แจ้ง (23) (แฟนตาซี)

กระทู้สนทนา
23.

ท่านยายหันไปมองทางด้านข้างของตน และทำให้รัตซึ่งยืนอยู่ตรงนั้นพอดี ต้องรีบถอยไปทางด้านหลังให้พ้นจากแนวสายตา เพราะเธอรู้ว่านางไม่ได้กำลังมองมาที่เธอ แต่เป็นบางสิ่งที่ไม่มีอยู่ในที่นั้น สิ่งที่ชาวบ้านทุกคนต่างเชื่อว่าอยู่ที่ข้างกายของนางเสมอ

ความตาย ที่สามารถอยู่ในทุกที่ได้ในเวลาเดียวกัน สหายเพียงหนึ่งเดียวของนาง

'เขาทำได้ดี แต่ข้าคิดว่าเขาน่าจะทำได้ดีกว่านี้'

ไม่มีเสียงในย่านความถี่ที่คนธรรมดาไม่อาจได้ยิน หรือแม้แต่กระแสพลังงานความคิดตอบกลับมา แต่นางก็ยังได้ยินคำตอบนั้นอยู่ดี เพราะมันดังขึ้นภายในตัวนาง ในดวงใจของนาง ไม่ใช่ผ่านกระบวนการของสมองเหมือนกับที่อีกอร่าเชื่อ นางหรี่ตาลงราวกับได้ยินบางอย่างที่น่าสนใจ ก่อนจะหันกลับไปรอดูสิ่งที่อรุณกำลังจะทำต่อไป

จากท่าจับดาบเตรียมพร้อมที่เกือบสมบูรณ์แบบ จากความมุ่งมั่นที่จะตัดสิ่งที่มีอยู่ หรือไม่มีอยู่ตรงหน้าให้ขาดสะบั้น เขากลับลดดาบในมือลงไว้ที่ข้างกาย ก่อนสอดมันกลับคืนสู่ฝัก เขาไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะเหตุใด เพียงแต่เขารู้สึกไม่ถูกต้องกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น เขาได้รับดาบแปลกๆ มาจากปู่ แล้วหลังจากนั้นเขาก็เริ่มคิดว่าจะต้องใช้มันบ่อยขึ้น และบ่อยขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด มันจะกลายเป็นสิ่งแรกที่เขาต้องนึกถึง

'ใช้ความสามารถของเจ้าให้เกิดประโยชน์'

ท่านยายไม่ได้เอ่ยถึงดาบเลยตั้งแต่ที่พวกเขามาถึง ไม่รู้ว่าที่ก่อนหน้านี้นางคอยพูดถึงเรื่องดาบกับเขาอยู่บ่อยๆ นั้น จะเป็นการตั้งใจ หรือมีเหตุผลใดซ่อนอยู่เบื้องหลังหรือไม่

เขาทรุดตัวลงนั่งยองๆ ก่อนเริ่มสำรวจหาประตูกลที่ติดตั้งอยู่ใต้ที่นั่งคนขับด้วยสายตา และสัมผัสจากปลายนิ้ว จนเขาพบชิ้นส่วนโลหะที่ซ่อนอยู่ในรูปแบบที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่ไม่ว่ามันจะเป็นงานที่ละเอียดซับซ้อนขนาดไหน ต่างต้องเริ่มมาจากความรู้พื้นฐานด้านงานโลหะในแบบเดียวกับที่ปู่เคยถ่ายทอดให้พ่อ และพ่อได้ถ่ายทอดต่อมาให้กับเขา

'ใช้ความสามารถของเจ้าให้เกิดประโยชน์'

อุปกรณ์ทุกชิ้นต่างถูกออกแบบขึ้นตามความต้องการ หากใช้ได้ยาก หรือไม่อาจทำในสิ่งที่ผู้ใช้คาดหวัง สิ่งนั้นก็จะค่อยๆ หายไป ถูกปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นสิ่งใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม ปู่เรียกมันว่าเป็นการ วิวัฒนาการ แม้จะไม่ค่อยแน่ใจในความหมาย แต่ชอบเพราะมันเป็นคำที่ฟังดู โก้ ตามแบบฉบับของปู่

'ถึงแม้มันจะแข็งแรง แต่ก็ต้องเปิดออกได้จากภายนอก ด้วยวิธีที่ไม่ยุ่งยากจนเกินไป และต้องทำงานเมื่อตั้งใจจะใช้งานจริงๆ เท่านั้น'

ที่เขาต้องการอาจเป็นสลักสักตัว หรือไกที่เป็นตัวเริ่มต้น ในตำแหน่งที่ไม่โจ่งแจ้งจนเกินไป เขาไล้ปลายนิ้วไปเรื่อยๆ ไม่กังวลกับเสี้ยนจากขอบของแผ่นไม้ เพราะพวกมันเป็นผลงานที่ถูกสร้างขึ้นจากคนที่รู้จักงานของตนเป็นอย่างดี ในที่สุดปลายนิ้วของเขาก็ไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง มีแผ่นไม้ชิ้นหนึ่งที่เกือบเหมือนกับแผ่นอื่นๆ อยู่ลึกเข้าไปด้านใต้ของที่นั่งคนขับ ในตำแหน่งที่ยากจะเหยียบโดนโดยไม่ตั้งใจ แต่เมื่อออกแรงกดมากพอ มันก็เริ่มที่จะยุบลงไปทีละน้อยได้

“ถอยออกมา” เสียงของท่านยายทำเอาเขาสะดุ้ง พร้อมกับถอนมือออกจากแผ่นไม้ตรงหน้า “ก่อนที่เจ้าจะตกลงไป โดยที่ไม่ได้เตรียมตัวให้ดีเสียก่อน”

สีหน้าของนางยังคงเรียบเฉย ไม่แสดงอารมณ์ใดใด แต่เด็กสาวคิดว่านางกำลังพอใจในเรื่องอะไรสักอย่าง ส่วนเด็กหนุ่มกลับสงสัยว่านางรู้ได้อย่างไรว่าเขาพบเจอคำตอบ ราวกับที่จริงแล้วนางรู้มาตลอด แต่ต้องการทดสอบ หรือให้เขาต้องค้นหามันด้วยตัวเอง

นางจะรู้ทุกเรื่องอย่างที่ชาวบ้านทุกคนเชื่อจริงหรือ แต่ไม่ว่าอย่างไร ความเชื่อของชาวบ้านแบบนั้นย่อมเป็นประโยชน์กับนางอย่างไม่ต้องสงสัย

'ว่าแต่เจ้าช่องนี้มันจะมีอะไรน่ากลัวได้'

เมื่อมองดูจากภายนอก เขาคิดว่ามันน่าจะเป็นช่องลับที่ใช้ในการซุกซ่อนสิ่งของ หรือถ้าจะบอกว่าใช้เป็นที่ซ่อนตัวก็อาจจะเป็นไปได้ ถ้าคนคนนั้นจะมีรูปร่างเล็ก และยินยอมที่จะขดอยู่ในช่องแคบๆ ที่คงแทบจะหายใจไม่ออก ไม่มีทางเลยที่คนสองคน โดยเฉพาะเมื่อหนึ่งในนั้นคือใหญ่เพื่อนของเขา จะสามารถมุดเข้าไปอยู่ในนั้น

'ถ้าจะเป็นไปได้ ก็ต้องมีทางเชื่อมเข้าไปถึงภายในห้องโดยสารของรถม้า แล้วทั้งคู่ก็เข้าไปหลบอยู่ในนั้นกับ...' เขาไม่ค่อยอยากจะนึกถึงชื่อนั้น 'ชโรดิงเจอ แคท' ที่เขาก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร หรือเป็น อะไร กันแน่ สิ่งเดียวที่พอจะมั่นใจได้คือแคทคงมีตัวตนอยู่จริงจากเสียงที่ดังออกมาให้ได้ยิน แม้แต่ในตอนนี้

เพียงแต่แคทที่ว่าจะ มีชีวิต กึ่งมีชีวิต หรือ ไม่มีชีวิต แล้วเท่านั้น ซึ่งเขาก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าผีดูดเลือดนั้นควรจะถูกจัดอยู่ในประเภทใดกันแน่

“เชื่อเถิดว่าเพื่อนของเจ้าไม่ได้เข้าไปอยู่ในห้องโดยสาร และเจ้าก็น่าจะดีใจกับความจริงข้อนั้น” แต่นางไม่ได้อธิบายว่าทำไมเขาจึงควรดีใจ การอยู่ภายในห้องโดยสารของรถม้าคันนี้ต้องถูกนับเป็นเรื่องเลวร้ายเพราะอะไร และเป็นอีกครั้งในหลายครั้งที่ราวกับท่านยายจะสามารถอ่านใจผู้อื่นได้ หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะนางรู้จักทุกคนในหมู่บ้านแห่งนี้เป็นอย่างดี บางทีอาจดีกว่าที่พวกเขาคิดว่ารู้จักตัวเองด้วยซ้ำ

“การมองเห็นในสิ่งที่เห็นนับเป็นเรื่องดี แต่จะดียิ่งกว่า ถ้าเจ้ามองเห็นในสิ่งที่มองไม่เห็นด้วย และต้องแยกให้ออกระหว่างสิ่งที่มองไม่เห็น กับ สิ่งที่ไม่เป็นจริง สองสิ่งที่เหมือนจะคล้าย แต่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง” นางพึมพำเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจ เหมือนกับกำลังบ่นถึงเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป

“ข้ามีเชือกที่ดีอยู่ตรงนี้เส้นหนึ่ง” นางหยิบเชือกขดหนึ่งออกมาจากใต้เสื้อคลุมสีดำ ตัวเส้นเชือกมีขนาดไม่ใหญ่นักแต่ถักทอเข้าด้วยกันอย่างแน่นหนาเป็นระเบียบ จึงไม่ต้องสงสัยในเรื่องความแข็งแรงของมัน แต่ก็ทำให้สองหนุ่มสาวต้องนึกสงสัยขึ้นมาว่า นางพกเชือกติดตัวอยู่เป็นประจำ หรือนางรู้อยู่ก่อนว่าจำเป็นต้องใช้มันในวันนี้ จึงได้นำมาด้วย

แต่ที่ทั้งสองไม่รู้คือนางยังมีสิ่งของอื่นอีกมากมายอยู่ใต้เสื้อคลุมสีดำที่ใส่เป็นประจำ

“ผูกเชือกเข้ากับตัวเจ้าหนุ่มนั่นให้แน่น ยึดมันเข้ากับต้นไม้ แล้วเจ้า” นางมองไปทางเด็กสาว “ก็ผูกอีกด้านของมันเข้ากับตัวเองไว้ด้วย” เด็กหนุ่มสาวทั้งสองต่างมองหน้ากัน

“เจ้าหนุ่มจะได้ระวังมากขึ้น ว่ายังมีสาวน้อยรออยู่ที่ปลายเชือก”

ทั้งสองไม่รู้ว่าจะยิ้มหรือร้องไห้ดี แต่มันก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าต้องระวังตัวมากขึ้นจริงๆ เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อยากให้เธอต้องมาเดือดร้อนเพราะเขา

เด็กสาวรับเชือกจากมือของท่านยายก่อนปีนขึ้นไปบนรถม้า เธอมัดเชือกเข้ากับรอบเอวของเด็กหนุ่ม ด้วยปมแบบเดียวกับที่พ่อแม่ซึ่งเป็นนายพรานที่ดีเคยสอน ปมที่ใช้ในการทำกับดัก ปมเดียวกับที่ใช้ผูกสัตว์ที่ล่ามาได้ ปมที่ใช้พรากชีวิตไปจากพวกมัน เธอหยุดคิดเพียงเท่านั้น มันก็แค่เป็นปมแน่นหนาที่เธอรู้จักดี ก็เท่านั้น

ทั้งสองยืนอยู่ใกล้กัน โดยไม่มีคำพูดใด จนกระทั่งเมื่อเธอมัดเงื่อนเรียบร้อยแล้วเงยหน้าขึ้นพบกับสายตาของเขา

“ดูเงื่อนที่พวกเจ้าใช้ให้ดี ถ้าผูกไม่ดีมันจะพันกันยุ่ง จนแก้ไม่ออก หรือไม่อย่างนั้นก็อาจหลุดออกในเวลาอันไม่สมควรก็เป็นได้” ท่านยายพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติอย่างที่สุด

เด็กสาวท่องวนอยู่ในใจว่าท่านยายกำลังพูดถึงการผูกปมเชือก โดยไม่มีความหมายแฝงเร้นใดใดทั้งสิ้น

“ระวังตัวด้วยล่ะ” เธอพูดเบาๆ “...แน่นอน” เขาตอบ ก่อนที่เธอจะปีนลงมาจากรถม้า นำเชือกไปอ้อมลำต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนผูกปลายอีกด้านเข้ากับเอวของตนตามคำสั่งของท่านยาย

เด็กหนุ่มยืนมองเด็กสาวก่อนพยักหน้า เธอขยับตัวเพื่อยืนให้ถนัด จัดเชือกให้อยู่ในตำแหน่งที่ดี ก่อนจะพยักหน้าตอบ เขาก็ออกแรงเหยียบลงไปบนไม้แผ่นนั้นทันที มันส่งเสียงดังเบาๆ ก่อนที่เขาจะรู้สึกว่ามันจมลงไปได้อย่างง่ายดาย ไกที่ออกแบบไว้ทำงาน สลักถูกดึงเปิดออก ประตูกลก็ดีดเปิดเข้าสู่ด้านในอย่างง่ายดาย

เด็กหนุ่มเผลอส่งเสียงร้องลั่น เมื่อร่างของเขาร่วงลงไปสู่ความว่างเปล่าด้านในของประตู มันรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกันก็ได้ฝากประสบการณ์ที่รู้สึกว่ายาวนานให้กับเขา ร่างของเขาถูกยืดยาวเป็นเส้นโดยเริ่มจากปลายเท้า หมุนวนผ่าน ขอบฝาไม้กระดาน เข้าไปสู่อีกด้านหนึ่ง

ชั่วพริบตาอันแสนยาวนาน แต่ที่เด็กสาวมองเห็น ก็เพียงร่างของเด็กหนุ่มได้หล่นหายลงไปใต้ประตูกลได้อย่างหลอกสายตา ส่วนท่านยายจะมองเห็นเป็นเช่นไรนั้นก็ยากที่จะคาดเดา

“ระวัง”

เมื่อสิ้นเสียงเตือนของท่านยาย เด็กสาวก็รู้สึกถึงแรงดึงในทันใด ประตูที่ดีดกลับขึ้นมาถูกเชือกคั่นเอาไว้จึงไม่อาจปิดได้สนิท เชือกยังเคลื่อนผ่านลงไป บางส่วนถูกลากครูดไปกับตัวรถม้า กับต้นไม้ที่อ้อมพันเชือกเอาไว้ เธอร้องลั่น เซถลา ก่อนจะพยายามฝืนจิกเท้าลงไปในดินเพื่อดึงเชือก แต่สุดท้ายก็ยังต้องถลาออกไปอีกสองสามก้าวจนเกือบจะชนเข้ากับต้นไม้

“เจ้ายังไหวไหม” ท่านยายถาม น้ำเสียงยังคงราบเรียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“...มา ช่วย กัน หน่อย ได้ ไหม คะ” เธอกัดฟัน 'แทนที่จะเอาแต่ถาม' ออกแรงโถมน้ำหนักทั้งตัวไปทางด้านหลัง

ท่านยายเองก็คาดไม่ถึงว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้ แต่ก็พูดออกไปไม่ได้ “ข้าเตือนแล้ว เจ้าก็อดทนหน่อยละกัน” นางตอบในแบบที่ท่านยายควรจะตอบ และไม่นึกเสียใจที่พูดออกไป เพราะนางคือท่านยาย นางไม่ต้องเสียใจในสิ่งที่พูดไปแล้ว

นางรีบกระโดด ปีนขึ้นไปบนรถม้าอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจกับหลังของนางที่ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดจากการเคลื่อนไหวเกินกำลัง 'ความเจ็บปวดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับฉัน' นางมองดูการกระทำของตนเองจากภายนอก คล้ายกับนางเป็นอีกคนหนึ่ง ที่กำลังควบคุมร่างของท่านยายอีกที นางรีบคลำหาแผ่นไม้ในตำแหน่งที่เห็นเด็กหนุ่มใช้เท้าเหยียบนั้น

“...หนู จะ ไม่ ไหว แล้ว” ร่างของเด็กสาวถูกดึงจนแนบไปกับต้นไม้ มือของเธอกับแขนข้างขวาถูกเชือกรัดเข้ากับลำต้นไม้อย่างน่ากลัว เธอยังคงสามารถขยับแขนช้ายได้ ปมเชือกที่เอวนั้นแน่นหนาแต่สามารถปลดออกได้อย่างง่ายดายเพราะมันเป็นปมที่ดี

แต่หากเธอทำอย่างนั้น

ท่านยายใช้สองมือจับเชือกเอาไว้แน่น อย่างลังเล นางเหยียบปุ่มให้ประตูกลเปิดออกอีกครั้ง เหยียบไว้อย่างนั้นเพื่อให้มันเปิดค้างอยู่ พยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ให้ตัวเองหล่นลงไป นางก้มมอง เห็นแต่เชือกที่อยู่เหนือระดับของแผ่นไม้ ข้างใต้นั้นไม่มีอะไรทั้งสิ้น มันไม่ใช่ความมืด ไม่ใช่มิติที่บิดเบี้ยว มีเพียงแค่ความว่างเปล่า ไม่มีอะไรให้มองเห็นได้

นางสูดหายใจเข้าลึก “รีบ ปีน ขึ้น มา” เสียงตวาดดังลั่น ทำเอาเหล่านกทั่วทั้งบริเวณพากันกระพือปีกบินหนีขึ้นจากยอดไม้อย่างแตกตื่น แมลงทั้งหลายต่างหยุดนิ่งกันไปชั่วครู่ และจากที่ห่างไกล ก็มีเสียงคำรามของบางสิ่งคล้ายดังตอบกลับมาด้วย

มือซ้ายของรัตเอื้อมมาจับไว้ที่ปมเชือก ปลายนิ้วมือขวาเปลี่ยนจากสีเขียว กลายเป็นม่วงคล้ำ เพราะเลือดไม่สามารถไหลเวียน ความรู้สึกเหมือนถูกเข็มจำนวนมากทิ่มแทงผ่านไป ความรู้สึกราวกับถูกไฟร้อนๆ ถูกน้ำแข็งเย็นๆ นาบผ่านไป ความรู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัสก็กำลังจะผ่านไป แต่เธอแน่ใจว่าหลังจากนั้น เธอคงไม่อาจจะใช้แขนขวาข้างนี้ได้อีก

'ดึงมันเลยสิ ปล่อยทุกอย่างไป' มันเป็นเสียงกระซิบที่อ่อนโยน 'ความเจ็บปวดจะได้จบลง'

เธอเตือนตัวเองว่าเสียงกระซิบนั้นพูดความจริง แต่หลังจากนั้นแล้วเธอจะต้องเผชิญกับความเจ็บปวดที่อาจใหญ่หลวงยิ่งกว่า ความทรงจำที่จะติดตัวไปจนวันตาย ว่าเธอเป็นคนที่ตัดสินใจปล่อยเชือกเส้นนี้ไปเอง

“...ท่าน ยาย...” เธอกรีดร้องเสียงแหบแห้ง น้ำตาไหลไม่หยุด ชีวิตนี้ช่างน่าประหลาดได้อย่างโหดร้ายจนคาดไม่ถึง เมื่อครู่ทุกสิ่งยังดูสวยงาม แต่ตอนนี้กลับเหลือเพียงความเจ็บปวด ปมที่น่าเกลียด กับตัวเธอที่รู้สึกว่าน่าเกลียดพอพอกับปมนั้น

มือซ้ายของเธอกำปลายเชือกไว้แน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดขึ้นมา 'ก็แค่กระตุกเบาเบาเท่านั้น'

ท่านยายเหลือบมองเด็กสาว รู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่ยังอยู่อีกด้านของปลายเชือกที่หายเข้าไปในความว่างเปล่า เด็กหนุ่มคงยังอยู่อีกด้านของประตู ถ้าเขายังมีแรงพอ ถ้าเขายังสามารถทำอะไรได้ที่ฝั่งโน้น ซึ่งนางก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันเป็นอย่างไร
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่