสียหาให้กับห้องด้านล่าง ทาง UNESCO จึงได้เข้ามาและบูรณะบางส่วนโดยการโบกปูนบิดทางเข้าของห้องบางห้องทิ้งไป


    จากนั้นด้านข้างของกลุ่มเสาสามต้นนี้ จะมี “ประตูทะลุมิติ โดเรม่อน”  เอิ่ม...ไม่ใช่ค่ะ เป็นประตูลวงอะไรซะอย่าง ซึ่งจำข้อมูลไม่ได้แล้ว



    จากนั้นก็เดินไปฝั่งตรงข้ามให้เจ็บใจเล่นๆ เพราะไม่ได้เข้าไป ตรงข้ามคือ Church of St. Mary of Zion ที่ได้แต่เกาะรั้วมองอยู่ด้านนอก แต่ถ้ายอมจ่ายเงินเสียค่าเข้าก็จะเข้าไปดูโบสถ์ต่างๆ ได้ (ประมาณ200-250 Birr) แต่ถึงแม้จะเข้าไปแล้วถ้าเป็นผู้เหญิงก็ได้แต่เดินดูรอบๆ โบสถ์เท่านั้น ไม่สามารถเข้าไปด้านในได้ ส่วนผู้ชายสามารถเข้าไปในตัวโบสถ์ได้เลย

ภาพที่ถ่ายจากฝั่ง Stelae

    จบจากที่ Northern Stelae Park แล้วเราก็จะไปต่อกันที่ Tombs of Kings Kaleb and Gebre Meskal ตามด้วย King Ezana's inscription  และ Queen of Sheba's Bath และ Queen of Sheba's Palace ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลของทริปในวันนี้มันอยู่ใกล้ๆ กันมาก นอกจาก Queen of Sheba's Palace ที่จะอยู่ไกลออกไปประมาณ 3 กิโลเมตร ทุกที่มันอยู่ในระยะที่สามารถเดินได้ (สำหรับเรา) เลยอยากแนะนำว่า ไม่ต้องเหมารถ จ้างไกด์ ถ้ามันจะแพงขนาดนี้ เพราะค่าเข้าของทุกที่เป็นแบบเหมา ราคาจริงๆ แค่ 50 Birr และค่ารถสามล้อไปกลับก็ไม่เกิน 50 Birr ค่ะ รวมๆ แล้วถ้าไปเองจ่ายไม่ถึง 300 Birr ก็ได้เที่ยวทุกที่รวมถึง Church of St. Mary of Zion ด้วยค่ะ

ภาพจากมุมด้านหลัง Church

Tombs of Kings Kaleb and Gebre Meskal


วิวบริเวณด้านนอก Tombs ด้านหลังของภูเขาจะเป็นประเทศ Eritrea ซึ่งคนในเมือง Aksum จะพูดภาษาเดียวกันกับ Eritrea


        ออกจาก Tomb แล้วก็นั่งรถย้อนกลับมาเพื่อมาดู Queen of Sheba's Bath ซี่งราชินี Sheba โปรดที่จะมาอาบน้ำที่นี่เสมอ แม้ว่าระยะทางจากพระราชวังมาถึงที่นี่จะไกลถึง 3 กิโลเมตรก็ตาม ปัจจุบันสระแห่งนี้เป็นเสมือนแหล่งน้ำใจกลางหมู่บ้านที่ชาวบ้านจะมาตัดไปอุปโภค บริโภค



Queen of Sheba's Palace



    หมดจากทริปนี้แล้วเราก็คิดกันต่อว่าจะไป Gonder เลยในวันพรุ่งนี้ เพราะอยู่ต่ออีกวันก็ไม่มีอะไรทำแล้ว แต่ปัญหาคือ ตั๋วเครื่องบินที่จะไป Gonder เต็ม!!! นี่ชั้นอยู่ในประเทศมหาเศรษฐีที่คนส่วนใหญ่ใช้เครื่องบินเดินทางสินะ ตั๋วถึงได้เต็มแน่นขนาดนี้???? อย่างนั้นเราก็คงต้องกลับไปใช้ชีวิต Basic แบบเดิม ๆ เพิ่มเติมคือต้องเดินทางถึง 2 วัน จาก Aksum ไป Shire วันนึง แล้วอีกวันก็จาก Shire ไป Gonder เพราะรถทั้งสองที่มีแค่ช่วงเดียวคือ 6 โมงเช้า แต่เพื่อนเยอรมันเราอยากไปถึงในวันเดียว เราเลยตัดสินใจยอมนั่งรถเหมาจาก Aksum ไป Shire ตอนตีสี่ เพื่อไปถึง Shire ตอนตีห้า ให้ทันรถที่จะไป Gonder

    พอหมดปัญหาเรื่องรถก็กลับมาที่ปัญหาปากท้อง กว่าจะได้กินอาหารอีกรอบก็สองทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว แน่นอนว่า ร่างกายเราต้องการโปรตีนอย่างมาก นั่งร้านอาหารในโรงแรมแล้วเปิดเมนูมาดู โปรตีนที่สามารถเสริฟได้ในวันนี้คือ “พิซซ่าทูน่า” เอาน่า....ดีกว่ากินพิซซ่าหน้าผักเป็นไหนๆ 555

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่