แจ้ง (ุ9) (แฟนตาซี)

กระทู้สนทนา
สามเดือนอาจเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน หรือว่าไม่นานเท่าไรนั้นขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายประการ ไม่เพียงแค่จากคุณสมบัติอันสลับซับซ้อนของสิ่งประหลาดที่ถูกเรียกขานกันอย่างสามัญธรรมดาว่า เวลา เท่านั้น แต่มันยังแปรผันกับสภาวะจิตใจของแต่ละคนอีกด้วย
    
อรุณก้าวเดินช้าๆ ไปตามเส้นทางภายในหมู่บ้านที่คุ้นเคย เขาเกิด และเติบโตขึ้นมาพร้อมกับพวกมัน บางเส้นที่กลายเป็นทางตัน บางเส้นที่ถูกขยายให้กว้างขึ้น บางเส้นที่เกิดขึ้นใหม่ตามความจำเป็น พวกมันล้วนเป็นเส้นทางสายเก่าที่ไม่เคยเหมือนเดิม ในแต่ละวัน ในแต่ละฤดูกาล จะมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่แตกต่างออกไปอยู่เสมอ หากว่าผู้คนที่ผ่านไปมาจะใส่ใจในการก้าวเดินไปตามเส้นทางของตนอยู่บ้าง
    
เช่นเดียวกับตัวเขา ที่ยังคงเป็นคนเดิม แต่ไม่เคยเหมือนเดิม และต้องเคลื่อนไปตามกระแสแห่งกาลเวลาด้วยเช่นกัน
    
แต่ในครั้งนี้ บนเส้นทางมีความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกิดขึ้นมากกว่าปกติ เขาพบว่าแนวรั้วเก่าที่เคยผุพังแถบหนึ่งได้รับการซ่อมแซม มีการต่อเติม และเพิ่มแนวรั้วขึ้นใหม่ในอีกหลายจุด คงเป็นเพราะภัยคุกคามที่เกิดจากสัตว์มืดนั่นเอง นอกจากนั้นต้นไม้ริมทางยังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากรอดชีวิตผ่านฤดูหนาวอันแสนเลวร้ายครั้งก่อนมาได้ ช่วงระยะเวลาสามเดือนที่โลกรอบตัวของเขาได้ถูกย้ายให้ไปหมุนอยู่ในสถานที่อื่น เวลาในสถานที่ที่เขาคุ้นเคยแห่งนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไปแม้ว่าจะไม่มีตัวเขาคอยเฝ้าดูมันอยู่ด้วยก็ตาม
    
“กลับมาได้แล้วหรือ”
    
เสียงที่ดังขึ้นอย่างฉับพลันจากทางด้านหลังทำให้เขาสะดุ้ง แต่ความคุ้นเคยของเสียงนั้นก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นตึกตักขึ้นมาในทันใด พร้อมกับต้องเตือนตัวเองให้ซ่อนรอยยิ้มของตนเอาไว้ให้ดี
    
“มาแอบเล่นอะไรแผลงๆ อยู่แถวนี้” เขาย้อนถามพร้อมหันกลับไป และเมื่อได้เห็นใบหน้าเจ้าของคำทักทาย เขาก็แทบจะเก็บรอยยิ้มของตนไว้ไม่อยู่
    
รัตยืนทำหน้าทะเล้นอยู่ห่างออกไปไม่ไกล เธอคงมองเห็นเขาก่อนจะมุดเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ข้างทาง สาวน้อยผู้นี้ชอบทำตัวเหมือนผู้ชายมาตั้งแต่เด็ก เธอมักสวมกางเกงขาสั้นไว้ใต้กระโปรงอยู่เสมอ ชอบที่จะปีนป่าย และเล่นโลดโผนยิ่งกว่าเด็กผู้ชายบางคนเสียอีก
    
แม้ว่าตอนนี้เธอจะตัดผมจนสั้น ไม่เหมือนกับเด็กสาวคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน สวมกางเกงขายาวแทนกระโปรงอยู่เป็นประจำ แต่ใบหน้าของเธอก็ยังคงมีเค้าความงามไม่แพ้ รุ่ง พี่สาวฝาแฝดที่เป็นหมือนด้านตรงข้ามกับตัวเธอ ที่ทั้งเรียบร้อย ทั้งนุ่มนวลอ่อนหวาน จนเป็นที่หมายปองของเด็กหนุ่มทั้งหลาย
    
สำหรับรัต คงมีใหญ่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่คอยตามจีบเธอเรื่อยมาอย่างไม่ลดละ
    
“นึกว่าโดนพวกสัตว์มืดจับกินไปทั้งคู่แล้วเสียอีก” เธอยืนท้าวเอว เสื้อกางเกงที่สวมใส่อยู่เป็นผ้าผสมกับหนังสัตว์รูปแบบคล้ายกับของพวกเขา มันไม่ได้ช่วยขับเน้นรูปร่างให้ชวนมอง ไม่มีลวดลายอย่างที่ชุดของหญิงสาวควรจะเป็น แต่กลับแลดูทะมัดทะแมงตามลักษณะนิสัยของเธอ
    
“แหม แม่นยังกับตาเห็น พวกเราก็เกือบจะโดนมันกินจริงๆ นั่นแหละ” เขาตอบกลับไปหน้าตาย คิ้วทั้งสองของเธอยกสูงขึ้น แต่ใบหน้ายังคงราบเรียบไม่แสดงอาการตื่นตกใจออกมาให้เห็น เขาจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นคร่าวๆ ให้เธอฟังอย่างรวดเร็ว “ใหญ่โดนเจ้าตัวนั้นข่วนเข้าที่ท้อง ได้แผลเหวอะหวะจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด...” เธอยังคงทำหน้าตายเช่นเดิม แต่แขนทั้งสองเลื่อนขึ้นมาอยู่ในท่ากอดอก ตาจ้องเขาเขม็ง
    
“...ก็ได้ ก็ได้ ฉันพูดเล่น เขาบาดเจ็บจริง แต่ไม่ได้ร้ายแรงอะไร”
    
เธอขยับใกล้เข้ามา ดวงตาทั้งคู่นั้นสะท้อนแสงเดือนเป็นประกายสุกสกาวราวกับเป็นกระจุกดาวสองกลุ่มบนฟากฟ้าในคืนเดือนมืด ก่อนที่หมัดเล็กๆ จะถูกเหวี่ยงใส่ต้นแขนของเขาโดยไม่ทันตั้งตัว เขาร้องออกมา ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวด แต่แค่แกล้งทำเท่านั้น “พูดเล่นอยู่ได้...แล้วเธอล่ะ บาดเจ็บอะไรบ้างหรือเปล่า”
    
เขาส่ายหน้า “สบายมาก ฉันหลบเก่งอยู่แล้ว” หมัดเล็กๆ อีกหมัด จากคนละทิศทาง และหนักยิ่งกว่าเดิมลอยมา ครั้งนี้เขาพยายามที่จะหลบ แต่ก็ขยับตัวช้าเกินไป
    
“ไหนล่ะที่ว่าหลบเก่ง ทำเป็นพูดดีไป”
    
“อูย...ก็ระยะมันใกล้เกิน” เขาลูบคลำต้นแขนข้างที่โดนต่อยพร้อมกับพึมพำเบาๆ “ผู้หญิงอะไร หมัดหนักชะมัด”
    
“บ่นเป็นเด็กผู้หญิงไปได้ แล้วนี่เพื่อนรักของเธอกลับบ้านไปแล้วหรือ” ท่ายืนท้าวเอวกลับมาให้เห็นอีกครั้ง ไม่รู้ว่าได้มีการบันทึกไว้หรือไม่ว่าเป็นผู้หญิงคนใดที่ได้ริเริ่มใช้ท่านี้ขึ้นเป็นคนแรก จนกลายมาเป็นท่าที่แพร่หลายแบบนี้
    
‘นึกว่าจะไม่ถามเสียแล้ว’ นั่นเป็นสิ่งที่เขาคิดแต่ไม่ได้ตอบออกไปเพราะเกรงว่าอาจจะมีอีกหมัดติดตามมา “เขาอยู่กับพ่อที่หน้าหมู่บ้าน พวกเรามาเจอกันที่นั่นพอดี”
    
“อ้าว แล้วทำไมหัวหน้าถึงยังไม่ให้แยกย้ายกันกลับบ้านล่ะ ก็ในเมื่อเจอพวกเธอแล้ว” เขาจึงเล่าให้เธอฟังถึงเรื่องของรถม้าสีดำคันโต อีกอร่า กับเจ้านายผู้เป็นปริศนา
    
เธอคงรู้เรื่องที่พ่อของใหญ่เรียกระดมคน และพวกเขาก็คงไม่อยากให้มีผู้หญิงร่วมไปด้วย เขาสงสัยว่าที่เธอออกมาอยู่นอกบ้านในเวลากลางคืนเช่นนี้อาจเป็นเพราะกำลังซุ่มรอคอยโอกาสเพื่อที่จะได้แอบติดตามออกไปค้นหาพวกเขาโดยไม่ให้ใครรู้ แสงจากคบไฟพวกนั้นสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล โดยเฉพาะในบริเวณนี้ที่เป็นเนิน จึงเหมาะแก่การใช้ลอบเฝ้ามองความเคลื่อนไหวได้เป็นอย่างดี
    
ก่อนหน้านี้เธอคงรู้สึกแปลกใจว่าทำไมกลุ่มค้นหาถึงยังไม่ยอมออกเดินทางกันเสียที จนกระทั่งอาจพบเห็นเขาที่แยกตัวออกมาแล้วมุ่งหน้ามาทางนี้จึงได้ซ่อนตัวเอาไว้ ‘ใช่ เธอต้องตั้งใจทำแบบนี้แน่’ เขารู้สึกมั่นใจ ‘เธอคงเป็นห่วงเขามากทีเดียว’ หัวใจของเขาหล่นวูบลงอย่างช่วยไม่ได้ และไม่รู้ว่าทำไมตนจึงต้องรู้สึกเช่นนั้น
    
สภาพอากาศเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างฉับพลัน และจุดเริ่มต้นของมันคล้ายมาจากทิศทางหน้าหมู่บ้าน สายลมเริ่มพัดแรง เมฆมืดเคลื่อนเข้ามาบดบังดวงจันทร์เอาไว้จนหมด สองหนุ่มสาวต่างยืนมองหน้ากัน ก่อนที่เธอจะเอื้อมมือออกมาจับแขนของเขาเอาไว้ เขาได้แต่ยืนนิ่งคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไร ไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร ร่างของเธอเคลื่อนใกล้เข้ามาพร้อมกับผลักเขาให้ล้มลงไปในดงไม้ข้างทางเดิน ใบหน้า กับริมฝีปากงามนั้นเคลื่อนเข้ามาราวกับในภาพฝัน
    
“เงียบ มีใครกำลังมาทางนี้”
    
เธอกระซิบบอกพร้อมกับขยับตัวห่างออกไปเพื่อหาช่องจากในดงไม้ลอบมองไปข้างนอก เขายังนอนนิ่งอยู่อย่างนั้นอีกครู่หนึ่ง ก่อนที่ความเข้าใจจะเกิดตามมา และค่อยๆ ขยับตัวหาช่องเพื่อมองออกไปที่ทางเดินบ้าง สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วช่วยให้การซ่อนตัวของทั้งสองทำได้ง่ายขึ้น
    
มีเงาร่างโดดเดี่ยวเดินมาตามทางเดิน ร่างเล็กๆ นั้นทำให้เขานึกถึงอีกอร่า แต่มีอะไรบางอย่างในร่างนั้นอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ทำให้ไม่อาจเข้าใจว่าจะเป็นคนอื่นไปได้ ถึงแม้ว่าร่างนั้นอาจไม่ได้สวมชุดสีดำตลอดตัวแบบในตอนนี้ก็ตาม ชุดที่มีเพียงผู้เดียวที่สามารถสวมใส่ได้ในหมู่บ้านแห่งนี้
    
‘ท่านยาย’
    
ทั้งสองต่างไม่กล้าพูดชื่อนั้นออกมา ไม่กล้าขยับตัว และไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ เขาพึ่งนึกเหตุผลออกว่าทำไมเธอจึงต้องทำแบบเมื่อครู่ ถึงแม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้ทำอะไรที่ผิด แต่การที่หนุ่มสาวคู่หนึ่งแอบมาพบกันในยามวิกาลเพียงลำพังนั้นย่อมไม่เหมาะสม และยากที่จะอธิบายให้ใครเชื่อได้
    
เขาเพ่งมองดูอีกครั้ง ท่านยายในค่ำคืนนี้ไม่ได้ดูแตกต่างไปจากที่เขาเคยจำได้ แต่มันก็มีบางอย่าง ในท่าทาง ในการเดินนั้น ที่คล้ายกับมีน้ำหนักมหาศาลที่มองไม่เห็นกดทับอยู่บนไหล่บ่าเล็กๆ ทั้งสอง นางหยุดยืนก่อนหันกลับไปมองทางหน้าหมู่บ้าน ก่อนมองไปทางทิศเหนือ แล้วสุดท้ายจึงมองไปยังสุดทางเดินซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านของเขา
    
แล้วนางก็ถอนหายใจ
    
ไม่บ่อยครั้งนักที่นางจะแสดงท่าทีท้อแท้ให้ใครพบเห็น ซึ่งครั้งนี้อาจไม่นับเพราะนางคงไม่รู้ว่าพวกเขาซ่อนตัวอยู่ตรงนี้ ใหญ่เคยเล่าให้ฟังว่า พ่อของเขาเคยเห็นนางส่ายหน้าเป็นครั้งแรกเมื่อถูกถามว่าฤดูหนาวอันผิดปกติที่ผ่านมานั้นจะสิ้นสุดลงเมื่อไร นางได้แต่เหม่อมองออกไปยังทิศทางหนึ่ง ซึ่งเข้าใจว่าเป็นทิศที่ตั้งของมหานคร พร้อมกับคำตอบที่เป็นปริศนามากกว่าทุกครั้ง
    
“มันจะสิ้นสุดลงโดยเร็ว ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง...” มีหลายคนสาบานว่าได้เห็นนางยิ้มกว้างเมื่อหิมะน้ำแข็งเริ่มละลาย ราวกับวันสิ้นโลกได้ผ่านพ้นพวกเขาไปอย่างฉิวเฉียด
    
หลังหยุดยืนอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ตัดสินใจที่จะเดินต่อไปตามเส้นทางเดิม คือมุ่งไปยังบ้านของเขา ทั้งสองรอคอยอยู่อีกพักใหญ่จนแน่ใจว่านางเดินพ้นห่างไปไกลแล้ว จึงตัดสินใจมุดกลับออกมา ทั้งคู่ต่างมองไปยังทิศทางที่เงาร่างเล็กๆ นั้นหายไป ราวกับยังคงมีแรงดึงดูดตกค้างที่เกิดจากการเคลื่อนผ่านไปของร่างเล็กๆ แต่มีมวลมหาศาลจนสามารถทำให้เหตุการณ์ในบริเวณนี้ยุบตัวลงเป็นหลุมโค้ง
    
“...ฉันได้ยินมาว่าปู่ของเธอกำลังไม่สบาย” เธอพูดขึ้นลอยๆ และเขาก็พยักหน้ารับ “ฉันก็พึ่งได้ยินมาว่าอย่างนั้น” เรื่องเล่าเกี่ยวกับท่านยายอีกเรื่องหนึ่งพลันผุดขึ้นภายในใจของทั้งสอง และมันเป็นเรื่องราวที่ดำมืดเหมือนกับชุดที่นางสวมใส่ อันที่จริงแล้วเรื่องเล่านี้ก็ออกจะฟังดูไม่ค่อยเป็นธรรมกับนางสักเท่าไร ซึ่งอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นางไม่ค่อยเข้ามาในหมู่บ้าน และทำให้ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้นาง
    
ผู้เดินไปกับความตาย
    
ชุดสีดำที่ท่านยายสวมใส่อยู่ตลอดเวลานั้นถูกเชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของความตาย ความตายที่ไม่ได้เป็นเพียงคำนามธรรม แต่เป็น ความตาย ผู้ทำหน้าที่เก็บเกี่ยวมนุษย์เมื่อถึงเวลาสุกงอม และมันได้ทำให้เกิดเรื่องเล่าต่างๆ ขึ้นอีกมาก อย่าง เหตุใดท่านยายจึงมีพลังอำนาจพิเศษ มีอายุยืนยาวจนเหลือเชื่อ และเหตุใดท่านยายจึงมักมาเยี่ยมเยือนเมื่อเวลานั้นของสมาชิกภายในบ้านมาถึง
    
“ไม่นะ ปู่ ไม่” เขาหมุนตัวเตรียมที่จะออกวิ่ง
    
“เดี๋ยว รอฉัน...” เธอคว้ามือของเขาเอาไว้แน่น แต่ทั้งสองก็พากันยืนค้างอยู่ในท่านั้นราวกับเวลาถูกหยุดเอาไว้
    
“จะรีบไปไหนกัน” ร่างเล็กๆ ในชุดสีดำตลอดตัวนั้นยืนขวางอยู่ตรงหน้าพวกเขาทั้งที่ควรจะจากไปไกล แล้วเมื่อครู่นี้เขาเห็นอะไรกันแน่ หรือจะเป็นภาพลวงตาที่เกิดจากพลังอำนาจลึกลับของท่านยาย
    
ดวงตาวาวในเงามืดคู่นั้นจ้องตรงมา “...เจ้าไม่รู้จริงหรือ” นางกระซิบเบาๆ ก่อนจะถามต่อไป “แล้วพวกเจ้าสองคนมาทำอะไรลับลับล่อล่อกันแถวนี้”
    
“มันไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านยายคิดนะคะ” รัตรีบบอก
    
นางกรอกตารอบหนึ่ง “...ถ้าอย่างนั้น เจ้าหนุ่มนี่ก็ไม่ได้พึ่งเดินทางกลับมาถึงหมู่บ้าน แล้วมาพบเจอกับเจ้าที่มาทำอะไรแถวนี้ก็ไม่รู้เข้าโดยบังเอิญ พอดีข้าเดินผ่านมาทางนี้ พวกเจ้ากลัวจะถูกเข้าใจผิด ก็เลยพากันเข้าไปหลบอยู่ในดงไม้ข้างทางสินะ ถ้าอย่างนั้นก็รีบบอกมา ว่าพวกเจ้าสองคนมาแอบทำอะไรกันแน่”
    
เธออ้าปากค้าง “เอ่อ...ที่จริง...มันก็เป็นอย่างที่ท่านยายคิดค่ะ ท่านยายเข้าใจถูกแล้ว”

ในขณะที่เธอกำลังกังวลกับเรื่องการถูกเข้าใจผิด แต่เขากลับกำลังคิดถึงเรื่องอื่น คิดถึงเรื่องเล่าอีกเรื่อง เรื่องไม่เป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นความจริง แต่สำหรับในตอนนี้ เขากลับคิดว่ามันน่าที่จะลองเสี่ยงดู
    
“ท่านยายครับ...ตอนที่ผมกับใหญ่เดินทางกลับมา พวกเราได้พบกับรถม้าสีดำน่าสงสัยกำลังมุ่งหน้ามาที่หมู่บ้าน และตอนนี้พ่อของใหญ่ก็กำลังจัดการเรื่องนี้อยู่ แต่ผมคิดว่า...บางที หัวหน้าอาจต้องการความช่วยเหลือจากท่านยายก็เป็นได้ครับ”
    
เขาอาจทำให้ท่านยายไม่ไปที่บ้านของเขาในค่ำคืนนี้ และหากเป็นอย่างนั้น ถ้าเรื่องที่เล่าลือกันเป็นความจริง ถ้าเขาสามารถขัดขวางท่านยายเอาไว้ได้ บางทีปู่ของเขาก็อาจจะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่