สวัสดีครับ
วันนี้มารีวิวร้าน Sushi อีกร้านใน Tokyo ครับ ออกตัวก่อนว่าผมไม่ได้เป็นนักชิมอาหารที่ดีมากมาย แต่ผมได้มีโอกาสไปกินในหลายๆร้าน เลยพอจะมีประสบการณ์ในการแชร์เรื่องราว ความรู้สึก จากร้านที่ไปเทียบกับร้านอื่นๆครับ ขออภัยที่บางทีรูปไม่สวยบ้าง เบลอบ้างด้วยครับ ที่เขียนเป็นความเห็นส่วนตัวของผมล้วนๆเลย วันนี้ผมได้มีโอกาสไปทานร้าน Sushi Michelin 2 Stars อีกร้านที่ Tokyo ครับ ร้านนี้อยู่ในย่าน Aoyama ห่างจากสถานี Aoyama-itchome Station ประมาณ 1km ครับ ชื่อร้าน Umi (海味) เดินประมาณ 15 นาที รับลองเดินแล้วจะหิวพอดีครับ ;)
บรรยากาศหน้าร้านครับ จะมีคนมารอก่อนคิวที่ทำการจองมาก่อนหน้าร้านเสมอ เพราะข้างในไม่มีที่รอครับ
ร้านนี้มีประวัติค่อนข้างเศร้าครับ เนื่องจาก Taichou หรือ Head Chef เดิมคือ Mitsuyasu Nagano หรือคนญี่ปุ่นจะเรียกฉายาว่า Oyaji-san ซึ่งแปลว่า ปรมาจารย์ ประมาณนี้ครับ
แต่เป็นข่าวสะเทือนวงการว่าแกเพิ่งเสียชีวิตเมื่อประมาณต้นปี 2015 ในขณะที่อายุยังน้อย ร้านได้ปิดตัวไประยะนึงครับ และสืบทอดมากับ Chef อีกคนคือ Nakamura San แต่ร้านก็ยังรักษาระดับ Michelin 2 Stars มาได้ในปีล่าสุด 2017 ครับ
ร้านนี้โดดเด่นที่ปริมาณและคุณภาพของอาหาร Otsumami หรือ Appitizer และคุณภาพและความสดของปลาหลากหลายชนิดครับ และขิงดองของร้านนี้ก็ทำได้ดีกว่าหลายๆร้านเนื่องจากการตัดค่อนข้างหนา และรสชาติที่พอดีครับ
ส่วนบรรยากาศภายในร้านนั้น ทำได้แตกต่างจากร้าน Sushi high end ร้านอื่นค่อนข้างมาก เนื่องจาก Chef นั้นจัดเต็มครับ ทั้งเสียงที่ดังและท่าทางความตั้งใจในแต่ละเมนูครับ ก็แปลกกว่าร้านทั่วไปมากในบรรยากาศเรียบหรูของร้าน
ราคา Omakase ที่นี่ค่อนข้างสูงกว่าที่อื่นครับ แต่อยู่ในเรทของร้านใน Tokyo กับ Michelin 2 Stars ผมจำราคาแน่นอนไม่ได้ แต่น่าจะประมาณ 22,000 Yen ต่อคนครับ แต่เทียบกับปริมาณที่ได้ก็นับว่าค่อนข้างโอเคครับ ตัวร้านนั้นมี counter seat 10 ที่นั่งกับ Chef 2 คนครับ และมีห้อง Private อีก 1 ห้อง เป็นร้านที่จองค่อนข้างยากมากร้านนึงในโตเกียว ผมเข้าใจว่าชื่อเสียงของร้านและรางวัลที่ได้ครับ
ตอนที่ผมไปอาจจะโชคดีก็ได้ที่ได้เจอทั้ง Nakamura San ที่สืบทอดจาก Nagano San เป็น Generation ที่ 3 และ Amamoto San ซึ่งตอนนี้ได้ย้ายออกไปเปิดร้านของตัวเองที่เพิ่งได้ Michelin 2 Stars เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับชื่อว่าร้าน Amamoto (東麻布 天本) ผมโชคดีมากที่ได้เจอทั้งคู่ทำงานด้วยกันก่อนจะจากกันในไม่กี่เดือน
อาหาร Otsumami ที่เสิร์ฟมีด้วยกันถึง 11 ชนิดครับ
1. Shiroebi (กุ้งขาวเล็กสับ) - จานนี้ทำได้ดีครับ เนื่องจากใช้ซอสบ๊วยในการทานคู่กับกุ้งที่สดหวานครับ เป็นการเริ่มต้นด้วยดี
2. Chutoro (ทูน่าส่วนท้องมันปานกลาง) - ร้านนี้มี Teaser ก่อนครับกับปลาทูน่า Chutoro พูดถึงตัวปลาก่อนครับร้านนี้ผมว่ามีการ aging หรือบ่มที่ดีครับ รสชาติที่ได้ค่อนข้างแน่น และมีความเข้มข้นกว่าร้านทั่วไป แต่ผมยังให้ Sushi Tokami เป็นเบอร์ 1 ที่คุ้มค่าที่สุดของผมครับ
3. Aoyaki (หอยหวาน) จากฮอกไกโด โดยส่วนตัวผมชอบความกรุบกรอบของ Aoyaki ครับ คุณภาพสดดีครับแต่ว่าไม่ได้พิเศษจากร้านอื่น
4. Hotate (หอยเชลล์) ตัวหอยเชลล์แน่นอนครับสดและหวานนุ่ม แต่อยู่ในมาตรฐานทั่วไปครับ
5. Nodoguro (Blackthroat Seaperch) เป็นปลาเนื้อขาวที่ค่อนข้าง Juicy และมันที่สุดครับเป็นปลาประจำหน้าหนาว ผมชอบมากครับ แต่ร้านนี้คุณภาพยังอยู่กลางๆ และการย่างค่อนข้างสุกไป ผมเคยเจอร้านเด็ดกว่านี้หลายร้านเหมือนกันครับ
6. Kawahagi and liver sauce (ปลาหน้าวัวและซอสตับ) จานนี้ผมชื่นชมซอสตับครับ อร่อยมากครับ
7. Kaki (หอยนางรม) หลายๆคนอาจจะชอบหอยนางรมญี่ปุ่นที่เน้นความใหญ่และมันครับ แต่ผมยังว่าหอยนางรมตัวเล็กรสชาติเข้มกว่า และอร่อยกว่าครับ ร้านนี้ทำได้โอเคครับ รสชาติเข้มและกลิ่นจากทะเล แต่ในนั้นผมรู้สึกได้ถึงความสดหวานของหอยครับ อีกที่ที่ผมประทับใจและไม่แพงคือ Sushidai ที่ Tsukiji ครับ อันนั้นตัวใหญ่หน่อยแต่รสชาติเข้มดี
8. Ankimo (ตับปลา Monk Fish) ผมว่าเป็นเมนูที่โดดเด่นของร้านนี้ทีเดียว เนื่องจากปริมาณค่อนข้างใหญ่ และความสดของตับ ผมว่าอร่อยมากครับ
Amamoto San แล่ Ankimo ครับ
พร้อมเสิร์ฟครับ
9. Fugu Shirako (อสุจิปลาปักเป้า) เป็นเมนูโปรดของผมในหน้าหนาว แต่ร้านนี้ผมว่ายังทำออกมาได้ปานกลางครับ ผมชอบแบบย่าง Aburi มากกว่าครับ
10. Aomori vs Saga Uni (ไข่หอยเม่นจาก Aomori และ Saga) เป็น Best season Uni ที่ทางร้านนำมาเสนอ โดยรวมโอเคครับ เนื่องจากไม่มันจนเกินไป และสด ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นพันธุ์ Murasaki แต่ผมยังให้อยู่ในระดับปานกลางผมยังไม่รู้สึกว่าแตกต่างกว่าร้านระดับเดียวกันเท่าไหร่นัก
11. Katsuo (ปลาโอญี่ปุ่น) เป็นปลาที่รสชาติเข้มสุดครับ เลยเป็นชิ้นสุดท้ายก่อนจะเริ่มคอร์ส Sushi
จากนั้นก็เป็นในส่วนของ Sushi นั้นมีด้วยกัน 13 คำ และ Tamago + Miso Soup ปิดท้ายครับ ผมจะบรรยายสรุปไว้ตอนท้ายนะครับ
1. Amaebi (กุ้งหวาน)
2. Ika (ปลาหมึกกระดอง)
3. Chidai (ปลา Chidai อยู่ในกลุ่ม Madai ครับ) *แก้ครับ ขอบคุณคุณ Call_me_HerO ด้วยครับ
4. Buri (ปลาบุรี)
5. Kohada (ปลาโคฮาดะดองน้ำส้ม)
6. Shime Saba (ปลาซาบะ)
7. Uni and Ikura (ไข่หอยเม่นและไข่ปลาแซลมอน)
8. Akami suke (ปลาทูน่าหมักซอส)
9. Otoro (ปลาทูน่าส่วนมันที่สุดช่วงท้อง)
10. Akagai (หอยแครงญี่ปุ่น)
11. Vegetable roll (เป็น roll สาหร่าย ผักดอง Tsukemono ต่างๆ)
12. Shako (กั้ง)
13. Anago (ปลาไหลทะเล)
จากนั้นจะเป็น Tamago (ไข่หวานญี่ปุ่น) และ Miso Soup ปิดท้ายครับ
อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวผมจริงๆครับ ผมค่อนข้างผิดหวังกับซูชิร้านนี้ เนื่องจากข้าวที่ใช้ปั้นนั้นค่อนข้างแข็งไป เหนียว และรสชาติอยู่ในเกณฑ์ปานกลางครับ ตัว Neta หรือส่วนของปลาที่มาใช้กับข้าวนั้นค่อนข้างโอเค แต่รสชาติโดยรวมทำให้ตกลงจากมาตรฐานครับ ผมคิดว่าส่วนของ Shari หรือข้าวซูชินั้นเป็นส่วนผสมสำคัญที่สุดในซูชิเลยครับ ยิ่งประเทศญี่ปุ่นที่สามารถหาวัตถุดิบได้ดีที่สุด พอร้านนี้ทำข้าวไม่โอเค ทำให้ประสบการณ์ผมค่อนข้างแย่ครับ แต่โดยรวมก็เป็นประสบการณ์ที่ดีกับการได้สัมผัสร้านอาหารในแนวเอาจริงเอาจังของ Legendary Chef ทั้งสองคนครับ เป็นบรรยากาศค่อนข้างใหม่ และหาที่ไหนไม่ได้ เชฟทั้ง 2 คนดูตั้งใจทำกันมาก ทุ่มเทสุดๆครับ ผมเคยไปทานร้าน Sushi Michelin 2 Stars อีกร้านในแถบ Hyogo ครับ ทุกอย่าง Perfect มากแต่มาตายตรง Shari เหมือนกันเพราะข้าวเค็มเกินไป เสียดายมากๆเช่นกัน เท่าที่ร้าน Sushi ที่ได้ Michelin 2 Stars ผมชอบ Sawada มากที่สุดครับแต่ร้านนั้นก็ราคามหาโหดเช่นกัน และไม่ยอมให้ถ่ายรูปเลยนำมาแชร์ลำบาก แต่ผมก็ยังไม่ได้ทานอีกหลายร้านเช่นกันก็เลยต้องลองไปเรื่อยๆ
และก็เจออีกหลายร้านที่ไม่มี Michelin แต่อร่อยกว่าร้าน Michelin มากมายครับ
รสชาติ: 3.5/5.0
การบริการ: 3.7/5.0
บรรยากาศร้าน: 3.8/5.0
ความคุ้มค่า: 3.4/5.0
ราคา: 22,000 Yen for Omakase Course
Tabelog link:
https://tabelog.com/en/tokyo/A1306/A130603/13001179/
Location on Google map:
https://goo.gl/maps/qCgtiEZJihF2
ขอบคุณมากครับที่เปิดเข้ามาดูและอ่านนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้P.S. ติดตามรีวิวอื่นๆได้ทาง http://www.facebook.com/LuxeBelly/ ครับ
[CR] LuxeBelly Review - Umi (海味): ร้าน Michelin 2 Stars Sushi ในย่าน Aoyama, Tokyo
วันนี้มารีวิวร้าน Sushi อีกร้านใน Tokyo ครับ ออกตัวก่อนว่าผมไม่ได้เป็นนักชิมอาหารที่ดีมากมาย แต่ผมได้มีโอกาสไปกินในหลายๆร้าน เลยพอจะมีประสบการณ์ในการแชร์เรื่องราว ความรู้สึก จากร้านที่ไปเทียบกับร้านอื่นๆครับ ขออภัยที่บางทีรูปไม่สวยบ้าง เบลอบ้างด้วยครับ ที่เขียนเป็นความเห็นส่วนตัวของผมล้วนๆเลย วันนี้ผมได้มีโอกาสไปทานร้าน Sushi Michelin 2 Stars อีกร้านที่ Tokyo ครับ ร้านนี้อยู่ในย่าน Aoyama ห่างจากสถานี Aoyama-itchome Station ประมาณ 1km ครับ ชื่อร้าน Umi (海味) เดินประมาณ 15 นาที รับลองเดินแล้วจะหิวพอดีครับ ;)
บรรยากาศหน้าร้านครับ จะมีคนมารอก่อนคิวที่ทำการจองมาก่อนหน้าร้านเสมอ เพราะข้างในไม่มีที่รอครับ
ร้านนี้มีประวัติค่อนข้างเศร้าครับ เนื่องจาก Taichou หรือ Head Chef เดิมคือ Mitsuyasu Nagano หรือคนญี่ปุ่นจะเรียกฉายาว่า Oyaji-san ซึ่งแปลว่า ปรมาจารย์ ประมาณนี้ครับ แต่เป็นข่าวสะเทือนวงการว่าแกเพิ่งเสียชีวิตเมื่อประมาณต้นปี 2015 ในขณะที่อายุยังน้อย ร้านได้ปิดตัวไประยะนึงครับ และสืบทอดมากับ Chef อีกคนคือ Nakamura San แต่ร้านก็ยังรักษาระดับ Michelin 2 Stars มาได้ในปีล่าสุด 2017 ครับ
ร้านนี้โดดเด่นที่ปริมาณและคุณภาพของอาหาร Otsumami หรือ Appitizer และคุณภาพและความสดของปลาหลากหลายชนิดครับ และขิงดองของร้านนี้ก็ทำได้ดีกว่าหลายๆร้านเนื่องจากการตัดค่อนข้างหนา และรสชาติที่พอดีครับ
ส่วนบรรยากาศภายในร้านนั้น ทำได้แตกต่างจากร้าน Sushi high end ร้านอื่นค่อนข้างมาก เนื่องจาก Chef นั้นจัดเต็มครับ ทั้งเสียงที่ดังและท่าทางความตั้งใจในแต่ละเมนูครับ ก็แปลกกว่าร้านทั่วไปมากในบรรยากาศเรียบหรูของร้าน
ราคา Omakase ที่นี่ค่อนข้างสูงกว่าที่อื่นครับ แต่อยู่ในเรทของร้านใน Tokyo กับ Michelin 2 Stars ผมจำราคาแน่นอนไม่ได้ แต่น่าจะประมาณ 22,000 Yen ต่อคนครับ แต่เทียบกับปริมาณที่ได้ก็นับว่าค่อนข้างโอเคครับ ตัวร้านนั้นมี counter seat 10 ที่นั่งกับ Chef 2 คนครับ และมีห้อง Private อีก 1 ห้อง เป็นร้านที่จองค่อนข้างยากมากร้านนึงในโตเกียว ผมเข้าใจว่าชื่อเสียงของร้านและรางวัลที่ได้ครับ
ตอนที่ผมไปอาจจะโชคดีก็ได้ที่ได้เจอทั้ง Nakamura San ที่สืบทอดจาก Nagano San เป็น Generation ที่ 3 และ Amamoto San ซึ่งตอนนี้ได้ย้ายออกไปเปิดร้านของตัวเองที่เพิ่งได้ Michelin 2 Stars เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับชื่อว่าร้าน Amamoto (東麻布 天本) ผมโชคดีมากที่ได้เจอทั้งคู่ทำงานด้วยกันก่อนจะจากกันในไม่กี่เดือน
อาหาร Otsumami ที่เสิร์ฟมีด้วยกันถึง 11 ชนิดครับ
1. Shiroebi (กุ้งขาวเล็กสับ) - จานนี้ทำได้ดีครับ เนื่องจากใช้ซอสบ๊วยในการทานคู่กับกุ้งที่สดหวานครับ เป็นการเริ่มต้นด้วยดี
2. Chutoro (ทูน่าส่วนท้องมันปานกลาง) - ร้านนี้มี Teaser ก่อนครับกับปลาทูน่า Chutoro พูดถึงตัวปลาก่อนครับร้านนี้ผมว่ามีการ aging หรือบ่มที่ดีครับ รสชาติที่ได้ค่อนข้างแน่น และมีความเข้มข้นกว่าร้านทั่วไป แต่ผมยังให้ Sushi Tokami เป็นเบอร์ 1 ที่คุ้มค่าที่สุดของผมครับ
3. Aoyaki (หอยหวาน) จากฮอกไกโด โดยส่วนตัวผมชอบความกรุบกรอบของ Aoyaki ครับ คุณภาพสดดีครับแต่ว่าไม่ได้พิเศษจากร้านอื่น
4. Hotate (หอยเชลล์) ตัวหอยเชลล์แน่นอนครับสดและหวานนุ่ม แต่อยู่ในมาตรฐานทั่วไปครับ
5. Nodoguro (Blackthroat Seaperch) เป็นปลาเนื้อขาวที่ค่อนข้าง Juicy และมันที่สุดครับเป็นปลาประจำหน้าหนาว ผมชอบมากครับ แต่ร้านนี้คุณภาพยังอยู่กลางๆ และการย่างค่อนข้างสุกไป ผมเคยเจอร้านเด็ดกว่านี้หลายร้านเหมือนกันครับ
6. Kawahagi and liver sauce (ปลาหน้าวัวและซอสตับ) จานนี้ผมชื่นชมซอสตับครับ อร่อยมากครับ
7. Kaki (หอยนางรม) หลายๆคนอาจจะชอบหอยนางรมญี่ปุ่นที่เน้นความใหญ่และมันครับ แต่ผมยังว่าหอยนางรมตัวเล็กรสชาติเข้มกว่า และอร่อยกว่าครับ ร้านนี้ทำได้โอเคครับ รสชาติเข้มและกลิ่นจากทะเล แต่ในนั้นผมรู้สึกได้ถึงความสดหวานของหอยครับ อีกที่ที่ผมประทับใจและไม่แพงคือ Sushidai ที่ Tsukiji ครับ อันนั้นตัวใหญ่หน่อยแต่รสชาติเข้มดี
8. Ankimo (ตับปลา Monk Fish) ผมว่าเป็นเมนูที่โดดเด่นของร้านนี้ทีเดียว เนื่องจากปริมาณค่อนข้างใหญ่ และความสดของตับ ผมว่าอร่อยมากครับ
Amamoto San แล่ Ankimo ครับ
พร้อมเสิร์ฟครับ
9. Fugu Shirako (อสุจิปลาปักเป้า) เป็นเมนูโปรดของผมในหน้าหนาว แต่ร้านนี้ผมว่ายังทำออกมาได้ปานกลางครับ ผมชอบแบบย่าง Aburi มากกว่าครับ
10. Aomori vs Saga Uni (ไข่หอยเม่นจาก Aomori และ Saga) เป็น Best season Uni ที่ทางร้านนำมาเสนอ โดยรวมโอเคครับ เนื่องจากไม่มันจนเกินไป และสด ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นพันธุ์ Murasaki แต่ผมยังให้อยู่ในระดับปานกลางผมยังไม่รู้สึกว่าแตกต่างกว่าร้านระดับเดียวกันเท่าไหร่นัก
11. Katsuo (ปลาโอญี่ปุ่น) เป็นปลาที่รสชาติเข้มสุดครับ เลยเป็นชิ้นสุดท้ายก่อนจะเริ่มคอร์ส Sushi
จากนั้นก็เป็นในส่วนของ Sushi นั้นมีด้วยกัน 13 คำ และ Tamago + Miso Soup ปิดท้ายครับ ผมจะบรรยายสรุปไว้ตอนท้ายนะครับ
1. Amaebi (กุ้งหวาน)
2. Ika (ปลาหมึกกระดอง)
3. Chidai (ปลา Chidai อยู่ในกลุ่ม Madai ครับ) *แก้ครับ ขอบคุณคุณ Call_me_HerO ด้วยครับ
4. Buri (ปลาบุรี)
5. Kohada (ปลาโคฮาดะดองน้ำส้ม)
6. Shime Saba (ปลาซาบะ)
7. Uni and Ikura (ไข่หอยเม่นและไข่ปลาแซลมอน)
8. Akami suke (ปลาทูน่าหมักซอส)
9. Otoro (ปลาทูน่าส่วนมันที่สุดช่วงท้อง)
10. Akagai (หอยแครงญี่ปุ่น)
11. Vegetable roll (เป็น roll สาหร่าย ผักดอง Tsukemono ต่างๆ)
12. Shako (กั้ง)
13. Anago (ปลาไหลทะเล)
จากนั้นจะเป็น Tamago (ไข่หวานญี่ปุ่น) และ Miso Soup ปิดท้ายครับ
อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวผมจริงๆครับ ผมค่อนข้างผิดหวังกับซูชิร้านนี้ เนื่องจากข้าวที่ใช้ปั้นนั้นค่อนข้างแข็งไป เหนียว และรสชาติอยู่ในเกณฑ์ปานกลางครับ ตัว Neta หรือส่วนของปลาที่มาใช้กับข้าวนั้นค่อนข้างโอเค แต่รสชาติโดยรวมทำให้ตกลงจากมาตรฐานครับ ผมคิดว่าส่วนของ Shari หรือข้าวซูชินั้นเป็นส่วนผสมสำคัญที่สุดในซูชิเลยครับ ยิ่งประเทศญี่ปุ่นที่สามารถหาวัตถุดิบได้ดีที่สุด พอร้านนี้ทำข้าวไม่โอเค ทำให้ประสบการณ์ผมค่อนข้างแย่ครับ แต่โดยรวมก็เป็นประสบการณ์ที่ดีกับการได้สัมผัสร้านอาหารในแนวเอาจริงเอาจังของ Legendary Chef ทั้งสองคนครับ เป็นบรรยากาศค่อนข้างใหม่ และหาที่ไหนไม่ได้ เชฟทั้ง 2 คนดูตั้งใจทำกันมาก ทุ่มเทสุดๆครับ ผมเคยไปทานร้าน Sushi Michelin 2 Stars อีกร้านในแถบ Hyogo ครับ ทุกอย่าง Perfect มากแต่มาตายตรง Shari เหมือนกันเพราะข้าวเค็มเกินไป เสียดายมากๆเช่นกัน เท่าที่ร้าน Sushi ที่ได้ Michelin 2 Stars ผมชอบ Sawada มากที่สุดครับแต่ร้านนั้นก็ราคามหาโหดเช่นกัน และไม่ยอมให้ถ่ายรูปเลยนำมาแชร์ลำบาก แต่ผมก็ยังไม่ได้ทานอีกหลายร้านเช่นกันก็เลยต้องลองไปเรื่อยๆ และก็เจออีกหลายร้านที่ไม่มี Michelin แต่อร่อยกว่าร้าน Michelin มากมายครับ
รสชาติ: 3.5/5.0
การบริการ: 3.7/5.0
บรรยากาศร้าน: 3.8/5.0
ความคุ้มค่า: 3.4/5.0
ราคา: 22,000 Yen for Omakase Course
Tabelog link: https://tabelog.com/en/tokyo/A1306/A130603/13001179/
Location on Google map: https://goo.gl/maps/qCgtiEZJihF2
ขอบคุณมากครับที่เปิดเข้ามาดูและอ่านนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น