“เ งี ย บ”
ท่านยายออกคำสั่งเสียงดังเฉียบขาดด้วยสีหน้าเรียบเฉยตามความเคยชิน เจ้าของภาษาประหลาดที่กำลังส่งเสียงโวยวายอยู่นั้นก็เงียบไปจริงๆ แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนจะเริ่มตะโกนส่งเสียงดังยิ่งกว่าเดิม รัตขยับถอยห่างออกมาอย่างลืมตัว ก่อนจะรู้สึกถึงความโกรธที่พุ่งขึ้นของท่านยายเสียอีก ไม่เคยมีใครในหมู่บ้านที่กล้าขัดคำสั่งต่อหน้าท่านยายแบบนี้
ท่านยายยืนท้าวเอวจ้องเขม็งราวกับจะสามารถมองทะลุเข้าไปภายในตู้โดยสารสีดำของรถม้า กำลังจ้องตากับสิ่งลี้ลับที่อาศัยอยู่ภายใน
'หรือท่านยายกำลังทำแบบนั้นอยู่จริงๆ ' เธอเริ่มจะรู้สึกเชื่อขึ้นมา
นับเป็นครั้งแรกที่ศาสตราจารย์ ชโรดิงเจอ แคท เกิดความรู้สึกเช่นนี้ขึ้น แต่เมื่อมาลองคิดดูอีกที มันคงจะไม่ใช่ครั้งแรกจริงๆ เพียงแต่เขาไม่สามารถนึกออกแล้วว่าเคยรู้สึกแบบนี้ ก่อนหน้านี้ตั้งแต่เมื่อไร 'อาจเป็นก่อนที่ฉันจะเข้ามาติดอยู่ภายในการทดลองบ้าๆ นี่ก็เป็นได้' ซึ่งเขาไม่รู้ว่าจะใช้หน่วยวัดเวลาจากความรู้ทั้งหมดที่มีอยู่มาอธิบายถึงความยาวนานของมันได้อย่างไร
เขาไม่แน่ใจว่าความรู้สึกนี้คืออะไร แต่มีบางสิ่งข้างนอกนั่นทำให้มันเกิดขึ้น โดยทั่วไปแล้วเขาไม่เคยใส่ใจอะไรนอกจากอีกอร่า ซึ่งที่จริงเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรเธอนัก นอกจากการเป็นผู้ช่วยที่ดีในบางครั้ง มีบางอย่างข้างนอกนั่นกำลังทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก บางอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ มันทำให้เขารู้สึก 'กลัว' ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ทั้งที่เขาเป็นคนที่มีเหตุผลอย่างที่สุด
ในที่สุด ชโรดิงเจอ แคท ก็ยอมปิดปากเงียบเสียงลงด้วยตัวเอง
“...นั่น ค่อยดีขึ้นหน่อย” ท่านยายพึมพำเบาๆ โดยไม่แสดงท่าทางพอใจใดๆ ออกมาให้เห็น
รัตเองก็รู้สึกโล่งหูขึ้นเช่นกัน เมื่อเสียงภาษาประหลาดนั้นหยุดลง แต่ก็พลันรับรู้ได้ถึงความสนใจของท่านยายที่ย้อนกลับมาหาเธออีกครั้ง
“...เอ่อ...” เธอไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอธิบายเรื่องทั้งหมดนี้อย่างไร แต่สายตาคาดคั้นคู่นั้นก็ไม่ยินยอมให้เธอมีทางเลือกอื่น เธอจึงเริ่มต้นเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่แยกกับท่านยายไปตามลำดับ โดยเลือกใช้คำอย่างระมัดระวัง
ท่านยายเพียงเหลือบตามองรถม้า ดูที่นั่งคนขับ โดยไม่ขยับตัว หรือแสดงท่าทางว่าจะขึ้นไปตรวจสอบดูเลยแม้แต่น้อย บางทีอาจเป็นเพราะนางรู้อยู่แล้วว่าทั้งสองคนนั้นหายลงไปในที่แคบๆ ได้อย่างไร หายไปที่ไหน หรืออาจเป็นเพราะนางรู้ว่าตนเองยังไม่อาจอธิบายเหตุการณ์ประหลาดนี้ได้ และไม่ต้องการแสดงความพยายาม หรือทำให้รัตรู้ว่าเป็นอย่างนั้น แต่ที่แน่ๆ คือนางกำลังใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง
“...เอ่อ..ท่านยายพึ่งมาจากทางบ้านของหนูหรือเปล่าคะ” รัตตัดสินใจถามออกไปทั้งๆ ที่แอบกลัว แต่ความห่วงใยที่มีต่อพี่สาวฝาแฝดกับครอบครัวนั้นมากกว่าสิ่งอื่นใด
“ใช่” ท่านยายเพียงตอบอย่างไม่ใส่ใจ และรัตต้องนิ่งรออยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะมั่นใจว่าจะไม่มีคำอธิบายอื่นใดเพิ่มเติมอีก เธอจึงตัดใจถามออกไปอีกครั้ง“...ที่บ้านหนูเป็นอย่างไร มีใครเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“ก็เสียหายนิดหน่อย” ท่านยายตอบสั้นๆ อย่างรำคาญ ก่อนเริ่มออกเดินไปรอบๆ รถม้า พร้อมกับโน้มตัว เอื้อมมือลงไปที่พื้นเป็นครั้งคราว นางทำอย่างช้าๆ ด้วยท่าทีไม่เร่งร้อน ราวกับเป็นสาวน้อยที่กำลังเดินก้มเก็บดอกไม้งามตามท้องทุ่งเพื่อนำมาประดับเรือนผม หรือนำกลับไปตกแต่งบ้านให้ดูมีชีวิตชีวา
หลังการจากไปของปู่ของอรุณในค่ำคืนนี้ ก็คงไม่มีใครในหมู่บ้านอีกแล้วที่สามารถจดจำได้ว่า ครั้งหนึ่งท่านยายผู้นี้เองก็เคยเป็นเด็กสาวเหมือนกับคนอื่นๆ หลายครั้งที่การได้พบเจอกับรัตนั้นจะกระตุ้นเตือนให้นางหวนนึกถึงอดีตขึ้นมา นางเองก็เคยเป็นเด็กสาวที่ชอบเล่นโลดโผน ต่อยตีกับเด็กผู้ชาย แอบหนีออกไปผจญภัยนอกหมู่บ้าน ได้พบเจอกับเรื่องราวตื่นเต้น แปลกประหลาด ต่างๆ ที่เล่าไปก็คงไม่มีใครเชื่อ คงคิดว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นจาก จินตนาการวุ่นวาย ของเด็กสาวช่างฝันคนหนึ่งเท่านั้น
แต่ก็ยังมีอยู่อีกคนที่จะเชื่อฉัน
นักผจญภัยหนุ่มน้อยที่เดินทางมาจากมหานครอันห่างไกล ผู้ที่ต้องการล่วงรู้ความลับของสิ่งแปลกประหลาดต่างๆ ในดินแดนแถบนี้ รวมทั้งสถานที่ และวัตถุที่มีพลังลี้ลับจากยุคโบราณ รวมไปถึงสิ่งหนึ่งซึ่งตรงกันกับความสนใจของนางในช่วงเวลานั้นเข้าพอดี แต่เหตุผลสำคัญที่ทำให้นางตัดสินใจออกไปผจญภัยร่วมกับเขาในช่วงเวลานั้นคือ
ก็เขาหล่อดีนี่นา
รัตไม่พอใจกับคำตอบที่รู้สึกว่ายียวนของท่านยาย ไม่รู้ว่านางกำลังทำอะไร ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่สาว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อน กับหมู่บ้าน เธอคิดจะกรีดร้องใส่หน้านาง แต่ก็ยังไม่กล้าถึงขนาดนั้น
“เอาล่ะ เรียบร้อย” ท่านยายเช็ดมือทั้งสองเข้ากับชายเสื้อ พร้อมกับยืดตัวขึ้น โดยเตือนตัวเองไม่ให้ยกมือขึ้นกดที่ด้านหลังช่วงเอวซึ่งมีอาการปวดจนทำให้อยากจะกลับไปนอนพักเสียเดี๋ยวนี้
“จะไม่มีใครก้าวเข้าไป หรือออกมาจากวงก้อนหินนี้”
ท่านยายพูดพึมพำเบาๆ ช้าๆ ไม่เหมือนเป็นการออกคำสั่ง แต่ราวกับกำลังบอกเล่าถึงความเป็นจริงที่มีมาอย่างยาวนาน เหมือนกำลังพูดว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก ทะเลมีคลื่น มีน้ำขึ้นน้ำลง อะไรแบบนั้น
'อะไรเรียบร้อยกัน' รัตนึกสงสัย เธอไม่ได้ยินคำพูดนั้นของท่านยาย เพียงเห็นท่านยายเดินก้มๆ เงยๆ ไปรอบๆ รถม้าที่ถูกผูกโยงไว้เท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรที่ดูน่าประทับใจอย่างที่นางเคยทำ
'ฉันจะไม่เดินเข้าไปใกล้รถม้าอีกเด็ดขาด'
ความคิดหนึ่งของเธอสอดแทรกขึ้นมา 'ไม่สิ ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับใหญ่ เขายังอยู่ใต้ที่นั่ง ในตัวรถ หรืออยู่ที่ไหน' แต่ความคิดเดิมนั้นก็รีบดังแย้งขึ้นทันที 'ฉันจะไม่เดินเข้าไปใกล้มันอีกเด็ดขาด' ซึ่งถึงตอนนี้เธอก็เริ่มที่จะเชื่อว่ามันเป็นความคิดของตัวเธอเองแล้ว
ก้อนหินสีขาวก้อนเล็กๆ ที่ดูราวกับจะสามารถเรืองแสงเมื่อต้องกับแสงจันทร์ จำนวนหลายก้อนที่ถูกท่านยายจัดวางขึ้นเมื่อครู่ พวกมันเป็นวงกลมล้อมรอบตัวรถ รวมทั้งม้าสีดำทั้งสองเอาไว้ภายใน ด้วยตำแหน่งที่ดูเรียบง่าย ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ราวกับมันพวกอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่แรก ตั้งแต่ก่อนที่จะมีมนุษย์คนใดเข้ามาอาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้ด้วยซ้ำไป
วงหินเล็กๆ ที่พึ่งถูกสร้างขึ้นนี้ ก็เป็นเหมือนกับวงหินโบราณนั่นเอง
'พวกมันจะทำให้เกิดสนามพลังงานบางอย่างขึ้น บางช่วงคลื่นนั้นจะส่งผลกระทบโดยตรงกับการส่งกระแสประสาทสมองของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด บางช่วงคลื่นจะส่งผลกระทบกับสนามความโน้มถ่วง กาลอวกาศ รวมถึงสนามของความเป็นจริง พลังงานมืด และยังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่สามารถตรวจวัดได้ด้วยเครื่องมือที่มี'
นักผจญภัยหนุ่มน้อยคนนั้นเคยบอกกับนางที่ข้างกองไฟในค่ำคืนหนึ่ง พวกเขายังได้คุยกันในอีกหลายเรื่อง แต่เขาให้ความสนใจกับวงหินโบราณในแถบนี้เป็นพิเศษ นางเองก็เช่นกัน และได้นำทางเขาไปสำรวจวงหินเหล่านี้ด้วยกันจนทั่ว ทั้งสองต่างสนใจในสิ่งเดียวกัน แต่ด้วยมุมมอง ความรู้ ความเข้าใจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งในที่สุดก็ทำให้การผจญภัยอันสุดแสนอัศจรรย์ ความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มน้อยกับสาวใหญ่ที่ค่อยๆ งอกงามขึ้นนั้นต้องยุติลง
นางไม่เคยเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้น หรือสิ่งที่นางต้องตัดสินใจทำลงไปในครั้งนั้น ส่วนนักผจญภัยหนุ่มน้อยผู้มีนามว่า เอดิสัน คนนั้นจะคิดอย่างไรในตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่นางใส่ใจอีกแล้ว ถูกแล้ว เขาผู้นั้นคือ โทมัส อัลวา เอดิสัน นักประดิษฐ์ผู้โด่งดังแห่งมหานคร เจ้าของสิ่งประดิษฐ์ยอดเยี่ยมมากมายที่นางใช้อยู่โดยพยายามจะไม่ให้ใครในหมู่บ้านรู้นั่นเอง
'อย่างน้อยเขาก็ยังให้ส่วนลดพิเศษ กับการรับประกันแบบตลอดชีพด้วย'
รถม้าลึกลับคันนี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นางหวนนึกถึงเรื่องในอดีตนี้ขึ้นมา 'เขาต้องอยากทำการค้นคว้าทดลองเกี่ยวกับสิ่งนี้แน่' แต่สำหรับนาง มันเป็นเพียงสิ่งแปลกปลอมที่ยากจะเข้าใจ แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แล้ว 'ดูเหมือนเจ้าเด็กบ้าคนนั้นจะยังคงปลอดภัยอยู่' นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่นางพอจะบอกได้ 'อย่างน้อยก็จนถึงตอนนี้'
เธอคงต้องทำการสำรวจมันอีกครั้ง แต่ต้องทำเพียงลำพัง โดยไม่มีใครในหมู่บ้านล่วงรู้ เพราะท่านยายต้องรู้ทุกเรื่องอยู่เสมอ และต้องรู้ได้ทันทีโดยไม่ต้องมีความพยายามแบบคนทั่วไปด้วย 'ช่างเหลวไหลสิ้นดี' แต่มันก็เป็นความไม่จริงที่มีค่า เป็นความจริงที่นางต้องรักษาเอาไว้
“...เอ่อ...” รัตพยายามที่จะตั้งคำถามกับท่านยายอีกครั้ง
“เขากำลังมา” ท่านยายพลันพูดขึ้นลอยๆ แล้วจากที่ห่างออกไปไม่ไกลก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งดังใกล้เข้ามา และรัตคิดว่าเธอรู้จักเจ้าของเสียงฝีเท้าแบบนี้
“ท่านยาย...” อรุณพูดออกมาได้เพียงแค่นั้น ก่อนจะต้องพักหอบหายใจหลังจากที่ออกวิ่งเต็มฝีเท้าจากบ้านของรัตโดยติดตามเสียงวุ่นวายมาจนถึงสถานที่แห่งนี้ สิ่งที่ดึงดูดสายตาของเขาในทันทีก็คือรถม้าสีดำคันนั้น 'แต่ฉันจะไม่เข้าไปใกล้มันเด็ดขาด' ความคิดของเขารีบบอกตัวเองทันที ก่อนที่เขาจะรู้ว่ามีวงหินสีขาววางล้อมมันเอาไว้ด้วยซ้ำ แล้วเขาก็เหลือบไปเห็นใครอีกคนหนึ่งเข้า
อรุณกับรัตซึ่งกลับมาพบกันโดยไม่คาดหมาย ต่างรีบแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ต่างมีอยู่อย่างรวดเร็ว
“เกิดอะไรขึ้นที่บ้านฉัน”
“เกิดอะไรขึ้นในหมู่บ้าน แล้วรถม้าคันนี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ท่านยายเพียงยืนรับฟังอยู่เงียบๆ รอคอยเวลา สองหนุ่มสาวต่างมีคำถามมากมาย มากจนเกินไป แต่ต่างไม่มีคำตอบที่น่าพอใจเลยแม้แต่ข้อเดียว 'สุดท้ายแล้วพวกเขาก็จะหันมาทางนี้' ท่านยายนึกในขณะที่ทั้งคู่ต่างก็กำลังจะทำอย่างนั้นจริงๆ 'ผู้ที่มีคำตอบให้กับทุกคน...แต่ใครกันล่ะ ที่จะเป็นคนตอบคำถามให้ฉันบ้าง'
“เราจะย้อนกลับไปดูพ่อแม่ของแม่หนูคนนี้ก่อน แล้วค่อยไปสำรวจความเสียหายในหมู่บ้าน ส่วนเพื่อนตัวแสบของพวกเธอยังมีชีวิตอยู่ในกล่องประหลาดนี้” ท่านยายชี้นิ้วไปที่รถม้าสีดำ “มันจะจอดอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน แล้วฉันจะกลับมาจัดการในวันพรุ่งนี้ หลังจากเสร็จงานอื่นเสียก่อน”
“...แล้วรุ่งล่ะครับ” อรุณรีบถาม
“ทำไม พี่รุ่งเป็นอะไรไป” รัตถามด้วยความร้อนใจ
“...หากเธอหายตัวไป ก็คงต้องแยกย้ายกันออกไปค้นหา” นางตอบผ่านๆ
“ผมเห็นเจ้าตัวประหลาดนั่นแล้ว”
อรุณพยายามประสานสายตากับท่านยาย เขาคิดว่าเขา มองเห็น มันแล้ว ตัวประหลาดสองหัวสี่แขนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูบ้านในตอนนั้น เขาพึ่งเห็นมันอย่างที่เป็น เมื่อไม่มีความกลัว ไม่มีจินตนาการ ไม่มีความคิดอื่นใดเข้ามาแต่งเติม มันคือตัวประหลาดที่มีเพียงหัวเดียว กับแขนสองข้าง ยืนด้วยสองขาท่าทางคล้ายมนุษย์ แต่มีร่างกายสูงใหญ่กว่าคนทั่วไป และอาจจะรุงรังมากกว่าด้วย ส่วนความแปลกประหลาดน่ากลัวที่เขาเห็นนั้นเกิดจากการที่มันกำลังแบกอะไรบางอย่างเอาไว้บนหลังต่างหาก และหากเขาคิดไม่ผิด มันเป็นร่างเล็กๆ ที่มีผมยาวลงมาปิดใบหน้า กับแขนเล็กๆ อีกสองข้างที่ห้อยตกลงมาจากไหล่กว้างทั้งสอง
มันกำลังแบกใครบางคนไว้บนหลังก่อนที่จะหายไป
“ไม่ เจ้าไม่ได้เห็นอย่างนั้น” ท่านยายพูดช้าๆ แม้จะรู้สึกพอใจเด็กหนุ่มขึ้นมาบ้าง “เจ้าแค่คิดไปตามเรื่องที่ตัวเองเชื่อ จนเชื่อว่ามันเป็นความจริง ก็ไม่ต่างจากในตอนแรกที่เจ้าคิดไปตามเรื่องที่ตัวเองกลัว กลัวจนเชื่อว่ามันเป็นความจริง เจ้าจึงยังไม่รู้ว่าความเป็นจริงที่เจ้าพบเห็นนั้นคืออะไรกันแน่”
“แต่ผมเห็นมันแบก...”
“หรือเจ้ากล้ายืนยัน“ ท่านยายจ้องเด็กหนุ่มกลับไป และเขาก็ลังเล เขาไม่ได้เห็นมันเป็นแบบนั้นในตอนแรก และก็ไม่ได้เห็นมันเป็นแบบนั้นในตอนหลัง เขาเพียงแค่คิดว่าตัวเองน่าจะมองเห็นอะไร ซึ่งทำให้เขาไม่กล้ามั่นใจขนาดนั้น
สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายที่ต้องหลบสายตาท่านยายเสียเอง
แจ้ง (ุ15) (แฟนตาซี)
ท่านยายออกคำสั่งเสียงดังเฉียบขาดด้วยสีหน้าเรียบเฉยตามความเคยชิน เจ้าของภาษาประหลาดที่กำลังส่งเสียงโวยวายอยู่นั้นก็เงียบไปจริงๆ แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนจะเริ่มตะโกนส่งเสียงดังยิ่งกว่าเดิม รัตขยับถอยห่างออกมาอย่างลืมตัว ก่อนจะรู้สึกถึงความโกรธที่พุ่งขึ้นของท่านยายเสียอีก ไม่เคยมีใครในหมู่บ้านที่กล้าขัดคำสั่งต่อหน้าท่านยายแบบนี้
ท่านยายยืนท้าวเอวจ้องเขม็งราวกับจะสามารถมองทะลุเข้าไปภายในตู้โดยสารสีดำของรถม้า กำลังจ้องตากับสิ่งลี้ลับที่อาศัยอยู่ภายใน
'หรือท่านยายกำลังทำแบบนั้นอยู่จริงๆ ' เธอเริ่มจะรู้สึกเชื่อขึ้นมา
นับเป็นครั้งแรกที่ศาสตราจารย์ ชโรดิงเจอ แคท เกิดความรู้สึกเช่นนี้ขึ้น แต่เมื่อมาลองคิดดูอีกที มันคงจะไม่ใช่ครั้งแรกจริงๆ เพียงแต่เขาไม่สามารถนึกออกแล้วว่าเคยรู้สึกแบบนี้ ก่อนหน้านี้ตั้งแต่เมื่อไร 'อาจเป็นก่อนที่ฉันจะเข้ามาติดอยู่ภายในการทดลองบ้าๆ นี่ก็เป็นได้' ซึ่งเขาไม่รู้ว่าจะใช้หน่วยวัดเวลาจากความรู้ทั้งหมดที่มีอยู่มาอธิบายถึงความยาวนานของมันได้อย่างไร
เขาไม่แน่ใจว่าความรู้สึกนี้คืออะไร แต่มีบางสิ่งข้างนอกนั่นทำให้มันเกิดขึ้น โดยทั่วไปแล้วเขาไม่เคยใส่ใจอะไรนอกจากอีกอร่า ซึ่งที่จริงเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรเธอนัก นอกจากการเป็นผู้ช่วยที่ดีในบางครั้ง มีบางอย่างข้างนอกนั่นกำลังทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก บางอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ มันทำให้เขารู้สึก 'กลัว' ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ทั้งที่เขาเป็นคนที่มีเหตุผลอย่างที่สุด
ในที่สุด ชโรดิงเจอ แคท ก็ยอมปิดปากเงียบเสียงลงด้วยตัวเอง
“...นั่น ค่อยดีขึ้นหน่อย” ท่านยายพึมพำเบาๆ โดยไม่แสดงท่าทางพอใจใดๆ ออกมาให้เห็น
รัตเองก็รู้สึกโล่งหูขึ้นเช่นกัน เมื่อเสียงภาษาประหลาดนั้นหยุดลง แต่ก็พลันรับรู้ได้ถึงความสนใจของท่านยายที่ย้อนกลับมาหาเธออีกครั้ง
“...เอ่อ...” เธอไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอธิบายเรื่องทั้งหมดนี้อย่างไร แต่สายตาคาดคั้นคู่นั้นก็ไม่ยินยอมให้เธอมีทางเลือกอื่น เธอจึงเริ่มต้นเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่แยกกับท่านยายไปตามลำดับ โดยเลือกใช้คำอย่างระมัดระวัง
ท่านยายเพียงเหลือบตามองรถม้า ดูที่นั่งคนขับ โดยไม่ขยับตัว หรือแสดงท่าทางว่าจะขึ้นไปตรวจสอบดูเลยแม้แต่น้อย บางทีอาจเป็นเพราะนางรู้อยู่แล้วว่าทั้งสองคนนั้นหายลงไปในที่แคบๆ ได้อย่างไร หายไปที่ไหน หรืออาจเป็นเพราะนางรู้ว่าตนเองยังไม่อาจอธิบายเหตุการณ์ประหลาดนี้ได้ และไม่ต้องการแสดงความพยายาม หรือทำให้รัตรู้ว่าเป็นอย่างนั้น แต่ที่แน่ๆ คือนางกำลังใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง
“...เอ่อ..ท่านยายพึ่งมาจากทางบ้านของหนูหรือเปล่าคะ” รัตตัดสินใจถามออกไปทั้งๆ ที่แอบกลัว แต่ความห่วงใยที่มีต่อพี่สาวฝาแฝดกับครอบครัวนั้นมากกว่าสิ่งอื่นใด
“ใช่” ท่านยายเพียงตอบอย่างไม่ใส่ใจ และรัตต้องนิ่งรออยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะมั่นใจว่าจะไม่มีคำอธิบายอื่นใดเพิ่มเติมอีก เธอจึงตัดใจถามออกไปอีกครั้ง“...ที่บ้านหนูเป็นอย่างไร มีใครเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“ก็เสียหายนิดหน่อย” ท่านยายตอบสั้นๆ อย่างรำคาญ ก่อนเริ่มออกเดินไปรอบๆ รถม้า พร้อมกับโน้มตัว เอื้อมมือลงไปที่พื้นเป็นครั้งคราว นางทำอย่างช้าๆ ด้วยท่าทีไม่เร่งร้อน ราวกับเป็นสาวน้อยที่กำลังเดินก้มเก็บดอกไม้งามตามท้องทุ่งเพื่อนำมาประดับเรือนผม หรือนำกลับไปตกแต่งบ้านให้ดูมีชีวิตชีวา
หลังการจากไปของปู่ของอรุณในค่ำคืนนี้ ก็คงไม่มีใครในหมู่บ้านอีกแล้วที่สามารถจดจำได้ว่า ครั้งหนึ่งท่านยายผู้นี้เองก็เคยเป็นเด็กสาวเหมือนกับคนอื่นๆ หลายครั้งที่การได้พบเจอกับรัตนั้นจะกระตุ้นเตือนให้นางหวนนึกถึงอดีตขึ้นมา นางเองก็เคยเป็นเด็กสาวที่ชอบเล่นโลดโผน ต่อยตีกับเด็กผู้ชาย แอบหนีออกไปผจญภัยนอกหมู่บ้าน ได้พบเจอกับเรื่องราวตื่นเต้น แปลกประหลาด ต่างๆ ที่เล่าไปก็คงไม่มีใครเชื่อ คงคิดว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นจาก จินตนาการวุ่นวาย ของเด็กสาวช่างฝันคนหนึ่งเท่านั้น
แต่ก็ยังมีอยู่อีกคนที่จะเชื่อฉัน
นักผจญภัยหนุ่มน้อยที่เดินทางมาจากมหานครอันห่างไกล ผู้ที่ต้องการล่วงรู้ความลับของสิ่งแปลกประหลาดต่างๆ ในดินแดนแถบนี้ รวมทั้งสถานที่ และวัตถุที่มีพลังลี้ลับจากยุคโบราณ รวมไปถึงสิ่งหนึ่งซึ่งตรงกันกับความสนใจของนางในช่วงเวลานั้นเข้าพอดี แต่เหตุผลสำคัญที่ทำให้นางตัดสินใจออกไปผจญภัยร่วมกับเขาในช่วงเวลานั้นคือ
ก็เขาหล่อดีนี่นา
รัตไม่พอใจกับคำตอบที่รู้สึกว่ายียวนของท่านยาย ไม่รู้ว่านางกำลังทำอะไร ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่สาว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อน กับหมู่บ้าน เธอคิดจะกรีดร้องใส่หน้านาง แต่ก็ยังไม่กล้าถึงขนาดนั้น
“เอาล่ะ เรียบร้อย” ท่านยายเช็ดมือทั้งสองเข้ากับชายเสื้อ พร้อมกับยืดตัวขึ้น โดยเตือนตัวเองไม่ให้ยกมือขึ้นกดที่ด้านหลังช่วงเอวซึ่งมีอาการปวดจนทำให้อยากจะกลับไปนอนพักเสียเดี๋ยวนี้
“จะไม่มีใครก้าวเข้าไป หรือออกมาจากวงก้อนหินนี้”
ท่านยายพูดพึมพำเบาๆ ช้าๆ ไม่เหมือนเป็นการออกคำสั่ง แต่ราวกับกำลังบอกเล่าถึงความเป็นจริงที่มีมาอย่างยาวนาน เหมือนกำลังพูดว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก ทะเลมีคลื่น มีน้ำขึ้นน้ำลง อะไรแบบนั้น
'อะไรเรียบร้อยกัน' รัตนึกสงสัย เธอไม่ได้ยินคำพูดนั้นของท่านยาย เพียงเห็นท่านยายเดินก้มๆ เงยๆ ไปรอบๆ รถม้าที่ถูกผูกโยงไว้เท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรที่ดูน่าประทับใจอย่างที่นางเคยทำ
'ฉันจะไม่เดินเข้าไปใกล้รถม้าอีกเด็ดขาด'
ความคิดหนึ่งของเธอสอดแทรกขึ้นมา 'ไม่สิ ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับใหญ่ เขายังอยู่ใต้ที่นั่ง ในตัวรถ หรืออยู่ที่ไหน' แต่ความคิดเดิมนั้นก็รีบดังแย้งขึ้นทันที 'ฉันจะไม่เดินเข้าไปใกล้มันอีกเด็ดขาด' ซึ่งถึงตอนนี้เธอก็เริ่มที่จะเชื่อว่ามันเป็นความคิดของตัวเธอเองแล้ว
ก้อนหินสีขาวก้อนเล็กๆ ที่ดูราวกับจะสามารถเรืองแสงเมื่อต้องกับแสงจันทร์ จำนวนหลายก้อนที่ถูกท่านยายจัดวางขึ้นเมื่อครู่ พวกมันเป็นวงกลมล้อมรอบตัวรถ รวมทั้งม้าสีดำทั้งสองเอาไว้ภายใน ด้วยตำแหน่งที่ดูเรียบง่าย ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ราวกับมันพวกอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่แรก ตั้งแต่ก่อนที่จะมีมนุษย์คนใดเข้ามาอาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้ด้วยซ้ำไป
วงหินเล็กๆ ที่พึ่งถูกสร้างขึ้นนี้ ก็เป็นเหมือนกับวงหินโบราณนั่นเอง
'พวกมันจะทำให้เกิดสนามพลังงานบางอย่างขึ้น บางช่วงคลื่นนั้นจะส่งผลกระทบโดยตรงกับการส่งกระแสประสาทสมองของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด บางช่วงคลื่นจะส่งผลกระทบกับสนามความโน้มถ่วง กาลอวกาศ รวมถึงสนามของความเป็นจริง พลังงานมืด และยังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่สามารถตรวจวัดได้ด้วยเครื่องมือที่มี'
นักผจญภัยหนุ่มน้อยคนนั้นเคยบอกกับนางที่ข้างกองไฟในค่ำคืนหนึ่ง พวกเขายังได้คุยกันในอีกหลายเรื่อง แต่เขาให้ความสนใจกับวงหินโบราณในแถบนี้เป็นพิเศษ นางเองก็เช่นกัน และได้นำทางเขาไปสำรวจวงหินเหล่านี้ด้วยกันจนทั่ว ทั้งสองต่างสนใจในสิ่งเดียวกัน แต่ด้วยมุมมอง ความรู้ ความเข้าใจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งในที่สุดก็ทำให้การผจญภัยอันสุดแสนอัศจรรย์ ความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มน้อยกับสาวใหญ่ที่ค่อยๆ งอกงามขึ้นนั้นต้องยุติลง
นางไม่เคยเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้น หรือสิ่งที่นางต้องตัดสินใจทำลงไปในครั้งนั้น ส่วนนักผจญภัยหนุ่มน้อยผู้มีนามว่า เอดิสัน คนนั้นจะคิดอย่างไรในตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่นางใส่ใจอีกแล้ว ถูกแล้ว เขาผู้นั้นคือ โทมัส อัลวา เอดิสัน นักประดิษฐ์ผู้โด่งดังแห่งมหานคร เจ้าของสิ่งประดิษฐ์ยอดเยี่ยมมากมายที่นางใช้อยู่โดยพยายามจะไม่ให้ใครในหมู่บ้านรู้นั่นเอง
'อย่างน้อยเขาก็ยังให้ส่วนลดพิเศษ กับการรับประกันแบบตลอดชีพด้วย'
รถม้าลึกลับคันนี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นางหวนนึกถึงเรื่องในอดีตนี้ขึ้นมา 'เขาต้องอยากทำการค้นคว้าทดลองเกี่ยวกับสิ่งนี้แน่' แต่สำหรับนาง มันเป็นเพียงสิ่งแปลกปลอมที่ยากจะเข้าใจ แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แล้ว 'ดูเหมือนเจ้าเด็กบ้าคนนั้นจะยังคงปลอดภัยอยู่' นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่นางพอจะบอกได้ 'อย่างน้อยก็จนถึงตอนนี้'
เธอคงต้องทำการสำรวจมันอีกครั้ง แต่ต้องทำเพียงลำพัง โดยไม่มีใครในหมู่บ้านล่วงรู้ เพราะท่านยายต้องรู้ทุกเรื่องอยู่เสมอ และต้องรู้ได้ทันทีโดยไม่ต้องมีความพยายามแบบคนทั่วไปด้วย 'ช่างเหลวไหลสิ้นดี' แต่มันก็เป็นความไม่จริงที่มีค่า เป็นความจริงที่นางต้องรักษาเอาไว้
“...เอ่อ...” รัตพยายามที่จะตั้งคำถามกับท่านยายอีกครั้ง
“เขากำลังมา” ท่านยายพลันพูดขึ้นลอยๆ แล้วจากที่ห่างออกไปไม่ไกลก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งดังใกล้เข้ามา และรัตคิดว่าเธอรู้จักเจ้าของเสียงฝีเท้าแบบนี้
“ท่านยาย...” อรุณพูดออกมาได้เพียงแค่นั้น ก่อนจะต้องพักหอบหายใจหลังจากที่ออกวิ่งเต็มฝีเท้าจากบ้านของรัตโดยติดตามเสียงวุ่นวายมาจนถึงสถานที่แห่งนี้ สิ่งที่ดึงดูดสายตาของเขาในทันทีก็คือรถม้าสีดำคันนั้น 'แต่ฉันจะไม่เข้าไปใกล้มันเด็ดขาด' ความคิดของเขารีบบอกตัวเองทันที ก่อนที่เขาจะรู้ว่ามีวงหินสีขาววางล้อมมันเอาไว้ด้วยซ้ำ แล้วเขาก็เหลือบไปเห็นใครอีกคนหนึ่งเข้า
อรุณกับรัตซึ่งกลับมาพบกันโดยไม่คาดหมาย ต่างรีบแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ต่างมีอยู่อย่างรวดเร็ว
“เกิดอะไรขึ้นที่บ้านฉัน”
“เกิดอะไรขึ้นในหมู่บ้าน แล้วรถม้าคันนี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ท่านยายเพียงยืนรับฟังอยู่เงียบๆ รอคอยเวลา สองหนุ่มสาวต่างมีคำถามมากมาย มากจนเกินไป แต่ต่างไม่มีคำตอบที่น่าพอใจเลยแม้แต่ข้อเดียว 'สุดท้ายแล้วพวกเขาก็จะหันมาทางนี้' ท่านยายนึกในขณะที่ทั้งคู่ต่างก็กำลังจะทำอย่างนั้นจริงๆ 'ผู้ที่มีคำตอบให้กับทุกคน...แต่ใครกันล่ะ ที่จะเป็นคนตอบคำถามให้ฉันบ้าง'
“เราจะย้อนกลับไปดูพ่อแม่ของแม่หนูคนนี้ก่อน แล้วค่อยไปสำรวจความเสียหายในหมู่บ้าน ส่วนเพื่อนตัวแสบของพวกเธอยังมีชีวิตอยู่ในกล่องประหลาดนี้” ท่านยายชี้นิ้วไปที่รถม้าสีดำ “มันจะจอดอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน แล้วฉันจะกลับมาจัดการในวันพรุ่งนี้ หลังจากเสร็จงานอื่นเสียก่อน”
“...แล้วรุ่งล่ะครับ” อรุณรีบถาม
“ทำไม พี่รุ่งเป็นอะไรไป” รัตถามด้วยความร้อนใจ
“...หากเธอหายตัวไป ก็คงต้องแยกย้ายกันออกไปค้นหา” นางตอบผ่านๆ
“ผมเห็นเจ้าตัวประหลาดนั่นแล้ว”
อรุณพยายามประสานสายตากับท่านยาย เขาคิดว่าเขา มองเห็น มันแล้ว ตัวประหลาดสองหัวสี่แขนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูบ้านในตอนนั้น เขาพึ่งเห็นมันอย่างที่เป็น เมื่อไม่มีความกลัว ไม่มีจินตนาการ ไม่มีความคิดอื่นใดเข้ามาแต่งเติม มันคือตัวประหลาดที่มีเพียงหัวเดียว กับแขนสองข้าง ยืนด้วยสองขาท่าทางคล้ายมนุษย์ แต่มีร่างกายสูงใหญ่กว่าคนทั่วไป และอาจจะรุงรังมากกว่าด้วย ส่วนความแปลกประหลาดน่ากลัวที่เขาเห็นนั้นเกิดจากการที่มันกำลังแบกอะไรบางอย่างเอาไว้บนหลังต่างหาก และหากเขาคิดไม่ผิด มันเป็นร่างเล็กๆ ที่มีผมยาวลงมาปิดใบหน้า กับแขนเล็กๆ อีกสองข้างที่ห้อยตกลงมาจากไหล่กว้างทั้งสอง
มันกำลังแบกใครบางคนไว้บนหลังก่อนที่จะหายไป
“ไม่ เจ้าไม่ได้เห็นอย่างนั้น” ท่านยายพูดช้าๆ แม้จะรู้สึกพอใจเด็กหนุ่มขึ้นมาบ้าง “เจ้าแค่คิดไปตามเรื่องที่ตัวเองเชื่อ จนเชื่อว่ามันเป็นความจริง ก็ไม่ต่างจากในตอนแรกที่เจ้าคิดไปตามเรื่องที่ตัวเองกลัว กลัวจนเชื่อว่ามันเป็นความจริง เจ้าจึงยังไม่รู้ว่าความเป็นจริงที่เจ้าพบเห็นนั้นคืออะไรกันแน่”
“แต่ผมเห็นมันแบก...”
“หรือเจ้ากล้ายืนยัน“ ท่านยายจ้องเด็กหนุ่มกลับไป และเขาก็ลังเล เขาไม่ได้เห็นมันเป็นแบบนั้นในตอนแรก และก็ไม่ได้เห็นมันเป็นแบบนั้นในตอนหลัง เขาเพียงแค่คิดว่าตัวเองน่าจะมองเห็นอะไร ซึ่งทำให้เขาไม่กล้ามั่นใจขนาดนั้น
สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายที่ต้องหลบสายตาท่านยายเสียเอง