ลุยเดี่ยวเที่ยวทั่วโลก ฉบับ “หนีร้อนจากไทย ไปตากไอแดดที่ Ethiopia” ตอน สารบัญการเดินทาง

สวัสดีค่ะ กระทู้เที่ยวนี้เป็น “กระทู้รีวิว” กระทู้แรกในพันทิปนะคะ (เคยโพสกระทู้บ่นบ้างครั้งสองครั้ง) ต้องออกตัวก่อนว่าเขียนไม่เก่ง ถ่ายรูปเฉยๆ แต่เป็นคนชอบพูด ชอบแชร์ในสิ่งที่ตัวเองได้ไปเห็นมา ยังไงก็ขอฝากกระทู้นี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของเพื่อนๆ บลูแพลนเน็ตด้วยนะคะ  (ถ้าดูว่าเราเวิ่นเว้อ ก็ข้ามๆ ไปดูรูปก็พอเน๊อะ)




ทำไมต้อง Ethiopia?

          เวลา Backpack ไปเที่ยวที่ต่างๆ มักจะเจอเพื่อนร่วมทางถามตลอดว่า “ทำไมเลือกมาเที่ยวที่นี่” ส่วนคำตอบง่ายมาก “เพราะมีตั๋วโปรโมชั่น เลยเลือกมาที่นี่” (ฝรั่งก็งง คิดว่าอีนี่ช่างไม่มีอุดมการณ์เอาซะเลย) และมันก็เป็นแบบนี้เกือบทุกทริปยกเว้นทริปนี้

          ทริปนี้เกิดจากเราไปเดินร้านหนังสือแล้วเห็น Lonely Planet 2017 ที่แนะนำประเทศที่ควรไปในปีนี้ และหนึ่งในนั้นคือ “เอธิโอเปีย” เราจึงเริ่มหาข้อมูลจากที่พันทิป เห็นมีอยู่ไม่กี่กระทู้ แต่ที่เดินทางเส้นเดียวกับเราดูเหมือนจะมีแค่สองกระทู้

Ethiopia คนเดียวก็ไปได้ (บันทึกการเดินทางไปเยือน ดินแดนที่เหมือน นรก ที่สุดบนผืนโลก) ของคุณ   Armmie Beyond
https://ppantip.com/topic/35555611

[Review trip] เอธิโอเปีย ไม่เสียใจที่ได้ไป หัวเราะ
https://pan.tips/topic/35508889

ปกติโดยทั่วไปเวลาจะเดินทางเราต้องวางแผนแล้วค่อยซื้อตั๋ว แต่เรากลัวไม่ได้ไปค่ะ! ซื้อตั๋วก่อนแล้วค่อยคิดว่าไปที่ไหน ไปยังไง (เป็นแบบนี้ประจำ)


ณ ช่วงเวลาของการตัดสินใจจองตั๋ว  
   
     1.    Ethiopia Airline     จองไปเลยอันนี้แหละ แพงกว่า Kenya Airways นิดเดียว แต่ได้ส่วนลดสำหรับบินในประเทศ 50% ถ้าไปหลายเมืองอันนี้ถือว่าคุ้มมาก (จริงๆ บิน 2-3 ไฟล์ทก็คุ้มแล้วค่ะ) แต่เอ๊ะ! นิดเดียว (ณ เวลานั้น) มันก็ “ครึ่งหมื่น” เลยนะ ดูอีก option ดีกว่า...

     2.    Kenya Airways   ตั๋วจากกรุงเทพไปเอธิโอเปียไม่ถึงสองหมื่น!!! เห็นแล้วตาลุกวาวมาก (ลืมบอกไปค่ะ ว่าเจ้าของกระทู้ค่อนข้าง “เค็ม”) ในใจคิดว่า “ชั้นจะนั่งรถบัสระหว่างเมืองอย่างเดียว จะใช้ชีวิตกับคน Local จะไม่นั่งเครื่อง ตั๋วนี้แหละคุ้มแล้ว ซื้อๆ ไปเลย”.....สุดท้ายกดจอง และจ่ายเงิน (เป็นการตัดสินใจที่.......อ่านให้จบแล้วคิดเองนะคะ ว่าเป็นคุณจะเลือกอันไหน)


หลังจากซื้อตั๋วก็ถึงเวลาวางแผน   (มีใครซื้อตั๋วแล้วค่อยวางแผนอย่างหล่อนเนี่ย!?!?)

          คัมภีร์ที่ซื้อมาคือ Lonely Planet แต่เหมือนเราพลาดอะไรไป ทำไมในกระทู้ฝรั่งคุยกัน มันมีแต่หนังสือชื่อ Bradt Guide หว่า?  เราจะต้องซื้อเพิ่มอีกเล่มหรือนี่? โอ้ว...ไม่นะ ไม่ๆๆๆ  เที่ยวตามยถากรรมแล้วกัน แค่ไหนแค่นั้น ส่วนใครจะไปเที่ยวทวีปแอฟริกา ลองดูว่า Bradt Guide ดียังไงแล้วมาบอกกันด้วยนะคะ เผื่อทริปนี้จะนอกใจ Lonely Planet ไปใช้ Bradt ดูบ้าง

          พอมีคัมภีร์มาเราก็เริ่มวางแผนแบบคร่าวๆ ส่วนใหญ่ดูแค่อยากไปไหน แล้วก็ไปยังไง ส่วนรายละเอียดค่อยไปอ่านที่หลัง (เป็นผู้หญิงที่ไม่มีความรอบคอบเอาซะเลย....จะเรียกว่า “ชุ่ย” ก็ไม่ผิดนัก) เริ่มจากจะไปไหนบ้างก็ได้หน้าตาคร่าวๆ ว่า

-    Addis Ababa     ไม่อยากไปก็ต้องไป เพราะเครื่องบินมันต้องจอดที่นี่ จะโดดร่มลงกลางทางก็ไม่ได้ (เพราะกลัวความสูง)
-    Lalibela             มันคือมรดกโลก เป็นสถานที่ที่เหมาะกับวัยวุฒิของเราเหลือเกิน
-    Bahir Dar          ทะเลสาปเราไม่อิน แต่ที่อยากเห็นคือน้ำตก Blue Nile Falls ว่ากันว่าอลังการรองจาก Victoria Falls เลยทีเดียว
-    Mekele              เพื่อภูเขาไฟ และพื้นดินที่เป็นสีสันสดใส (อย่างงว่าคืออะไร ตอนนั้นไม่รู้จักชื่อ เห็นแค่รูปก็แบบ “ชั้นจะไปที่นี่อ่ะ!”)
-    Askum              เป็นแค่ตัวสำรองอย่างไม่มีเหตุผล
-    Djibouti            ไม่ได้อยู่ใน Ethiopia แต่มันเป็นประเล็กๆ ที่อยู่ด้านข้าง อยากไปมาก ไปทำไมก็รู้ แต่ความฝันคือเที่ยวให้ทั่วโลก แต่อยู่ดีๆ จะให้บินตรงจากไทยมาประเทศนี้ก็คงไม่ใช่ ไหนๆ มาแล้วก็เก็บให้หมดแล้วกัน (อันนี้เผื่อๆ ไว้ มีเวลาเหลือก็ไป ไม่เหลือก็ไม่ได้ก็ได้)


ขั้นตอนต่อไป “จะไปยังไง”

          จากแพลนที่ว่าเราจะนั่งรถ มันผิดจากที่คิดมาก เพราะมันไม่ใช่การนั่งรถธรรมดา แต่เป็นการ “นั่งงงงงงงงงงงงงงงงงง” รถ วางแผนไปคว้ายาดมมาดมไปกันเลยทีเดียว
     
          ระยะทางระหว่างเมือง 300-400 กิโลเมตร แต่ต้องเดินทางเป็นวัน  บางที่ก็สองวัน! ไม่ผิดค่ะ ย้ำว่าเป็น “วัน” เพราะกลางคืนเดินทางไม่ได้ รถวิ่งแต่กลางวัน มีแค่รอบ 6 โมงเช้ารอบเดียว เฮือกกกกก!!

          หมายความว่าถ้าจะเดินทางจาก Lalibela กลับมา Addis Ababa ที่ระยะทาง 600 กิโลเมตร จะต้องนั่งรถรอบเช้าเพื่อมาที่ Dessie ถึงตอนบ่ายๆ (นับเป็นหนึ่งวัน) แล้วก็หาที่นอน วันรุ่งขึ้นนั่งรถรอบเช้าเพื่อเข้า Addis Ababa อันนี้แค่น้ำจิ้ม เพราะดูจากแผนที่แล้ว Vacation time ของเราส่วนใหญ่จะได้ใช้เวลาร่วมกับคนเอธิโอเปียอย่างที่ตั้งใจไว้

          แนะนำค่ะว่า ถ้ามีเวลามาก มากจนไม่รู้จะทำอะไร และพร้อมรับกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่จะเกิดขึ้นระหว่างเดินทางได้ทุกเมื่อ Option Kenya Airway + Local Bus เป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับคุณ แต่ถ้าคิดว่าวันหยุดช่างแสนมีค่า ต้องใช้ให้คุ้ม ตัด Option นั้นทิ้งแล้วบินตรงกับ Ethiopia ดีกว่าค่ะ

สภาพ Local Bus ของ Ethiopia


          หลังจากหน้ามืดกับการอ่านคัมภีร์ภาษาอังกฤษ (ระดับงูๆ ปลาๆ) ของเราเราก็ได้ข้อสรุปในการเดินทางตามด้านล่าง ซึ่ง Djibouti มันหายไป!!! ก็เล่นนั่งรถไปซะ 6 วัน ยังจะหวังเที่ยวอีกหลายๆ ที่คงเป็นไปไม่ได้หรอกนะ จุดนี้คือทำใจ แล้วไปเที่ยวดีกว่า


“ทัวร์” ในแพลนคืออะไร? เลือกยังไง?

           จุดนี้อาจขัดใจคนชอบลุยด้วยตัวเองหน่อยที่ต้องเอาตัวเองไปติดแหง็กกับทัวร์ตั้ง 4 วัน เพราะสถานที่ที่เราจะไป (ภูเขาไฟ ทะเลเกลือ และ Dallol Depression) มันติดชายแดน Eritrea ซึ่งสองประเทศนี้ยังฮึ่มๆ ใส่กันอยู่ ดังนั้นถ้ายังอยากกลับไทยด้วยร่างพร้อมวิญญาณเหมือนขามา ก็ต้องไปกับทัวร์และไม่เดินซี้ซั้วในช่วง 4 วันนี้นะจ๊ะ

          ส่วนการเลือกทัวร์ เลือกตามใจชอบ และตามกำลังทรัพย์ค่ะ ลองหาจาก Google / Tripadvisor เอาได้เลย ส่วนเราเลือก ETT  http://www.ethiotravelandtours.com/ เพราะเป็นทัวร์เดียวที่ส่งเมล์กลับมา และโต้ตอบกับเราแม้จะเลยเที่ยงคืนไปแล้วก็ตาม ตอนนั้นในใจก็คิดว่าบริษัทนี้มันเปิด 24 ชั่วโมงหรือไงนะ ตอบเมล์ได้ตลอดเวลา แต่ถ้าถามบริการดีไหม? อันนี้ขึ้นอยู่กับความสวยของลูกค้าค่ะ อย่างเราก็ถือเป็นลูกค้าปลายแถว ได้บริการรับส่งสนามบินฟรีเหมือนคนทั่วๆ ไป ที่พิเศษคือมี One day trip ใน Addis Ababa ให้ และวันสุดท้ายพาไป Shopping ร้านแกแฟ ส่วนลูกค้าที่หน้าตาดีอันนี้มีพาไปกินอาหารจีนที่ Hilton พร้อม offer ที่พักให้ฟรีหากซื้อ One day tour กับเค้า   ส่วนราคาทัวร์มาตรฐาน 4 วันอยู่ที่ USD600 แต่น้องที่เจอในทริปได้ในราคา USD500 (ตอกย้ำความแตกต่างของหน้าตาจริงๆ ฮ่าๆ)

ปล. เรื่องบริการ VS ความสวยลูกค้า ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณนะจ๊ะ! เราแซวเอาขำๆ ที่น้องได้ถูกน่าจะเป็นเพราะซื้อตอนใกล้เดินทาง เราเห็นคนเกาหลีคนหนึ่งไปซื้อทัวร์ที่ออฟฟิศใน Mekele เลย จากแววดูว่าน่าจะได้ส่วนลดไม่น้อย


เตรียมความพร้อม (ควรจะเรียกว่าความไม่พร้อมมากกว่า)

วีซ่า                            ทำที่นั่นได้ เอาเงินไป USD50 ก็พอ อย่างอื่นไม่ต้อง (On Arrival Visa)
วัคซีนไข้เหลือง          ตั้งแต่ปีก่อนละ ใช้ได้ 10 ปีไม่ต้องฉีดใหม่ เพราะฉะนั้น 10 ปีนี้จะไปทุกประเทศที่มันต้องใช้วัคซีนี้ (เจ็บทีเดียวเอาให้คุ้ม)
ตั๋วเครื่องบิน               มีแล้วต้องปริ้นออกมานะจ๊ะ เห็นมีบางกระทู้บอกว่าเจ้าหน้าที่จะดูแต่จากกระดาษเท่านั้น ไม่ดูในมือถือ ไม่รู้จริงหรือเปล่า
เงิน                             แลก US ดอลล่าร์จากไทยไปแล้วค่อยไปและเป็น Birr ที่นั่นค่ะ
                                                    อัตราแลกเปลี่ยนที่สนามบิน หรือ ธนาคาร USD 1 = 22.77 Birr (ประมาณ 1.52 / Birr)
                                                    อัตราแลกเปลี่ยนที่ Agent ทัวร์  USD 1 = 24 Birr (ประมาณ 1.44 บาท / Birr)
ตู้ ATM                      มีทุกเมืองที่เป็นเมืองใหญ่ แต่จะกดแล้วได้เงินหรือไม่ได้เงินก็แล้วแต่วาสนาเลย (อย่าเสี่ยงจะดีกว่า)
บัตรเครดิต                  มีบัตรเครดิตอุ่นใจ เหมือนพกไม้บรรทัดไว้ขีดเส้นใต้ค่ะ (ใช้ได้ถ้ากินอยู่อย่างหรูหรานิดๆ)  
อุปกรณ์ปีนเขา            ไฟฉาย (ไม่ได้เตรียม) / Trekking Pole (ไม่มี) / ผ้าคลุมหน้า (ไม่พก) / กางเกงขายาว + รองเท้าปีนเขา (ใส่ติดตัวอยู่แล้ว) นอกนั้นก็มีเพียวตัวและหัวใจ พร้อมยาดมหลอดเล็กๆ 1 หลอด (อันนี้สำคัญกว่าอุปกรณ์ทั้งปวงที่ว่ามา)


เตรียมจัดกระเป๋า    มีเวลา 3 ชั่วโมงก่อนเดินทาง เพราะก่อนหน้านั้นทำงานที่ต่างประเทศ (พูดซะดูไฮโซ จริงๆ คืออยู่แถวประเทศเพื่อนบ้านเรานี่แหละ) กลับมาก่อนบินไปเที่ยวแค่ 6 ชั่วโมง วิธีจัดกระเป๋าคือ
     กางเกงขายาวถอดซิปได้ 2 ตัว
     ขาสั้น 1 ตัว
     เสื้อยืด 5 ตัว
     เสื้อคลุมกันลม/หนาว 1 ตัว
     รองเท้าแตะ
     กล้อง (สำคัญมาก)
     ของใช้ส่วนตัว

เมื่อทุกอย่างพร้อม (เหรอ?) เราก็เริ่มเดินทางกันได้ (ต่อกระทู้หน้านะคะ ขอเวลาเขียนอีกหน่อย)
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่