โพลเผย! คนทำงานออฟฟิศเสี่ยง “ภาวะสติแตก” เพิ่มขึ้น ลั่น: ทำงานในประเทศไทยทุกคนต้องเจอ
เมื่อเร็วๆ นี้ มีผลสำรวจที่น่าตกใจเกี่ยวกับสุขภาพจิตของคนทำงานในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานออฟฟิศ ซึ่งพบว่าความเสี่ยงที่จะเกิด “ภาวะสติแตก” หรือการหลุดการควบคุมทางอารมณ์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากความเครียดสะสมจากการทำงาน สภาพแวดล้อมที่กดดัน และการบริหารเวลาในชีวิตประจำวันที่ยากขึ้น
ทำไมคนทำงานออฟฟิศถึงเสี่ยงสูง?
1. วัฒนธรรมการทำงานแบบกดดัน
การทำงานในประเทศไทยมักมาพร้อมกับความคาดหวังสูง โดยเฉพาะในองค์กรที่เน้นผลลัพธ์ ทำให้พนักงานต้องทำงานหนักเกินเวลา บางครั้งแม้แต่นอกเวลางานก็ยังต้องตอบอีเมลหรือแก้ไขปัญหา
2. ภาระงานที่ล้นเกิน
งานที่ไม่มีที่สิ้นสุดและการขาดแคลนบุคลากรในหลายองค์กร ทำให้พนักงานต้องรับผิดชอบงานเกินความสามารถและขีดจำกัด ส่งผลให้เกิดความเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ
3. ความไม่มั่นคงในอาชีพ
ในยุคเศรษฐกิจผันผวน หลายคนกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงในหน้าที่การงาน โดยเฉพาะในกลุ่มที่ต้องเผชิญกับการลดจำนวนพนักงานหรือการปรับโครงสร้างองค์กร
4. การเดินทางและสภาพแวดล้อม
การเดินทางที่ใช้เวลานานในเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เพิ่มความเครียดในชีวิตประจำวัน
ผลกระทบจาก “ภาวะสติแตก“
1. ด้านสุขภาพจิต
• เกิดความวิตกกังวล ซึมเศร้า หรือหมดไฟในการทำงาน (Burnout)
• มีแนวโน้มแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวหรือระบายอารมณ์ต่อเพื่อนร่วมงาน
2. ด้านสุขภาพกาย
• อาการปวดหัวเรื้อรัง นอนไม่หลับ หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับความเครียด เช่น ความดันโลหิตสูง
• ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
3. ด้านประสิทธิภาพการทำงาน
• ขาดสมาธิ ทำงานผิดพลาดบ่อย
• ลดความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างาน
เสียงสะท้อนจากคนทำงาน
“ทำงานในไทย ใครไม่เครียดคือต้องเก่งมาก! ทุกวันคือเหมือนแข่งเอาชีวิตรอด ทั้งงานที่ไม่มีวันจบ เจ้านายที่คาดหวังสูง และเดินทางติดชั่วโมงกว่า ไหนจะค่าครองชีพอีก” พนักงานออฟฟิศรายหนึ่งกล่าวพร้อมถอนหายใจ
อีกคนเสริมว่า “บางทีไม่ใช่แค่งานนะที่ทำให้เครียด การต้องรับมือกับนิสัยเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้าที่ไม่มีเหตุผลก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้หมดพลังชีวิต”
ภาวะสติแตก หรือที่บางคนเรียกว่า “การหลุดการควบคุมอารมณ์” เป็นสถานการณ์ที่จิตใจและอารมณ์ของเราถูกผลักดันจนเกินขีดจำกัด ส่งผลให้เราขาดสติ ไม่สามารถคิดหรือควบคุมการกระทำได้อย่างมีเหตุผล มักเกิดขึ้นเมื่อเราต้องเผชิญกับความกดดัน ความเครียด หรือเหตุการณ์ที่กระตุ้นอารมณ์รุนแรง หากไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัวและความสัมพันธ์กับผู้อื่น รวมถึงสุขภาพจิตในระยะยาว
ผลกระทบของภาวะสติแตก
1. ด้านจิตใจ
• รู้สึกวิตกกังวลหรือโกรธมากจนยากจะสงบลง
• มีแนวโน้มที่จะตัดสินใจผิดพลาดเพราะคิดไม่รอบคอบ
• เกิดความรู้สึกผิดหรือเสียใจหลังจากหลุดควบคุม
2. ด้านความสัมพันธ์
• ทะเลาะกับคนรอบข้างเพราะคำพูดหรือการกระทำที่รุนแรง
• สูญเสียความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากเพื่อนหรือครอบครัว
3. ด้านร่างกาย
• เกิดอาการทางกาย เช่น ใจสั่น ปวดหัว หรือความดันโลหิตสูง
• หากเกิดบ่อยครั้ง อาจนำไปสู่โรคที่เกี่ยวข้องกับความเครียด เช่น โรคหัวใจหรือไมเกรน
วิธีแก้ปัญหา
1. หยุดและหายใจลึกๆ
• หากรู้สึกว่ากำลังจะหลุดการควบคุม ให้หยุดสิ่งที่กำลังทำแล้วหายใจเข้าลึกๆ และช้าๆ การทำเช่นนี้ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและลดความตื่นตระหนก
2. ระบายอารมณ์ด้วยวิธีที่เหมาะสม
• เขียนความรู้สึกลงในสมุด
• พูดคุยกับคนที่ไว้ใจเพื่อระบายความเครียด
• ใช้กิจกรรมสร้างสรรค์ เช่น วาดภาพหรือฟังเพลง เพื่อปลดปล่อยอารมณ์
3. ฝึกสติ (Mindfulness)
• การฝึกสติช่วยให้เรารู้เท่าทันอารมณ์และความคิดในขณะนั้น วิธีนี้ช่วยให้เรารับมือกับสถานการณ์ที่ยากลำบากได้ดีขึ้น
4. จัดการต้นเหตุของความเครียด
• วิเคราะห์ว่าปัจจัยใดที่ทำให้เกิดความเครียดหรือความกดดัน แล้วพยายามแก้ไขทีละขั้นตอน เช่น หากงานหนักเกินไป ให้จัดตารางเวลาหรือขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงาน
5. ออกกำลังกาย
• การออกกำลังกาย เช่น วิ่งหรือโยคะ ช่วยลดฮอร์โมนความเครียดและเพิ่มสารเอ็นโดรฟินที่ช่วยให้รู้สึกดี
6. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
• หากปัญหาไม่สามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง การพูดคุยกับนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์จะช่วยให้ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสม
ภาวะสติแตกเป็นสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม การเรียนรู้ที่จะจัดการกับอารมณ์และความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นในระยะสั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงทั้งทางจิตใจและร่างกายในระยะยาว การฝึกสติ การจัดการต้นเหตุของปัญหา และการดูแลตัวเองด้วยวิธีที่เหมาะสม ล้วนเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันไม่ให้เราหลุดควบคุมอีกครั้ง เพราะสุดท้ายแล้ว การดูแลสุขภาพจิตใจอย่างสมดุลจะช่วยให้เรามีชีวิตที่สงบสุขและมีคุณภาพมากขึ้น.
โพลเผย! คนทำงานออฟฟิศเสี่ยง “ภาวะสติแตก” เพิ่มขึ้น ลั่น: ทำงานในประเทศไทยทุกคนต้องเจอ
เมื่อเร็วๆ นี้ มีผลสำรวจที่น่าตกใจเกี่ยวกับสุขภาพจิตของคนทำงานในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานออฟฟิศ ซึ่งพบว่าความเสี่ยงที่จะเกิด “ภาวะสติแตก” หรือการหลุดการควบคุมทางอารมณ์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากความเครียดสะสมจากการทำงาน สภาพแวดล้อมที่กดดัน และการบริหารเวลาในชีวิตประจำวันที่ยากขึ้น
ทำไมคนทำงานออฟฟิศถึงเสี่ยงสูง?
1. วัฒนธรรมการทำงานแบบกดดัน
การทำงานในประเทศไทยมักมาพร้อมกับความคาดหวังสูง โดยเฉพาะในองค์กรที่เน้นผลลัพธ์ ทำให้พนักงานต้องทำงานหนักเกินเวลา บางครั้งแม้แต่นอกเวลางานก็ยังต้องตอบอีเมลหรือแก้ไขปัญหา
2. ภาระงานที่ล้นเกิน
งานที่ไม่มีที่สิ้นสุดและการขาดแคลนบุคลากรในหลายองค์กร ทำให้พนักงานต้องรับผิดชอบงานเกินความสามารถและขีดจำกัด ส่งผลให้เกิดความเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ
3. ความไม่มั่นคงในอาชีพ
ในยุคเศรษฐกิจผันผวน หลายคนกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงในหน้าที่การงาน โดยเฉพาะในกลุ่มที่ต้องเผชิญกับการลดจำนวนพนักงานหรือการปรับโครงสร้างองค์กร
4. การเดินทางและสภาพแวดล้อม
การเดินทางที่ใช้เวลานานในเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เพิ่มความเครียดในชีวิตประจำวัน
ผลกระทบจาก “ภาวะสติแตก“
1. ด้านสุขภาพจิต
• เกิดความวิตกกังวล ซึมเศร้า หรือหมดไฟในการทำงาน (Burnout)
• มีแนวโน้มแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวหรือระบายอารมณ์ต่อเพื่อนร่วมงาน
2. ด้านสุขภาพกาย
• อาการปวดหัวเรื้อรัง นอนไม่หลับ หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับความเครียด เช่น ความดันโลหิตสูง
• ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
3. ด้านประสิทธิภาพการทำงาน
• ขาดสมาธิ ทำงานผิดพลาดบ่อย
• ลดความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างาน
เสียงสะท้อนจากคนทำงาน
“ทำงานในไทย ใครไม่เครียดคือต้องเก่งมาก! ทุกวันคือเหมือนแข่งเอาชีวิตรอด ทั้งงานที่ไม่มีวันจบ เจ้านายที่คาดหวังสูง และเดินทางติดชั่วโมงกว่า ไหนจะค่าครองชีพอีก” พนักงานออฟฟิศรายหนึ่งกล่าวพร้อมถอนหายใจ
อีกคนเสริมว่า “บางทีไม่ใช่แค่งานนะที่ทำให้เครียด การต้องรับมือกับนิสัยเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้าที่ไม่มีเหตุผลก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้หมดพลังชีวิต”
ภาวะสติแตก หรือที่บางคนเรียกว่า “การหลุดการควบคุมอารมณ์” เป็นสถานการณ์ที่จิตใจและอารมณ์ของเราถูกผลักดันจนเกินขีดจำกัด ส่งผลให้เราขาดสติ ไม่สามารถคิดหรือควบคุมการกระทำได้อย่างมีเหตุผล มักเกิดขึ้นเมื่อเราต้องเผชิญกับความกดดัน ความเครียด หรือเหตุการณ์ที่กระตุ้นอารมณ์รุนแรง หากไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัวและความสัมพันธ์กับผู้อื่น รวมถึงสุขภาพจิตในระยะยาว
ผลกระทบของภาวะสติแตก
1. ด้านจิตใจ
• รู้สึกวิตกกังวลหรือโกรธมากจนยากจะสงบลง
• มีแนวโน้มที่จะตัดสินใจผิดพลาดเพราะคิดไม่รอบคอบ
• เกิดความรู้สึกผิดหรือเสียใจหลังจากหลุดควบคุม
2. ด้านความสัมพันธ์
• ทะเลาะกับคนรอบข้างเพราะคำพูดหรือการกระทำที่รุนแรง
• สูญเสียความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากเพื่อนหรือครอบครัว
3. ด้านร่างกาย
• เกิดอาการทางกาย เช่น ใจสั่น ปวดหัว หรือความดันโลหิตสูง
• หากเกิดบ่อยครั้ง อาจนำไปสู่โรคที่เกี่ยวข้องกับความเครียด เช่น โรคหัวใจหรือไมเกรน
วิธีแก้ปัญหา
1. หยุดและหายใจลึกๆ
• หากรู้สึกว่ากำลังจะหลุดการควบคุม ให้หยุดสิ่งที่กำลังทำแล้วหายใจเข้าลึกๆ และช้าๆ การทำเช่นนี้ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและลดความตื่นตระหนก
2. ระบายอารมณ์ด้วยวิธีที่เหมาะสม
• เขียนความรู้สึกลงในสมุด
• พูดคุยกับคนที่ไว้ใจเพื่อระบายความเครียด
• ใช้กิจกรรมสร้างสรรค์ เช่น วาดภาพหรือฟังเพลง เพื่อปลดปล่อยอารมณ์
3. ฝึกสติ (Mindfulness)
• การฝึกสติช่วยให้เรารู้เท่าทันอารมณ์และความคิดในขณะนั้น วิธีนี้ช่วยให้เรารับมือกับสถานการณ์ที่ยากลำบากได้ดีขึ้น
4. จัดการต้นเหตุของความเครียด
• วิเคราะห์ว่าปัจจัยใดที่ทำให้เกิดความเครียดหรือความกดดัน แล้วพยายามแก้ไขทีละขั้นตอน เช่น หากงานหนักเกินไป ให้จัดตารางเวลาหรือขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงาน
5. ออกกำลังกาย
• การออกกำลังกาย เช่น วิ่งหรือโยคะ ช่วยลดฮอร์โมนความเครียดและเพิ่มสารเอ็นโดรฟินที่ช่วยให้รู้สึกดี
6. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
• หากปัญหาไม่สามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง การพูดคุยกับนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์จะช่วยให้ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสม
ภาวะสติแตกเป็นสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม การเรียนรู้ที่จะจัดการกับอารมณ์และความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นในระยะสั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงทั้งทางจิตใจและร่างกายในระยะยาว การฝึกสติ การจัดการต้นเหตุของปัญหา และการดูแลตัวเองด้วยวิธีที่เหมาะสม ล้วนเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันไม่ให้เราหลุดควบคุมอีกครั้ง เพราะสุดท้ายแล้ว การดูแลสุขภาพจิตใจอย่างสมดุลจะช่วยให้เรามีชีวิตที่สงบสุขและมีคุณภาพมากขึ้น.