'...ข้า...กำ...ลัง...รอ...อยู่...ที...เดียว...'
เสียงอบอุ่นนุ่มนวลราวกับมารดาก้มลงกระซิบที่ข้างหูของเด็กน้อยเพื่อปลอบโยนให้นอนหลับฝันดี ผุดขึ้นมาเบาๆ ภายในห้วงสำนึกของร่างๆ หนึ่งที่กำลังล่องลอยอยู่ใน ที่ว่าง อันไม่อาจระบุปริมาตรได้ไม่ว่าจะด้วยมาตราวัดของมิติใดใดก็ตาม
ร่างนั้นลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ รับรู้ถึงสภาวะแวดล้อมอันไร้ขอบเขตที่น่าอึดอัด ปล่อยให้สมองทุกส่วนที่มีอยู่ทำงานอย่างเต็มที่เพื่อประมวลข้อมูลจากประสาทสัมผัสทุกประเภทที่มีอยู่บนร่าง
'ฉันเป็นใคร' 'ที่นี่คือที่ไหน' 'ฉันจะต้องทำอะไร' 'แล้วมันจะมีความหมายใดสำหรับตัวฉัน'
ส่วนที่เป็นแขนทั้งสองค่อยๆ กางออกอย่างช้าๆ ขาทั้งสองที่เคยงอขดอยู่ในท่ากอดเข่าก็ถูกเหยียดออกเช่นกัน ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังล่องลอยอยู่ในความว่าง ร่างของเขาไม่ได้เปลือยเปล่าอย่างที่ใครหลายคนอาจจินตนาการเอาไว้ เขาสวมใส่ชุดสูทที่ดูดี เพียงแต่สีของมันเท่านั้นที่ทำให้ไม่น่ามอง มันดูเป็นสีเทาสกปรก ที่ไม่ใช่ทั้งรอยเปื้อน หรือเพราะความเก่า แต่ราวกับชุดนั้นถูกถักขึ้นมาด้วยขี้เถ้าของซากกระดูก ทอจากสายใยที่ถูกบั่นของชีวิตทั้งมวลที่เคยล่วงลับไปจากความเป็นจริงทั้งมวล
เขาเริ่มส่งเสียงกรีดร้องให้กับสภาพความเป็นจริงล่าสุดของตัวเอง
#####
'…'
อรุณชะงักไปครู่หนึ่งเพราะราวกับเขาจะได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากที่ไกลๆ แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเขารู้ว่าเสียงนั้นไม่มีอยู่จริง เขารีบมุ่งความสนใจกลับมายังท่านยายที่บัดนี้ได้ออกมายืนอยู่ที่หน้าประตูบ้าน ภายใต้ชุดสีดำอันเก่าแก่ กับดวงตาที่ราวกับจะสามารถมองเห็นได้ทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ หรือเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาก็ตาม
“พวกเจ้าคงตัดสินใจกันมาดีแล้วสินะ”
นางรู้สึกได้ถึงใครอีกคนหนึ่งที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในบริเวณนี้ ซึ่งก็คงต้องเป็น ใหญ่ เด็กหนุ่มอีกคนอย่างไม่ต้องสงสัย นางคิดว่าจะต้องมีใครอีกคน แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ใครคนที่ว่าก็ไม่ได้อยู่แถวนี้ หรือบางทีอาจจะเป็นแผนที่เด็กพวกนี้คิดกันขึ้นมา มันทำให้นางรู้สึกไม่พอใจ เพราะไม่ควรมีใครคิดว่าจะสามารถใช้แผนกับท่านยายได้ ไม่ว่าจะเป็นท่านยายคนใดก็ตาม
'โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับท่านยายคนนี้'
“...ครับ พวกเราฝ่าฝืนกฎของหมู่บ้าน และจะจากไปในคืนนี้...”
นางยิ้มให้กับคำตอบที่ค่อนข้างจะตรงไปตรงมาของเด็กหนุ่ม “และพวกเจ้าก็ไม่อาจตัดใจทิ้งนังหนูคนสวยไว้ จนต้องเสี่ยงมากันจนถึงที่นี่” รอยยิ้มหายวับไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน สีหน้าของนางเรียบเฉย แต่ราวกับจะสามารถมองเห็นประกายไฟที่กำลังลุกโชนออกมาจากดวงตาแวววาวคู่นั้น
“แล้วพวกเจ้าก็เชื่อว่า ถ้าแกล้งทำตัวเป็นแบบนี้ แล้วข้าจะประทับใจ จนยอมปล่อยให้พวกเจ้าหนีไปง่ายๆ อย่างนั้นหรือ...” ชุดสีดำที่เป็นยิ่งกว่าสีดำ ความเก่าแก่ที่เป็นยิ่งกว่าความเก่าแก่ แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าทุกสิ่งนั้นก็คือท่านยายที่เป็นท่านยาย นางยืนอยู่ตรงหน้า กำลังโกรธ และเป็นความจริง
“...ไม่ใช่ ครับ” อรุณตอบอย่างยากเย็น 'ใครที่เคยสอนว่าให้เผชิญหน้ากับความกลัวของตัวเองคงไม่เคยพบกันท่านยายเวลาโกรธมาก่อน'
“โอ้ ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้ามีแผนอย่างไรกันล่ะ” นางถาม
“ไม่มีครับ”
“หืม...” ความโกรธของท่านยายดูเหมือนจะหยุดชะงักไป ถูกแทนที่ด้วยความสนใจ ปนกับความหงุดหงิด และอรุณคาดว่าในไม่ช้า มันก็จะกลายเป็นความโกรธที่ทวีคูณขึ้นกว่าเดิม
“...ถ้าพวกเราช่วยรัตออกมาได้ ท่านยายจะยอมปล่อยให้พวกเราออกจากหมู่บ้านไปได้ไหมครับ” เด็กหนุ่มพูดด้วยเสียงดังเกินจำเป็น บางทีเขาอาจจะตื่นเต้นเกินไปหน่อย และเขาต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อประสานกับสายตาคู่นั้น มันมีความประหลาดใจถูกจุดขึ้นในความโกรธ มันอาจจะหมายถึงสิ่งที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ เขาไม่รู้อีกแล้ว
“ดูเหมือนที่บอกว่าพวกเจ้าไม่มีแผนอะไรนั่นจะไม่จริงสินะ อย่างน้อยพวกเจ้าก็ได้คิดอะไรกันมาบ้าง อย่างการต่อรองแบบนี้”
“ในเวลาไม่เกินครึ่...ไม่ ไม่เกินสิบห้านาที พวกเราจะช่วยรัตออกมา”
“หืม” คิ้วของท่านยายค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกของนางที่เอื้อมสัมผัสออกไปโดยรอบตั้งแต่แรกยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เด็กหนุ่มยืนอยู่ตรงหน้า เพื่อนตัวโตของเขาซ่อนอยู่ในความมืดห่างออกไปไม่ไกล ใครอีกคนซึ่งควรจะอยู่กับพวกเขาก็ไม่อาจสัมผัสได้ หมายความว่าคงไม่ได้อยู่แถวนี้
'สิบห้านาที เจ้าเด็กพวกนี้ ถ้าคิดจะปั่นหัวฉัน ก็หาเรื่องที่มันพอจะเป็นไปได้สักหน่อยได้ไหม' นางเริ่มหัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะที่ไม่มีใครอยากได้ยิน
“สิบห้านาทีเริ่มตั้งแต่ตอนนี้” อรุณตะโกนใส่ท่านยายอย่างลืมตัว
“ได้” ท่านยายตอบช้าๆ “หลังจากนั้นพวกเจ้าคงไม่อยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ริมฝีปากบิดตัวเป็นรอยยิ้มชั่วร้ายขึ้นมา “และจะต้องสำนึกเสียใจไปชั่วชีวิต กับการตัดสินใจครั้งนี้”
ท่านยายล้วงหยิบนาฬิกาพกเรือนเล็กๆ ออกมาจากภายในเสื้อคลุม มันเป็นแบบเรียบๆ ที่ไม่มีลวดลาย ก่อนจะเปิดฝาออกเพื่อมองดูเข็มเล็กๆ ซึ่งเคลื่อนที่เป็นวงกลม เวลา สิ่งที่ไม่อาจจับต้อง สิ่งที่ไม่อาจรู้สึกถึง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างมันกับทุกสิ่งนั้นไม่อาจตัดให้ขาดออกจากกันได้ หรืออย่างน้อยก็เชื่อกันว่าเป็นเช่นนั้น
“สิบห้านาทีสุดท้ายของพวกเจ้าเริ่มแล้ว”
นอกจากที่เบื้องหน้าระหว่างอรุณกับท่านยาย ค่ำคืนก็ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในทุกทุกที่ สิบห้านาทีที่อาจมีความสำคัญไม่เท่ากัน ความรู้สึกของผู้สังเกตุการณ์ที่ไม่เท่ากัน แต่สิบห้านาทีนั้นก็ไม่ได้แตกต่างกันเลยแม้แต่นัอย
ท่านยายไม่ได้บอกว่าจะยืนรออยู่เฉยๆ โดยไม่ขัดขวาง แต่นับตั้งแต่นางได้ตอบตกลง เด็กหนุ่มทั้งสองก็ยังไม่ได้เคลื่อนไหวลงมือทำอะไรทั้งสิ้น ทุกสิ่งที่นางสัมผัสได้โดยรอบดูจะสงบราบเรียบจนเกินไปเสียด้วยซ้ำ นางพยายามจับความเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่มตรงหน้า อ่านภาษากายของเขาที่จะถูกส่งออกมาโดยไม่ตั้งใจ
“ทำไมท่านยายถึงไม่อยากให้พวกเราตามไปช่วยรุ่งกลับมา” อรุณตัดสินใจถามในสิ่งที่เขายังสงสัย
“นังหนูนั่นไม่เคยมีตัวตน แล้วพวกเจ้าจะไปช่วยใครกัน”
“แต่เธอมีตัวตนสำหรับพวกเรา...แล้วทำไมถึงมีแต่พวกเราที่ยังจำเธอได้”
'มันคงง่ายกว่า ถ้าเด็กพวกนี้จะลืมเธอไปด้วย แต่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น' ด้วยเหตุผลที่นางเองก็ยังขบคิดไม่ออก ซึ่งทำให้นางลังเล และตกเข้าสู่สถานการณ์เช่นนี้ 'ฉันถูกเด็กพวกนี้ล่อให้เข้ามาในหลุมพลางของพวกเขา' และมันน่าสนใจตรงที่ นางรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นหลุมพลางตั้งแต่แรกหรือไม่ แล้วทำไมนางจึงตัดสินใจไปแบบนี้
เป็นนางถูกหลอก หรือว่านางหลอกตัวเองกันแน่
“มันเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าที่พวกเจ้าจะเข้าใจ และควรปล่อยให้เป็นไปตามที่ข้าตัดสินใจไปแล้วจะดีกว่า”
“...แต่ผมไม่คิดแบบนั้น” เขาพูดอ้อมแอ้ม แต่รู้ว่าความหมายของมันมากพอที่จะทำให้คนอย่างท่านยายโกรธ นางไม่เคยยอมให้ใครสงสัยในการตัดสินใจของนาง แต่ดูเหมือนว่าค่ำคืนนี้นางจะใจเย็นเป็นพิเศษ “เธอสำคัญสำหรับ...พวกเรา” เขาคิดว่ามันฟังดูเข้าท่ากว่าคำว่า ผม ที่เกือบจะหลุดปากออกไป “โดยเฉพาะกับรัต”
นางถอนใจ 'เพื่อน' กับ 'ความรัก' คือสิ่งสำคัญสำหรับเด็กพวกนี้ นางเองก็เคยเป็น 'และยังคงเป็นอยู่' เพียงแค่ต่างออกไปในความหมาย และความเข้าใจบ้างเท่านั้น
“ท่านยายไม่สงสัยหรือครับ ว่าทำไมพวกผมถึงยังไม่ลงมือทำอะไรเสียที” อรุณกลายเป็นฝ่ายทนไม่ไหว และต้องถามคำถามนี้ออกมาเสียเอง
“ถ้าข้ายืนยันว่า การช่วยเพื่อนของพวกเจ้ากลับมา จะหมายถึงการสิ้นสุดของโลกนี้ เจ้าจะว่าอย่างไร” นางไม่ใส่ใจคำถามของเขา
“...การสิ้นสุดของโลกนี้คืออะไร หรือท่านยายหมายถึงความทรงจำที่แตกต่างไปของชาวบ้านคนอื่นๆ แบบนั้น”
“ไม่ ข้าหมายความตามนั้น การสิ้นสุดก็คือการสิ้นสุด โลกนี้จะจบสิ้นลง หายไป ไม่มีอีกต่อไป” ครั้งนี้นางพูดอย่างช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ
“...เป็นไปไม่ได้...ท่านยายแค่จะขู่ให้พวกเรากลัว ใช่ไหม...” แต่เขาไม่ได้คิดแบบนั้น ท่านยายจึงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรในเรื่องนี้อีก เพราะคำพูดเมื่อครู่ได้ถูกรับรู้อย่างถูกต้องไปแล้ว
ท่านยายมองดูเข็มนาฬิกาในมือ “ใกล้จะครบสิบห้านาทีแล้ว” นางพูดขึ้นด้วยเสียงดัง คล้ายกับไม่เพียงแค่ต้องการให้เด็กหนุ่มทั้งสองที่อยู่นอกบ้านได้ยินเท่านั้น ใหญ่ตัดสินใจออกมาจากที่ซ่อนเพื่อมายืนเคียงข้างเพื่อน ถึงตอนนี้ทั้งสองต่างไม่มั่นใจว่ามันจะเป็นไปตามที่พวกเขาคิดไว้หรือไม่
คงมีเพียงท่านยายเท่านั้นที่ดูเหมือนจะยังคงมีความมั่นใจอยู่เช่นเดิม แต่ไม่มีใครรู้ว่านางกำลังมั่นใจในเรื่องใดกัน บางทีแม้แต่ตัวนางเองก็ยากจะบอกได้
“เหลืออีกแค่หนึ่งนาทีเท่านั้น” นางสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากใต้พื้นดิน พร้อมกับเสียงระเบิดเบาๆ ที่ดังมาจากทางทิศเหนือ นางจำไม่ได้แล้วว่ามันเป็นครั้งที่เท่าไร มันดูไม่รุนแรงเหมือนกับการระเบิดครั้งใหญ่ในครั้งแรก แต่นางรู้สึกได้ว่าแรงสั่นสะเทือนนั้นกำลังเคลื่อนลึกลงไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว
แล้วอีกไม่นาน...มันก็จะไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีกต่อไป ไม่มีอะไรทั้งสิ้นหลังจากนั้น
“อีกครึ่งนาที” ท่านยายตะโกนลั่น ในเสียงนั้นคล้ายมีรอยยิ้มเยาะติดไปด้วย
“...ฉัน...ออกมาได้แล้ว” รัตผลักประตูพร้อมกับก้าวออกมาจากภายในบ้าน เธอเหนื่อยหอบราวกับพึ่งออกกำลังมาอย่างสุดขีวิต แต่สิ่งที่เธอทำก็เพียงแค่เดินออกมาจากห้องที่ถูกกำหนดให้อยู่โดยท่านยายเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งเดือนเพื่อก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ก่อนหน้านั้น
ห้องไร้ประตู ที่ไม่มีวันหนีออกมาได้
ห้องนั้นก็เป็นเหมือนกับอาณาเขตของท่านยายที่พวกเขาได้เจอมาแล้วก่อนหน้า และแม้ว่าการรู้จักมันจะทำให้การฝ่าออกมาอาจเป็นไปได้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้มันง่ายขึ้นแม้แต่น้อย เธอเกือบจะยอมแพ้ไปแล้วหลายครั้ง แต่เสียงของท่านยายกลับคอยจุดประกายความตั้งใจให้ลุกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
รัตอยากเห็นสีหน้าแปลกใจ หรือแม้กระทั่งผิดหวังของท่านยาย เพราะครั้งนี้เธอสามารถเอาชนะได้ด้วยกำลังของตัวเอง
ท่านยายเก็บนาฬิกาพกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนที่นางจะจ้องหน้าอรุณคล้ายกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง “เจ้าลืมของไว้” นางดึงมือออกจากเสื้อคลุม เผยให้เห็นดาบที่คุ้นตาเล่มหนึ่ง และด้วยความรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ นางชักมันออกพร้อมกับปักปลายดาบลงบนหินก้อนใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนก้มวางฝักดาบไว้ข้างๆ “รีบไปได้แล้ว” นางพูดอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน เดินผ่านรัตไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
'แค่นี้นี่นะ' เธอได้แต่ร้องตะโกนอยู่ภายในใจด้วยความผิดหวัง เพราะไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะส่งเสียง แค่ยังยืนอยู่ได้นี้ก็แทบแย่แล้ว
“รีบไปกันเถอะ” ใหญ่รีบตรงเข้าไปประคองร่างของรัตเอาไว้ก่อนที่เธอจะหมดแรงล้มลง ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะต้องรีรออยู่แถวนี้อีก
อรุณพยักหน้าก่อนจะรีบตรงเข้าไปดึงดาบออกมาจากก้อนหิน ในตอนที่เขาเอื้อมมือออกไป เขาก็นึกถึงเรื่องเล่าที่ปู่ไปพบเจอดาบ และดึงมันออกมาจากก้อนหินอย่างช่วยไม่ได้
“...ขอบคุณครับ ท่านยาย” อรุณกล่าวทิ้งท้ายดังๆ ก่อนจากไป การเดินทางที่แท้จริงเพื่อช่วยรุ่งกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ถึงแม้เขาจะยังไม่รู้ว่ามันจะดำเนินต่อไปอย่างไรก็ตาม
#####
“รรีบขึ้นมาเร็ว” อีกอร่าตะโกนเร่งคนอื่นๆ อย่างร่าเริง เธอกำลังตื่นเต้น แม้ว่าจะรู้สึกกลัวอยู่บ้างก็ตาม เธอไม่เคยพบเจอเหตุการณ์แบบนี้มานานแล้ว นับว่าเป็นการไล่ล่าจากชาวบ้านทั้งหมู่บ้านอย่างเหมาะสม แสงคบไฟมองเห็นเป็นเส้นยาวเหยียด กลิ่นไหม้ เสียงฝีเท้า พร้อมกับเสียงเพลงแปลกๆ บางคนถึงกับมีถุงคลุมหน้ามาด้วย
“ต้องเป็นฝีมือท่านยายแน่ๆ “ รัตอยากจะกรีดร้องออกมา ในใจพลันได้ยินเสียงหัวเราะเสียดหูที่คุ้นเคยนั้น
ทุกคนต่างรีบกระโดดขึ้นบนรถม้า ใหญ่กับรัตนั่งประกบอีกอร่า ในขณะที่อรุณกับครูยุทธเกาะอยู่ด้านท้ายตัวรถสีดำ ม้าทั้งสองส่งเสียงร้องแข่งกับเสียงตะโกนโหวกเหวกไม่เป็นภาษาของ ชโรดิงเจอ แคท
รถม้าสีดำคันโตพุ่งออกจากหมู่บ้านอย่างรวดเร็วก่อนหายไปในความมืดมิด
แจ้ง (28) (แฟนตาซี)
เสียงอบอุ่นนุ่มนวลราวกับมารดาก้มลงกระซิบที่ข้างหูของเด็กน้อยเพื่อปลอบโยนให้นอนหลับฝันดี ผุดขึ้นมาเบาๆ ภายในห้วงสำนึกของร่างๆ หนึ่งที่กำลังล่องลอยอยู่ใน ที่ว่าง อันไม่อาจระบุปริมาตรได้ไม่ว่าจะด้วยมาตราวัดของมิติใดใดก็ตาม
ร่างนั้นลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ รับรู้ถึงสภาวะแวดล้อมอันไร้ขอบเขตที่น่าอึดอัด ปล่อยให้สมองทุกส่วนที่มีอยู่ทำงานอย่างเต็มที่เพื่อประมวลข้อมูลจากประสาทสัมผัสทุกประเภทที่มีอยู่บนร่าง
'ฉันเป็นใคร' 'ที่นี่คือที่ไหน' 'ฉันจะต้องทำอะไร' 'แล้วมันจะมีความหมายใดสำหรับตัวฉัน'
ส่วนที่เป็นแขนทั้งสองค่อยๆ กางออกอย่างช้าๆ ขาทั้งสองที่เคยงอขดอยู่ในท่ากอดเข่าก็ถูกเหยียดออกเช่นกัน ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังล่องลอยอยู่ในความว่าง ร่างของเขาไม่ได้เปลือยเปล่าอย่างที่ใครหลายคนอาจจินตนาการเอาไว้ เขาสวมใส่ชุดสูทที่ดูดี เพียงแต่สีของมันเท่านั้นที่ทำให้ไม่น่ามอง มันดูเป็นสีเทาสกปรก ที่ไม่ใช่ทั้งรอยเปื้อน หรือเพราะความเก่า แต่ราวกับชุดนั้นถูกถักขึ้นมาด้วยขี้เถ้าของซากกระดูก ทอจากสายใยที่ถูกบั่นของชีวิตทั้งมวลที่เคยล่วงลับไปจากความเป็นจริงทั้งมวล
เขาเริ่มส่งเสียงกรีดร้องให้กับสภาพความเป็นจริงล่าสุดของตัวเอง
#####
'…'
อรุณชะงักไปครู่หนึ่งเพราะราวกับเขาจะได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากที่ไกลๆ แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเขารู้ว่าเสียงนั้นไม่มีอยู่จริง เขารีบมุ่งความสนใจกลับมายังท่านยายที่บัดนี้ได้ออกมายืนอยู่ที่หน้าประตูบ้าน ภายใต้ชุดสีดำอันเก่าแก่ กับดวงตาที่ราวกับจะสามารถมองเห็นได้ทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ หรือเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาก็ตาม
“พวกเจ้าคงตัดสินใจกันมาดีแล้วสินะ”
นางรู้สึกได้ถึงใครอีกคนหนึ่งที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในบริเวณนี้ ซึ่งก็คงต้องเป็น ใหญ่ เด็กหนุ่มอีกคนอย่างไม่ต้องสงสัย นางคิดว่าจะต้องมีใครอีกคน แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ใครคนที่ว่าก็ไม่ได้อยู่แถวนี้ หรือบางทีอาจจะเป็นแผนที่เด็กพวกนี้คิดกันขึ้นมา มันทำให้นางรู้สึกไม่พอใจ เพราะไม่ควรมีใครคิดว่าจะสามารถใช้แผนกับท่านยายได้ ไม่ว่าจะเป็นท่านยายคนใดก็ตาม
'โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับท่านยายคนนี้'
“...ครับ พวกเราฝ่าฝืนกฎของหมู่บ้าน และจะจากไปในคืนนี้...”
นางยิ้มให้กับคำตอบที่ค่อนข้างจะตรงไปตรงมาของเด็กหนุ่ม “และพวกเจ้าก็ไม่อาจตัดใจทิ้งนังหนูคนสวยไว้ จนต้องเสี่ยงมากันจนถึงที่นี่” รอยยิ้มหายวับไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน สีหน้าของนางเรียบเฉย แต่ราวกับจะสามารถมองเห็นประกายไฟที่กำลังลุกโชนออกมาจากดวงตาแวววาวคู่นั้น
“แล้วพวกเจ้าก็เชื่อว่า ถ้าแกล้งทำตัวเป็นแบบนี้ แล้วข้าจะประทับใจ จนยอมปล่อยให้พวกเจ้าหนีไปง่ายๆ อย่างนั้นหรือ...” ชุดสีดำที่เป็นยิ่งกว่าสีดำ ความเก่าแก่ที่เป็นยิ่งกว่าความเก่าแก่ แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าทุกสิ่งนั้นก็คือท่านยายที่เป็นท่านยาย นางยืนอยู่ตรงหน้า กำลังโกรธ และเป็นความจริง
“...ไม่ใช่ ครับ” อรุณตอบอย่างยากเย็น 'ใครที่เคยสอนว่าให้เผชิญหน้ากับความกลัวของตัวเองคงไม่เคยพบกันท่านยายเวลาโกรธมาก่อน'
“โอ้ ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้ามีแผนอย่างไรกันล่ะ” นางถาม
“ไม่มีครับ”
“หืม...” ความโกรธของท่านยายดูเหมือนจะหยุดชะงักไป ถูกแทนที่ด้วยความสนใจ ปนกับความหงุดหงิด และอรุณคาดว่าในไม่ช้า มันก็จะกลายเป็นความโกรธที่ทวีคูณขึ้นกว่าเดิม
“...ถ้าพวกเราช่วยรัตออกมาได้ ท่านยายจะยอมปล่อยให้พวกเราออกจากหมู่บ้านไปได้ไหมครับ” เด็กหนุ่มพูดด้วยเสียงดังเกินจำเป็น บางทีเขาอาจจะตื่นเต้นเกินไปหน่อย และเขาต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อประสานกับสายตาคู่นั้น มันมีความประหลาดใจถูกจุดขึ้นในความโกรธ มันอาจจะหมายถึงสิ่งที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ เขาไม่รู้อีกแล้ว
“ดูเหมือนที่บอกว่าพวกเจ้าไม่มีแผนอะไรนั่นจะไม่จริงสินะ อย่างน้อยพวกเจ้าก็ได้คิดอะไรกันมาบ้าง อย่างการต่อรองแบบนี้”
“ในเวลาไม่เกินครึ่...ไม่ ไม่เกินสิบห้านาที พวกเราจะช่วยรัตออกมา”
“หืม” คิ้วของท่านยายค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกของนางที่เอื้อมสัมผัสออกไปโดยรอบตั้งแต่แรกยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เด็กหนุ่มยืนอยู่ตรงหน้า เพื่อนตัวโตของเขาซ่อนอยู่ในความมืดห่างออกไปไม่ไกล ใครอีกคนซึ่งควรจะอยู่กับพวกเขาก็ไม่อาจสัมผัสได้ หมายความว่าคงไม่ได้อยู่แถวนี้
'สิบห้านาที เจ้าเด็กพวกนี้ ถ้าคิดจะปั่นหัวฉัน ก็หาเรื่องที่มันพอจะเป็นไปได้สักหน่อยได้ไหม' นางเริ่มหัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะที่ไม่มีใครอยากได้ยิน
“สิบห้านาทีเริ่มตั้งแต่ตอนนี้” อรุณตะโกนใส่ท่านยายอย่างลืมตัว
“ได้” ท่านยายตอบช้าๆ “หลังจากนั้นพวกเจ้าคงไม่อยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ริมฝีปากบิดตัวเป็นรอยยิ้มชั่วร้ายขึ้นมา “และจะต้องสำนึกเสียใจไปชั่วชีวิต กับการตัดสินใจครั้งนี้”
ท่านยายล้วงหยิบนาฬิกาพกเรือนเล็กๆ ออกมาจากภายในเสื้อคลุม มันเป็นแบบเรียบๆ ที่ไม่มีลวดลาย ก่อนจะเปิดฝาออกเพื่อมองดูเข็มเล็กๆ ซึ่งเคลื่อนที่เป็นวงกลม เวลา สิ่งที่ไม่อาจจับต้อง สิ่งที่ไม่อาจรู้สึกถึง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างมันกับทุกสิ่งนั้นไม่อาจตัดให้ขาดออกจากกันได้ หรืออย่างน้อยก็เชื่อกันว่าเป็นเช่นนั้น
“สิบห้านาทีสุดท้ายของพวกเจ้าเริ่มแล้ว”
นอกจากที่เบื้องหน้าระหว่างอรุณกับท่านยาย ค่ำคืนก็ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในทุกทุกที่ สิบห้านาทีที่อาจมีความสำคัญไม่เท่ากัน ความรู้สึกของผู้สังเกตุการณ์ที่ไม่เท่ากัน แต่สิบห้านาทีนั้นก็ไม่ได้แตกต่างกันเลยแม้แต่นัอย
ท่านยายไม่ได้บอกว่าจะยืนรออยู่เฉยๆ โดยไม่ขัดขวาง แต่นับตั้งแต่นางได้ตอบตกลง เด็กหนุ่มทั้งสองก็ยังไม่ได้เคลื่อนไหวลงมือทำอะไรทั้งสิ้น ทุกสิ่งที่นางสัมผัสได้โดยรอบดูจะสงบราบเรียบจนเกินไปเสียด้วยซ้ำ นางพยายามจับความเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่มตรงหน้า อ่านภาษากายของเขาที่จะถูกส่งออกมาโดยไม่ตั้งใจ
“ทำไมท่านยายถึงไม่อยากให้พวกเราตามไปช่วยรุ่งกลับมา” อรุณตัดสินใจถามในสิ่งที่เขายังสงสัย
“นังหนูนั่นไม่เคยมีตัวตน แล้วพวกเจ้าจะไปช่วยใครกัน”
“แต่เธอมีตัวตนสำหรับพวกเรา...แล้วทำไมถึงมีแต่พวกเราที่ยังจำเธอได้”
'มันคงง่ายกว่า ถ้าเด็กพวกนี้จะลืมเธอไปด้วย แต่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น' ด้วยเหตุผลที่นางเองก็ยังขบคิดไม่ออก ซึ่งทำให้นางลังเล และตกเข้าสู่สถานการณ์เช่นนี้ 'ฉันถูกเด็กพวกนี้ล่อให้เข้ามาในหลุมพลางของพวกเขา' และมันน่าสนใจตรงที่ นางรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นหลุมพลางตั้งแต่แรกหรือไม่ แล้วทำไมนางจึงตัดสินใจไปแบบนี้
เป็นนางถูกหลอก หรือว่านางหลอกตัวเองกันแน่
“มันเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าที่พวกเจ้าจะเข้าใจ และควรปล่อยให้เป็นไปตามที่ข้าตัดสินใจไปแล้วจะดีกว่า”
“...แต่ผมไม่คิดแบบนั้น” เขาพูดอ้อมแอ้ม แต่รู้ว่าความหมายของมันมากพอที่จะทำให้คนอย่างท่านยายโกรธ นางไม่เคยยอมให้ใครสงสัยในการตัดสินใจของนาง แต่ดูเหมือนว่าค่ำคืนนี้นางจะใจเย็นเป็นพิเศษ “เธอสำคัญสำหรับ...พวกเรา” เขาคิดว่ามันฟังดูเข้าท่ากว่าคำว่า ผม ที่เกือบจะหลุดปากออกไป “โดยเฉพาะกับรัต”
นางถอนใจ 'เพื่อน' กับ 'ความรัก' คือสิ่งสำคัญสำหรับเด็กพวกนี้ นางเองก็เคยเป็น 'และยังคงเป็นอยู่' เพียงแค่ต่างออกไปในความหมาย และความเข้าใจบ้างเท่านั้น
“ท่านยายไม่สงสัยหรือครับ ว่าทำไมพวกผมถึงยังไม่ลงมือทำอะไรเสียที” อรุณกลายเป็นฝ่ายทนไม่ไหว และต้องถามคำถามนี้ออกมาเสียเอง
“ถ้าข้ายืนยันว่า การช่วยเพื่อนของพวกเจ้ากลับมา จะหมายถึงการสิ้นสุดของโลกนี้ เจ้าจะว่าอย่างไร” นางไม่ใส่ใจคำถามของเขา
“...การสิ้นสุดของโลกนี้คืออะไร หรือท่านยายหมายถึงความทรงจำที่แตกต่างไปของชาวบ้านคนอื่นๆ แบบนั้น”
“ไม่ ข้าหมายความตามนั้น การสิ้นสุดก็คือการสิ้นสุด โลกนี้จะจบสิ้นลง หายไป ไม่มีอีกต่อไป” ครั้งนี้นางพูดอย่างช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ
“...เป็นไปไม่ได้...ท่านยายแค่จะขู่ให้พวกเรากลัว ใช่ไหม...” แต่เขาไม่ได้คิดแบบนั้น ท่านยายจึงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรในเรื่องนี้อีก เพราะคำพูดเมื่อครู่ได้ถูกรับรู้อย่างถูกต้องไปแล้ว
ท่านยายมองดูเข็มนาฬิกาในมือ “ใกล้จะครบสิบห้านาทีแล้ว” นางพูดขึ้นด้วยเสียงดัง คล้ายกับไม่เพียงแค่ต้องการให้เด็กหนุ่มทั้งสองที่อยู่นอกบ้านได้ยินเท่านั้น ใหญ่ตัดสินใจออกมาจากที่ซ่อนเพื่อมายืนเคียงข้างเพื่อน ถึงตอนนี้ทั้งสองต่างไม่มั่นใจว่ามันจะเป็นไปตามที่พวกเขาคิดไว้หรือไม่
คงมีเพียงท่านยายเท่านั้นที่ดูเหมือนจะยังคงมีความมั่นใจอยู่เช่นเดิม แต่ไม่มีใครรู้ว่านางกำลังมั่นใจในเรื่องใดกัน บางทีแม้แต่ตัวนางเองก็ยากจะบอกได้
“เหลืออีกแค่หนึ่งนาทีเท่านั้น” นางสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากใต้พื้นดิน พร้อมกับเสียงระเบิดเบาๆ ที่ดังมาจากทางทิศเหนือ นางจำไม่ได้แล้วว่ามันเป็นครั้งที่เท่าไร มันดูไม่รุนแรงเหมือนกับการระเบิดครั้งใหญ่ในครั้งแรก แต่นางรู้สึกได้ว่าแรงสั่นสะเทือนนั้นกำลังเคลื่อนลึกลงไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว
แล้วอีกไม่นาน...มันก็จะไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีกต่อไป ไม่มีอะไรทั้งสิ้นหลังจากนั้น
“อีกครึ่งนาที” ท่านยายตะโกนลั่น ในเสียงนั้นคล้ายมีรอยยิ้มเยาะติดไปด้วย
“...ฉัน...ออกมาได้แล้ว” รัตผลักประตูพร้อมกับก้าวออกมาจากภายในบ้าน เธอเหนื่อยหอบราวกับพึ่งออกกำลังมาอย่างสุดขีวิต แต่สิ่งที่เธอทำก็เพียงแค่เดินออกมาจากห้องที่ถูกกำหนดให้อยู่โดยท่านยายเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งเดือนเพื่อก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ก่อนหน้านั้น
ห้องไร้ประตู ที่ไม่มีวันหนีออกมาได้
ห้องนั้นก็เป็นเหมือนกับอาณาเขตของท่านยายที่พวกเขาได้เจอมาแล้วก่อนหน้า และแม้ว่าการรู้จักมันจะทำให้การฝ่าออกมาอาจเป็นไปได้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้มันง่ายขึ้นแม้แต่น้อย เธอเกือบจะยอมแพ้ไปแล้วหลายครั้ง แต่เสียงของท่านยายกลับคอยจุดประกายความตั้งใจให้ลุกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
รัตอยากเห็นสีหน้าแปลกใจ หรือแม้กระทั่งผิดหวังของท่านยาย เพราะครั้งนี้เธอสามารถเอาชนะได้ด้วยกำลังของตัวเอง
ท่านยายเก็บนาฬิกาพกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนที่นางจะจ้องหน้าอรุณคล้ายกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง “เจ้าลืมของไว้” นางดึงมือออกจากเสื้อคลุม เผยให้เห็นดาบที่คุ้นตาเล่มหนึ่ง และด้วยความรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ นางชักมันออกพร้อมกับปักปลายดาบลงบนหินก้อนใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนก้มวางฝักดาบไว้ข้างๆ “รีบไปได้แล้ว” นางพูดอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน เดินผ่านรัตไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
'แค่นี้นี่นะ' เธอได้แต่ร้องตะโกนอยู่ภายในใจด้วยความผิดหวัง เพราะไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะส่งเสียง แค่ยังยืนอยู่ได้นี้ก็แทบแย่แล้ว
“รีบไปกันเถอะ” ใหญ่รีบตรงเข้าไปประคองร่างของรัตเอาไว้ก่อนที่เธอจะหมดแรงล้มลง ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะต้องรีรออยู่แถวนี้อีก
อรุณพยักหน้าก่อนจะรีบตรงเข้าไปดึงดาบออกมาจากก้อนหิน ในตอนที่เขาเอื้อมมือออกไป เขาก็นึกถึงเรื่องเล่าที่ปู่ไปพบเจอดาบ และดึงมันออกมาจากก้อนหินอย่างช่วยไม่ได้
“...ขอบคุณครับ ท่านยาย” อรุณกล่าวทิ้งท้ายดังๆ ก่อนจากไป การเดินทางที่แท้จริงเพื่อช่วยรุ่งกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ถึงแม้เขาจะยังไม่รู้ว่ามันจะดำเนินต่อไปอย่างไรก็ตาม
#####
“รรีบขึ้นมาเร็ว” อีกอร่าตะโกนเร่งคนอื่นๆ อย่างร่าเริง เธอกำลังตื่นเต้น แม้ว่าจะรู้สึกกลัวอยู่บ้างก็ตาม เธอไม่เคยพบเจอเหตุการณ์แบบนี้มานานแล้ว นับว่าเป็นการไล่ล่าจากชาวบ้านทั้งหมู่บ้านอย่างเหมาะสม แสงคบไฟมองเห็นเป็นเส้นยาวเหยียด กลิ่นไหม้ เสียงฝีเท้า พร้อมกับเสียงเพลงแปลกๆ บางคนถึงกับมีถุงคลุมหน้ามาด้วย
“ต้องเป็นฝีมือท่านยายแน่ๆ “ รัตอยากจะกรีดร้องออกมา ในใจพลันได้ยินเสียงหัวเราะเสียดหูที่คุ้นเคยนั้น
ทุกคนต่างรีบกระโดดขึ้นบนรถม้า ใหญ่กับรัตนั่งประกบอีกอร่า ในขณะที่อรุณกับครูยุทธเกาะอยู่ด้านท้ายตัวรถสีดำ ม้าทั้งสองส่งเสียงร้องแข่งกับเสียงตะโกนโหวกเหวกไม่เป็นภาษาของ ชโรดิงเจอ แคท
รถม้าสีดำคันโตพุ่งออกจากหมู่บ้านอย่างรวดเร็วก่อนหายไปในความมืดมิด