แนวทางในการรักษา โรคทางจิตเวช

ผมเป็นผู้ป่วยจิตเวช หมอวินิจฉัยว่าเป็น ไบโพล่า ผมทานยามา 15 ปีแล้ว แต่ตอนนี้ผมใกล้จะหายแล้ว ผมจะบอกไห้ฟังว่าผมทำยังใง
เมื่อก่อนช่วงแรกๆ ผมทานแต่ยาอย่างเดียว อาการก็แบบ ถ้าขาดยา อาการจะกำเริบ ความคิดจะเพี้ยน ไม่เหมือนคนปกติ วิตกกังวลเกินกว่าเหตุ เครียดตลอดเวลา จนผมคิดว่าผมต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อให้ผมไม่ต้องกินยาไปจนตาย ผมรักษาด้วยการทานยามา 4 ปี แล้วพอผมคิดว่าอาการดีขึ้นพอที่จะควบคุมความคิดได้ ผมจึงลางานเพื่อบวช 1 พรรษา แนวทางรักษา เมื่อคนใข้ผ่านจุดวิกฤติแล้ว จึงสามารถฝึกจิตได้ ผมพยายามรักษาตนเองโดยการฝึกจิต ย้ำ ไม่ใช่ฝึกสมาธิ แต่เป็นการฝึกสติ คือการทีเราเป็นโรคนี้ เนื่องจากเรา สติไม่ดี
สาเหตุของโรคมาจากตรงนี้ ส่วนสารเคมีในสมองมันก็ปรับไปตามจิตใจของเรา เมื่อเราไม่มีสติเราจะคิดนั่นโน่น นี่ จะเป็นความคิดไปทางลบ ซึ่งบั่นทอนกำลังใจ ของตัวเองมาก จนผมได้มาฝึกจิต ตามหลัก สติปัฏฐาน 4 จิตใจผมเริ่มกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว มันทำให้เราหยุดความคิดได้ พอทำบ่อยเข้า สารเคมีในสมอง มันจะปรับไปตามจิตใจของเราจนเราลืมเรื่องราวเลวร้าย ต่างๆ ไปเลย แต่ในขณะฝึกจิต ก็ต้องทานยาควบคู่ไปด้วย ยาแค่ไปปรับสารเคมีในสมอง
พอหยุดกินยา ก็กลับมาเป็นต่อ แต่ถ้าเราฝึกสติ มันจะไปหยุดความคิดเรื่องราวเลวร้ายต่างๆ และจะหายกลับมาเป็นปกติ โดยไม่ต้องพึ่งยาอีกเลย

ปล. ผมฝึกสติปัฏฐาน 4 มาตลอด 10 ปี ไม่ใช่จะทำได้ทีเดียวเลย และต้องทานยาควบคู่ไปด้วยครับ

ขอแทกวิทยาศาสตร์ ด้วยนะครับ เพื่อบอกให้ทราบว่าหนทางออกไม่ใช่กินยาอย่างเดียว

เพิ่มเติม;

เดี๋ยวมีคนแยกแยะไม่ถูกระหว่าง ฝึกสมาธิ กับเจริญสติ การฝึกสมาธิคือให้ใจจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสื่งหนึ่งเป็นเวลานานๆ เช่นท่องพุธโธๆ เวลาหายใจเข้าออก แต่การฝึกสติ คือการฝึกกำหนดรู้ คือการรู้ตัวว่าตอนนี้เรากำลังทำอะไร เช่นกำลังหายใจเข้ากำลังหายใจออก กำลังนั่ง กำลังเดิน เอาจิตไปรู้ ว่าปัจจุบันตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ให้ความคิดคิดแต่สิ่งที่กำลังทำอยู่ครับ

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้ป่วยจิตเวชหลายๆ คนนะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่