ทราย สาวพลังจิต ตอน 27 “ความตายเท่านั้นที่จะจบเรื่องนี้ได้”
คนกำยำมาที่เท้า คนผมบางมาที่ศีรษะ กำลังเลือกวิธีที่จะยกกีรติขึ้นเพื่อโยนออกไปทางหน้าต่างที่อยู่ฝั่งเดียวกับทราย หลังมือคนผมบางไพล่ไปโดนที่ตัวทราย เท่านั้นเอง ทรายถึงกับสะดุ้งสุดตัว ล่วงรู้ขึ้นมาทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ทรายจึงกระทืบเท้าและพยายามดิ้นรนพร้อมร้องออกมาเท่าที่จะทำได้ในสภาพถูกมัด
“เดี๋ยวก่อน ฉันมีข้อเสนอ ฟังฉันพูดก่อน”
เสียงอู้อี้ของทรายฟังออกมาได้ความหมายประมาณนี้ ชายผมบางหันมาทางทรายด้วยความสงสัย ทรายร้องบอกด้วยข้อความเดิมๆ หลายครั้ง จนชายผมบางหมุนตัวมาทางเธอแล้วหยิบกรรไกรมาตัดเทปผ้าเปิดปากให้ทรายพูดพร้อมถามด้วยประโยคสั้นๆ
“มีอะไร”
ทรายมองตาชายผมบางอย่างอ้อนวอนน้ำตาไหลอาบแก้ม เธอไม่รู้ว่าที่พูดไปจะช่วยอะไรได้มากแค่ไหน เพียงแต่รู้สึกได้ว่าความตายของเธอกับกีรติใกล้แค่เอื้อม
“ฉันขอโทษที่โกหกน้า ฟังฉันก่อนนะ คือพวกฉันไม่ใช่ตำรวจ ไม่ใช่คนของทางการ ไม่มีอะไรที่น่าจะต้องกังวลหรอกนะ เพืยงแต่พวกฉันถูกส่งมาดูว่าคุณกีรติปลอดภัยดีมั้ย เจ้าของเงินก็กลัวจ่ายเงินแล้วไม่ได้ตัวคุณกีรติกลับไปเท่านั้นเอง”
ชายกำยำหัวเราะในคอ บ่นพึมพำกับตัวเอง
“นังเด็กนี่
ได้โล่”
ชายผมบางยกมือห้ามคนกำยำพูดต่อแต่หันมาพยักหน้าให้ทรายพูด
“น้าอยากได้เงินใช่มั้ย น้าคงไม่อยากให้ใครตาย ได้เงินแล้วตัวเองปลอดภัย ถ้าน้าฆ่าพวกหนูน้าจะไม่ได้อะไรเลย แถมยังต้องหนีหัวซุกหัวซุน น้าก็รู้ว่าคนที่อยู่ข้างนอกกำลังตามหาน้าอยู่ น้าอาจจะหนีไม่ทันแล้วก็ได้”
ชายผมบางทำน้าครุ่นคิดแล้วหันมองชายกำยำ ชายกำยำทำหน้าเหมือนคิดอะไรไม่ออก ปล่อยให้ชายผมบางเป็นคนตัดสินใจ ชายผมบางหันมาทางทรายแล้วพูดขึ้นบ้าง
“นังเด็กนี่พูดได้ดี ไหนลองเสนออะไรที่พอรับได้หน่อยซิ”
ทรายดีใจยิ้มทั้งน้ำตาพูดระล่ำระลัก
“เงินหนึ่งล้านบาท น้าจะได้ภายในวันนี้แล้วหนีไปให้ไกล จะไม่มีใครติตามหรือเอาผิดน้าทั้งสอง พร้อมฉันทั้งสองคนปลอดภัย”
คนกำยาหัวเราะ
“จากสิบล้านเหลือล้านเดียว”
คนผมบางลงนั่งกับพื้นแล้วนิ่งคิดสักพักแล้วหันมาพูดกับทราย
“ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย แล้วแกแน่ใจยังไงว่าจะไม่มีใครตามพวกฉัน”
คนกำยำถึงกับชักสีหน้าโพล่งออกมาอย่างไม่พอใจ
“น้าเกิดจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ ปล่อยมันได้ยังไง เงินสิบล้านยังต้องสูญอีก”
คนผมบางที่ชื่อน้าเกิดหันไปทางชายกำยำแล้วพูดอย่างจริงจัง
“อ้ายเพิง เอ็งคิดดู ถ้าพวกนี้เป็นตำรวจมันคงล้อมเราไว้หมดแล้ว จะหนีออกไปมันคงดับจับเราไปตลอดทาง คงต้องยังสู้กันไปถึงชายแดน จริงๆ แล้วมันเป็นไปไม่ได้เลย เอ็งว่าเราจะหนีออกไปถึงชายแดนได้เหรอ”
ชายกำยำที่ถูกเรียกว่าเพิงถึงกับก้มหน้านิ่ง น้าเกิดกลืนน้ำลายแล้วพูดต่อ
“ยังไงก็ต้องหนี ถ้าโดนจับจริงๆ คดีลักพาตัวมันก็ติดไม่นานหรอก แต่ถ้าเราทำเยอะกว่านี้อาจโดนจับตายได้นะโว้ย นี่ยังดีที่ยังได้เงินติดมือไปอีกล้านนึง แบ่งกันไปคนละห้าแสน หนีไปซ่อนตัวกันสักพัก เงินหมดแล้วค่อยว่ากันใหม่”
เพิ่งก้มหัวพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย บ่นพึมพำในคอ “เอายังงี้ก็ได้ ไหนๆ ก็เป็นอย่างนี้ละ”
น้าเกิดหันมาทางทราย พยักหน้าให้แล้วตั้งคำถามกับทราย
“แล้วต้องทำไงมั่ง ลองบอกมาซิ”
ทรายยิ้มอีก คราวนี้น้ำตาเริ่มแห้งเปื้อนหน้า
“น้าแก้มัดหนู เดี๋ยวนี้ออกไปบอกคนข้างนอกให้”
น้าเกิดกับเพิงช่วยกันแกะเทปผ้าออกจากตัวทราย ก่อนทรายลุกขึ้นออกจาบ้านไป เพิงทำหน้าถแล้วพูดย้ำๆ กับทรายว่า
“อีกคนยังอยู่ในนี้นะ จะทำอะไรก็ให้ระวังด้วย อย่าให้เสียแรงที่เราไว้ใจ”
น้าเกิดสำทับกับทรายอีกทีหนึ่งว่า
“ให้เวลา 5 นาที ถ้าแกไม่กลับเข้ามา ถือว่าที่ตกลงกันเมื่อกี้เป็นอันยกเลิก”
ทรายพยักหน้าแล้วเปิดประตูออกไปนอกบ้านทันที เมื่อออกจากบ้านมาแล้วทรายยังงงกับทิศทาง ว่าตัวเองจะวิ่งไปทางไหน พักเดียวชายซาฟารีโบกมือให้วิ่งไปที่ตัวเองหมอบอยู่
“ทรายวิ่งออกมาจากบ้านกำลังตรงมาทางนี้ ว. 2”
เสียงรายงานผ่านวิทยุ พันตรีพิชัยถึงกับหันขมับไปมอง พอเห็นเป็นทรายวิ่งมาจึงรีบกวักมือเรียก ทรายวิ่งมาถึงพูดไปหอบไป
“ใจเย็นๆ พักหายใจก่อน” พันตรีพิชัยบอก
“ไม่ได้ หนูมีเวลาแค่ 5 นาทีเท่านั้น” ทรายส่ายหน้า
“คุณกีรติถูกจับอยู่ในนั้น พอมันรู้ว่าพวกเรารู้ที่ซ่อนมันเตรียมจะฆ่าหนูกับคุณกีรติด้วยการถ่วงน้ำ หนูต่อรองถึงวิ่งออกมาได้ แต่ภายใน 5 นาทีต้องรีบกลับเข้าไป ไม่งั้นมันจะฆ่าคุณกีรติ”
ทรายพูดจบพันตรีพิชัยถึงกับทำหน้าเครียด ทรายค่อยหายเหนื่อยแล้วจึงพูดต่อ
“ยังไม่หมด หนูต่อรองให้เงินหนึ่งล้านบาท พอได้เงินแล้วให้เปิดทางให้พวกมันหนีด้วย แล้วมันจะทิ้งคุณกีรติในสภาพเป็นๆ ไว้ในบ้าน”
“เธอไปตกลงกับพวกมันยังงี้ แล้วจะเอางเงินที่ไหนให้”
พันตรีพิชัยได้ฟังถึงกับแสดงสีหน้าไม่พอใจพูดเสียงแข็งกับทราย
“หนูขอโทษที่หนูโดนจับ แต่มันจับความเคลื่อนไหวของเราได้แต่แรก ถ้าไม่มีเงินล้านมันคงไม่ปล่อยคุณกีรติมาแน่ และมันคงไม่ยอมให้จับ”
พันตรีพิชัยพยักหน้าช้าๆ อย่างใช้ความคิด ใจเขาเสียดายเงินหนึ่งล้านบาท และนึกตำหนิทรายที่ทำให้เขาส่งลูกน้องออกไปติดกับพวกโจร ทำให้ตกอยู่ในสถานการ์คับขัน
“เอายังงี้ เธอกลับเข้าไป บอกว่าพวกเราตกลง ขอเวลาครึ่งชั่วโมงไปเอาเงินมา”
ชายซาฟารีบางคนถึงกับหันมองนาย นึกไม่ถึงว่าพันตรีพิชัยจะยอมส่งทรายกลับเข้าไปอีก มีเสียงพึมพำออกมา “จะดีเหรอ”
“ก็ดีสิ ไม่มีทางเลือกแล้ว หรือแกจะเข้าไปแทน”
พันตรีพิชัยหันไปมองชายซาฟารีด้วยใบหน้าโกรธ แล้วหันมาพยักเพยิดให้ทรายวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน
ทรายทำหน้ากลัวๆ กล้าๆ ก่อนจะหันหลังวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน
พันตรีพิชัยยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาติดต่อกับคุณสุริยะทันที
“สวัสดีครับ เรากำลังจะได้ตัวคุณกีรติกลับมาแล้ว แต่มีปัญหาทางเทคนิคนิดหน่อยที่จะเรียนว่า ผมจำเป็นต้องขอค่าจ้างเพิ่มอีกหนึ่งล้านบาท เพราะงานมันยากกว่าที่คิด พวกโจรเรียกค่าไถ่เป็นอดีตทหารผ่านศึก ไม่ใช่โจรธรรมดาที่จะจัดการได้ง่ายๆ อาจต้องมีภารกิจพิเศษบางอย่าง ทำให้ค่าจ้างหนึ่งล้านบาทไม่เพียงพอ”
ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพึงพอใจนัก แต่ต้องจำยอมเพราะไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
“คุณขอค่าจ้างอีกเท่าตัวเลยนะ ถ้าตกลงเพิ่มให้ คุณต้องมั่นใจนะว่าลูกผมจะกลับมาบ้านอย่างปลอดภัยแข็งแรง”
“ผมรับปากที่จะทำอย่างดีที่สุด และรักษาความปลอดภัยคุณกีรติให้มากที่สุดครับ”
เมื่อคุยโทรศัพท์กับเสร็จแล้ว พันตรีพิชัยรีบโทรไปตกลงกับธนาคารแล้วสั่งการให้พลขับรีบออกไปรับเงินธนาคารสาขาที่ใกล้ที่สุดทันที ก่อนพลขับซาฟารีจะออกรถ พันตรีพิชัยเรียกชายซาฟารีอีกคนขึ้นรถไปด้วย
“ไปหารถมาเพิ่มอีกคนนึง เผื่อจำเป็นต้องใช้”
...................................................................................................................................................................................
“น้าแก้มัดคุณกีรติเถอะ เดี๋ยวเงินก็มาแล้ว เราต่างแยกกันด้วยดีนะ ดูซิเนี่ย นอนนิ่งขยับตัวไม่ได้ 2-3 วัน ถึงแก้มัดแล้วไม่น่าจะมีแรงทำอะไรหรอก”
ทรายบอกกับน้าเกิด น้าเกิดพยักหน้าให้เพิงตัดเทปที่มัดร่างกีรติออกทั้งหมด
เมื่อหลุดจากพันธนาการทั้งหมดแล้ว กีรติหันมาขอบใจทราย ทั้งคู่ได้เห็นกันเต็มๆ ตัวสักที คุณณกีรติหน้าตาอิดโรยแต่เป็นคนขาวใส ใส่แว่น ผิวพรรณดีถ้าลุกขึ้นยืนได้คงสูงผอมหุ่นกำลังดี ด้วยความเป็นห่วงทรายขเยิบตัวใกล้แล้วช่วยบีบนวดแขนขาคุณกีรติให้ทันที เพราะกล้ามเนื้อและแขนขาที่ถูกมัดไว้เป็นวันๆ ทำให้เกร็งและอ่อนล้าไปหมด
เธอทำไปด้วยความเป็นห่วงกีรติ และความเคยชินที่ตอนเด็กๆ ช่วยนวดให้แม่อรเสมอๆ ไม่คิดอะไรมาก แต่กับคุณกีรติมันคือความประทับใจแรกพบที่ทำให้เขาถึงกับมองสำรวจดวงหน้าของทรายอย่างสนอกสนใจ
“เธอกล้าจังเลย ตอนวิ่งออกไปเราไม่คิดว่าคุณจะกลับเข้ามา เธอทำงานอะไรน่ะ จริงๆ แล้วยังเด็กอยู่แท้ๆ"
“จริงๆ ทรายเป็นฝ่ายข้อมูลของทีมนักสืบนี่แหละ เพิ่งมาทำงานไม่กี่วันนี้เอง นั่งรออยู่ในรถตู้ แต่พวก เอ่อ........พวกพี่เขาจับได้ว่าพวกเรามาแอบซุ่มอยู่ เลยตลบหลังเราด้วยการไปจับทรายมาจากรถตู้...........”
“โห เพิ่งทำเหรอ เธอกล้าและดูคล่องแคล่วจริงๆ” กีรติกล่าวชมทรายด้วยความปลาบปลื้มชื่นชม
ทั้งคู่นั่งคุยเหมือนคนสนิทสนมกันมานาน แถมคุยกันอย่างกับว่านั่งกันอยู่ที่ระเบียงบ้าน ไม่มีท่าทีว่าตัวเองกำลังตกเป็นตัวประกันและกำลังอยู่ในอันตราย ทั้งทรายและกีรติรู้สึกสบายอกสบายใจอย่างประหลาดที่ได้คุยกัน
“ฉันว่าเราเลิกตามนังเด็กเนรคุณนั่นได้แล้วหละ มันออกจากบ้านไปเองแล้วจะไปตามมันทำไม”
วินพูดด้วยความเบื่อหน่ายขณะอรคะยั้นคะยอให้พาออกไปตามหาทรายอีกครั้ง
“อย่ามาพูดอย่างนี้ ฉันเลี้ยงของฉันมาตั้งแต่มันแบเบาะ จะให้ปล่อยออกไปเฉยๆ ได้อย่างนั้น”
อรพูดอย่างหัวเสีย มือเท้าสะเอวท่าทีเอาเรื่อง
“มันหนีของมันออกไปเอง แปลว่ามันไม่อยากอยู่กับเรา นี่ถ้ามันอยากกลับมาก็คงจะกลับมาเองนานแล้ว จะออกไปตามทำไม เสียเวลาทำมาหากินจริงๆ”
“แกพูดยังกะว่าแกไม่ได้ว่างยังงั้นแหละ แกก็ว่างงานวันๆ ไปทำอะไร รับจ้างนิดๆ หน่อยๆ ได้ตังค์บ้างไม่ได้ตังค์บ้าง มีหน้ามาพูดว่าเสียเวลาทำมาหากิน นี่ที่แกอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะเงินของฉันทั้งนั้น เงินฉันที่เลี้ยงแกมาสิบกว่าปี เงินฉันที่แกเอาไปลงทุนบ้าๆ บอๆ หมดเป็นล้าน อยู่กับแกชีวิตไม่ดีอะไรดีขึ้น ฉันไม่น่าตัดสินใจผิดพลาดเลย ทุกวันนี้ก็เหมือนยายแก่คนนึงที่ชีวิตไม่มีอะไรเลย มีผัวก็ไม่เก่ง ไร้ความสามารถ หวังพึ่งพิงอะไรไม่ได้”
อรตะเบ็งเสียงด้วยความโกรธ พูดจบก็ลงนั่งพักหายใจหอบแฮ็กๆ แต่ดูเหมือนถ้อยคำที่พูดออกมามันเสียดแทงจิตใจของวันประหนึ่งมีดแหลมแทงเข้ากลางหัวใจ
วินนั่งนิ่งตาแดงกล่ำ สายตามองต่ำน้ำตาคลอเบ้า เหลือบตามองอรนิดๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ขอบใจนะ ที่แกพูดความจริง ใช่ ฉันไม่เก่ง ฉันเหมือนเป็นตัวถ่วง ไร้ความสามารถ แกพึ่งพิงอะไรฉันไม่ได้เลยสักนิด”
พูดจบวินลุกขึ้นเดินออกจากห้องนั่งเล่นขึ้นชั้นบนไปเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก อรไม่ได้นึกคิดหรือสังเกตอะไร นึกแต่เรื่องจะไปหาทรายที่ไหน พักเดียวเห็นวินเดินลงมาพร้อมกระเป๋าใบใหญ่กับใบเล็กอย่างละใบ
“แกทำอะไรน่ะ” อรขมวดคิ้วถามวินอย่างหัวเสียง
“ผู้ชายที่ไหนจะทนได้ เมียด่าว่าตัวเองไม่เก่ง ไร้ความสามารถ เมียพึ่งพิงอะไรไม่ได้ ผู้ชายคนไหนจะทนได้”
วินกัดฟันพูดน้ำเสียงเครียด มองตรงและเดินตรงไปที่ประตูบ้านไม่เหลือบมองอรแม้สักนิด อรยังไม่หยุด คิดว่าวินแค่โมโห เดี๋ยวเดียวก็คงหาย
“ทำเป็นเด็กเป็นเล็กไปได้ แก่ป่านนี้ยังมาทำงอนเป็นผู้หญิง ไปนุ่งกระโปรงซะไป อยากจะไปไหนก็ไปเลย ฉันกำลังหัวเสียยังมายั่วอารมณ์โกรธอีก ตอนกลับมาซื้อผลไม้เข้ามาด้วยละกัน”
วินหยุดกึก ทำท่าเหมือนจะหันไปต่อไปต่อคำแล้วเปลี่ยนใจ หันตรงไปที่ประตูบ้านแล้วเดินหายลับไป
...................................................................................................................................................................................
หมวดปราบรับสายที่เรียกเข้ามาเพราะเห็นว่าเป็นสายของจ่าสมหมาย
“หมวดครับ มีเรื่องใหญ่แล้วตอนนี้”
“อะไรเหรอ นี่ผมกำลังไปรับทรายที่ปราจีนบุรี จ่ามีอะไรด่วนหรือครับ”
ฝั่งนั้นเงียบไปสักพักก่อนจะเล่าเหตุการณ์ต่อ
“คือ คุณแคนดี้มาแจ้งความโดนทำร้ายร่างกายจากน้องทราย แถมพ่วงหมวดเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่.........”
หมวดปราบได้ยินถึงกับนิ่งไป
“ผมถามให้แล้วนะว่าทำไมเล่นกันแรงยังงี้ เธอบอกว่าที่หมวดปราบพาเธอไปช๊อปปิ้งดูไม่จริงใจ แถมยังปล่อยให้พ่อแม่ทรายทำร้ายเธออีก ถ้าหมวดไม่มีเยื่อใยกับเธอแล้ว เธอจะเล่นงานให้หนัก”
คราวนี้หมวดปราบถอนหายใจยาว สมองตื้อไปหมด กดปิดสายโดยไม่ต้องบอกเลิกบอกรากับจ่าสมหมาย คิดว่าจ่าสมหมายคงเข้าใจว่า ได้ยินข่าวนี้หมวดปราบคงถึงกับหมดสภาพเลยทีเดียว
“เงื่อนไขเป็นอย่างนี้ แกไปเอาเงินเข้ามาแล้วให้คนข้างนอกเปิดทาง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยพวกฉันจะออกไปทางด้านหลัง มีรถกระบะอีกคันจอดรออยู่ เราจะพาแกไปด้วย เมื่อขึ้นรถได้เราจะปล่อยตัวแก เมื่อไปได้พักหนึ่ง เราแน่ใจว่าไม่มีใครตามแล้วจะปล่อยผู้ชาย”
น้าเกิดบอกกับทรายเมื่อมีสัญญาณโบกมือจากข้างนอกให้เห็น ทรายรีบปฏิเส
ทราย สาวพลังจิต ตอน 27 “ความตายเท่านั้นที่จะจบเรื่องนี้ได้”
คนกำยำมาที่เท้า คนผมบางมาที่ศีรษะ กำลังเลือกวิธีที่จะยกกีรติขึ้นเพื่อโยนออกไปทางหน้าต่างที่อยู่ฝั่งเดียวกับทราย หลังมือคนผมบางไพล่ไปโดนที่ตัวทราย เท่านั้นเอง ทรายถึงกับสะดุ้งสุดตัว ล่วงรู้ขึ้นมาทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ทรายจึงกระทืบเท้าและพยายามดิ้นรนพร้อมร้องออกมาเท่าที่จะทำได้ในสภาพถูกมัด
“เดี๋ยวก่อน ฉันมีข้อเสนอ ฟังฉันพูดก่อน”
เสียงอู้อี้ของทรายฟังออกมาได้ความหมายประมาณนี้ ชายผมบางหันมาทางทรายด้วยความสงสัย ทรายร้องบอกด้วยข้อความเดิมๆ หลายครั้ง จนชายผมบางหมุนตัวมาทางเธอแล้วหยิบกรรไกรมาตัดเทปผ้าเปิดปากให้ทรายพูดพร้อมถามด้วยประโยคสั้นๆ
“มีอะไร”
ทรายมองตาชายผมบางอย่างอ้อนวอนน้ำตาไหลอาบแก้ม เธอไม่รู้ว่าที่พูดไปจะช่วยอะไรได้มากแค่ไหน เพียงแต่รู้สึกได้ว่าความตายของเธอกับกีรติใกล้แค่เอื้อม
“ฉันขอโทษที่โกหกน้า ฟังฉันก่อนนะ คือพวกฉันไม่ใช่ตำรวจ ไม่ใช่คนของทางการ ไม่มีอะไรที่น่าจะต้องกังวลหรอกนะ เพืยงแต่พวกฉันถูกส่งมาดูว่าคุณกีรติปลอดภัยดีมั้ย เจ้าของเงินก็กลัวจ่ายเงินแล้วไม่ได้ตัวคุณกีรติกลับไปเท่านั้นเอง”
ชายกำยำหัวเราะในคอ บ่นพึมพำกับตัวเอง
“นังเด็กนี่ได้โล่”
ชายผมบางยกมือห้ามคนกำยำพูดต่อแต่หันมาพยักหน้าให้ทรายพูด
“น้าอยากได้เงินใช่มั้ย น้าคงไม่อยากให้ใครตาย ได้เงินแล้วตัวเองปลอดภัย ถ้าน้าฆ่าพวกหนูน้าจะไม่ได้อะไรเลย แถมยังต้องหนีหัวซุกหัวซุน น้าก็รู้ว่าคนที่อยู่ข้างนอกกำลังตามหาน้าอยู่ น้าอาจจะหนีไม่ทันแล้วก็ได้”
ชายผมบางทำน้าครุ่นคิดแล้วหันมองชายกำยำ ชายกำยำทำหน้าเหมือนคิดอะไรไม่ออก ปล่อยให้ชายผมบางเป็นคนตัดสินใจ ชายผมบางหันมาทางทรายแล้วพูดขึ้นบ้าง
“นังเด็กนี่พูดได้ดี ไหนลองเสนออะไรที่พอรับได้หน่อยซิ”
ทรายดีใจยิ้มทั้งน้ำตาพูดระล่ำระลัก
“เงินหนึ่งล้านบาท น้าจะได้ภายในวันนี้แล้วหนีไปให้ไกล จะไม่มีใครติตามหรือเอาผิดน้าทั้งสอง พร้อมฉันทั้งสองคนปลอดภัย”
คนกำยาหัวเราะ
“จากสิบล้านเหลือล้านเดียว”
คนผมบางลงนั่งกับพื้นแล้วนิ่งคิดสักพักแล้วหันมาพูดกับทราย
“ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย แล้วแกแน่ใจยังไงว่าจะไม่มีใครตามพวกฉัน”
คนกำยำถึงกับชักสีหน้าโพล่งออกมาอย่างไม่พอใจ
“น้าเกิดจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ ปล่อยมันได้ยังไง เงินสิบล้านยังต้องสูญอีก”
คนผมบางที่ชื่อน้าเกิดหันไปทางชายกำยำแล้วพูดอย่างจริงจัง
“อ้ายเพิง เอ็งคิดดู ถ้าพวกนี้เป็นตำรวจมันคงล้อมเราไว้หมดแล้ว จะหนีออกไปมันคงดับจับเราไปตลอดทาง คงต้องยังสู้กันไปถึงชายแดน จริงๆ แล้วมันเป็นไปไม่ได้เลย เอ็งว่าเราจะหนีออกไปถึงชายแดนได้เหรอ”
ชายกำยำที่ถูกเรียกว่าเพิงถึงกับก้มหน้านิ่ง น้าเกิดกลืนน้ำลายแล้วพูดต่อ
“ยังไงก็ต้องหนี ถ้าโดนจับจริงๆ คดีลักพาตัวมันก็ติดไม่นานหรอก แต่ถ้าเราทำเยอะกว่านี้อาจโดนจับตายได้นะโว้ย นี่ยังดีที่ยังได้เงินติดมือไปอีกล้านนึง แบ่งกันไปคนละห้าแสน หนีไปซ่อนตัวกันสักพัก เงินหมดแล้วค่อยว่ากันใหม่”
เพิ่งก้มหัวพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย บ่นพึมพำในคอ “เอายังงี้ก็ได้ ไหนๆ ก็เป็นอย่างนี้ละ”
น้าเกิดหันมาทางทราย พยักหน้าให้แล้วตั้งคำถามกับทราย
“แล้วต้องทำไงมั่ง ลองบอกมาซิ”
ทรายยิ้มอีก คราวนี้น้ำตาเริ่มแห้งเปื้อนหน้า
“น้าแก้มัดหนู เดี๋ยวนี้ออกไปบอกคนข้างนอกให้”
น้าเกิดกับเพิงช่วยกันแกะเทปผ้าออกจากตัวทราย ก่อนทรายลุกขึ้นออกจาบ้านไป เพิงทำหน้าถแล้วพูดย้ำๆ กับทรายว่า
“อีกคนยังอยู่ในนี้นะ จะทำอะไรก็ให้ระวังด้วย อย่าให้เสียแรงที่เราไว้ใจ”
น้าเกิดสำทับกับทรายอีกทีหนึ่งว่า
“ให้เวลา 5 นาที ถ้าแกไม่กลับเข้ามา ถือว่าที่ตกลงกันเมื่อกี้เป็นอันยกเลิก”
ทรายพยักหน้าแล้วเปิดประตูออกไปนอกบ้านทันที เมื่อออกจากบ้านมาแล้วทรายยังงงกับทิศทาง ว่าตัวเองจะวิ่งไปทางไหน พักเดียวชายซาฟารีโบกมือให้วิ่งไปที่ตัวเองหมอบอยู่
“ทรายวิ่งออกมาจากบ้านกำลังตรงมาทางนี้ ว. 2”
เสียงรายงานผ่านวิทยุ พันตรีพิชัยถึงกับหันขมับไปมอง พอเห็นเป็นทรายวิ่งมาจึงรีบกวักมือเรียก ทรายวิ่งมาถึงพูดไปหอบไป
“ใจเย็นๆ พักหายใจก่อน” พันตรีพิชัยบอก
“ไม่ได้ หนูมีเวลาแค่ 5 นาทีเท่านั้น” ทรายส่ายหน้า
“คุณกีรติถูกจับอยู่ในนั้น พอมันรู้ว่าพวกเรารู้ที่ซ่อนมันเตรียมจะฆ่าหนูกับคุณกีรติด้วยการถ่วงน้ำ หนูต่อรองถึงวิ่งออกมาได้ แต่ภายใน 5 นาทีต้องรีบกลับเข้าไป ไม่งั้นมันจะฆ่าคุณกีรติ”
ทรายพูดจบพันตรีพิชัยถึงกับทำหน้าเครียด ทรายค่อยหายเหนื่อยแล้วจึงพูดต่อ
“ยังไม่หมด หนูต่อรองให้เงินหนึ่งล้านบาท พอได้เงินแล้วให้เปิดทางให้พวกมันหนีด้วย แล้วมันจะทิ้งคุณกีรติในสภาพเป็นๆ ไว้ในบ้าน”
“เธอไปตกลงกับพวกมันยังงี้ แล้วจะเอางเงินที่ไหนให้”
พันตรีพิชัยได้ฟังถึงกับแสดงสีหน้าไม่พอใจพูดเสียงแข็งกับทราย
“หนูขอโทษที่หนูโดนจับ แต่มันจับความเคลื่อนไหวของเราได้แต่แรก ถ้าไม่มีเงินล้านมันคงไม่ปล่อยคุณกีรติมาแน่ และมันคงไม่ยอมให้จับ”
พันตรีพิชัยพยักหน้าช้าๆ อย่างใช้ความคิด ใจเขาเสียดายเงินหนึ่งล้านบาท และนึกตำหนิทรายที่ทำให้เขาส่งลูกน้องออกไปติดกับพวกโจร ทำให้ตกอยู่ในสถานการ์คับขัน
“เอายังงี้ เธอกลับเข้าไป บอกว่าพวกเราตกลง ขอเวลาครึ่งชั่วโมงไปเอาเงินมา”
ชายซาฟารีบางคนถึงกับหันมองนาย นึกไม่ถึงว่าพันตรีพิชัยจะยอมส่งทรายกลับเข้าไปอีก มีเสียงพึมพำออกมา “จะดีเหรอ”
“ก็ดีสิ ไม่มีทางเลือกแล้ว หรือแกจะเข้าไปแทน”
พันตรีพิชัยหันไปมองชายซาฟารีด้วยใบหน้าโกรธ แล้วหันมาพยักเพยิดให้ทรายวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน
ทรายทำหน้ากลัวๆ กล้าๆ ก่อนจะหันหลังวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน
พันตรีพิชัยยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาติดต่อกับคุณสุริยะทันที
“สวัสดีครับ เรากำลังจะได้ตัวคุณกีรติกลับมาแล้ว แต่มีปัญหาทางเทคนิคนิดหน่อยที่จะเรียนว่า ผมจำเป็นต้องขอค่าจ้างเพิ่มอีกหนึ่งล้านบาท เพราะงานมันยากกว่าที่คิด พวกโจรเรียกค่าไถ่เป็นอดีตทหารผ่านศึก ไม่ใช่โจรธรรมดาที่จะจัดการได้ง่ายๆ อาจต้องมีภารกิจพิเศษบางอย่าง ทำให้ค่าจ้างหนึ่งล้านบาทไม่เพียงพอ”
ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพึงพอใจนัก แต่ต้องจำยอมเพราะไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
“คุณขอค่าจ้างอีกเท่าตัวเลยนะ ถ้าตกลงเพิ่มให้ คุณต้องมั่นใจนะว่าลูกผมจะกลับมาบ้านอย่างปลอดภัยแข็งแรง”
“ผมรับปากที่จะทำอย่างดีที่สุด และรักษาความปลอดภัยคุณกีรติให้มากที่สุดครับ”
เมื่อคุยโทรศัพท์กับเสร็จแล้ว พันตรีพิชัยรีบโทรไปตกลงกับธนาคารแล้วสั่งการให้พลขับรีบออกไปรับเงินธนาคารสาขาที่ใกล้ที่สุดทันที ก่อนพลขับซาฟารีจะออกรถ พันตรีพิชัยเรียกชายซาฟารีอีกคนขึ้นรถไปด้วย
“ไปหารถมาเพิ่มอีกคนนึง เผื่อจำเป็นต้องใช้”
...................................................................................................................................................................................
“น้าแก้มัดคุณกีรติเถอะ เดี๋ยวเงินก็มาแล้ว เราต่างแยกกันด้วยดีนะ ดูซิเนี่ย นอนนิ่งขยับตัวไม่ได้ 2-3 วัน ถึงแก้มัดแล้วไม่น่าจะมีแรงทำอะไรหรอก”
ทรายบอกกับน้าเกิด น้าเกิดพยักหน้าให้เพิงตัดเทปที่มัดร่างกีรติออกทั้งหมด
เมื่อหลุดจากพันธนาการทั้งหมดแล้ว กีรติหันมาขอบใจทราย ทั้งคู่ได้เห็นกันเต็มๆ ตัวสักที คุณณกีรติหน้าตาอิดโรยแต่เป็นคนขาวใส ใส่แว่น ผิวพรรณดีถ้าลุกขึ้นยืนได้คงสูงผอมหุ่นกำลังดี ด้วยความเป็นห่วงทรายขเยิบตัวใกล้แล้วช่วยบีบนวดแขนขาคุณกีรติให้ทันที เพราะกล้ามเนื้อและแขนขาที่ถูกมัดไว้เป็นวันๆ ทำให้เกร็งและอ่อนล้าไปหมด
เธอทำไปด้วยความเป็นห่วงกีรติ และความเคยชินที่ตอนเด็กๆ ช่วยนวดให้แม่อรเสมอๆ ไม่คิดอะไรมาก แต่กับคุณกีรติมันคือความประทับใจแรกพบที่ทำให้เขาถึงกับมองสำรวจดวงหน้าของทรายอย่างสนอกสนใจ
“เธอกล้าจังเลย ตอนวิ่งออกไปเราไม่คิดว่าคุณจะกลับเข้ามา เธอทำงานอะไรน่ะ จริงๆ แล้วยังเด็กอยู่แท้ๆ"
“จริงๆ ทรายเป็นฝ่ายข้อมูลของทีมนักสืบนี่แหละ เพิ่งมาทำงานไม่กี่วันนี้เอง นั่งรออยู่ในรถตู้ แต่พวก เอ่อ........พวกพี่เขาจับได้ว่าพวกเรามาแอบซุ่มอยู่ เลยตลบหลังเราด้วยการไปจับทรายมาจากรถตู้...........”
“โห เพิ่งทำเหรอ เธอกล้าและดูคล่องแคล่วจริงๆ” กีรติกล่าวชมทรายด้วยความปลาบปลื้มชื่นชม
ทั้งคู่นั่งคุยเหมือนคนสนิทสนมกันมานาน แถมคุยกันอย่างกับว่านั่งกันอยู่ที่ระเบียงบ้าน ไม่มีท่าทีว่าตัวเองกำลังตกเป็นตัวประกันและกำลังอยู่ในอันตราย ทั้งทรายและกีรติรู้สึกสบายอกสบายใจอย่างประหลาดที่ได้คุยกัน
“ฉันว่าเราเลิกตามนังเด็กเนรคุณนั่นได้แล้วหละ มันออกจากบ้านไปเองแล้วจะไปตามมันทำไม”
วินพูดด้วยความเบื่อหน่ายขณะอรคะยั้นคะยอให้พาออกไปตามหาทรายอีกครั้ง
“อย่ามาพูดอย่างนี้ ฉันเลี้ยงของฉันมาตั้งแต่มันแบเบาะ จะให้ปล่อยออกไปเฉยๆ ได้อย่างนั้น”
อรพูดอย่างหัวเสีย มือเท้าสะเอวท่าทีเอาเรื่อง
“มันหนีของมันออกไปเอง แปลว่ามันไม่อยากอยู่กับเรา นี่ถ้ามันอยากกลับมาก็คงจะกลับมาเองนานแล้ว จะออกไปตามทำไม เสียเวลาทำมาหากินจริงๆ”
“แกพูดยังกะว่าแกไม่ได้ว่างยังงั้นแหละ แกก็ว่างงานวันๆ ไปทำอะไร รับจ้างนิดๆ หน่อยๆ ได้ตังค์บ้างไม่ได้ตังค์บ้าง มีหน้ามาพูดว่าเสียเวลาทำมาหากิน นี่ที่แกอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะเงินของฉันทั้งนั้น เงินฉันที่เลี้ยงแกมาสิบกว่าปี เงินฉันที่แกเอาไปลงทุนบ้าๆ บอๆ หมดเป็นล้าน อยู่กับแกชีวิตไม่ดีอะไรดีขึ้น ฉันไม่น่าตัดสินใจผิดพลาดเลย ทุกวันนี้ก็เหมือนยายแก่คนนึงที่ชีวิตไม่มีอะไรเลย มีผัวก็ไม่เก่ง ไร้ความสามารถ หวังพึ่งพิงอะไรไม่ได้”
อรตะเบ็งเสียงด้วยความโกรธ พูดจบก็ลงนั่งพักหายใจหอบแฮ็กๆ แต่ดูเหมือนถ้อยคำที่พูดออกมามันเสียดแทงจิตใจของวันประหนึ่งมีดแหลมแทงเข้ากลางหัวใจ
วินนั่งนิ่งตาแดงกล่ำ สายตามองต่ำน้ำตาคลอเบ้า เหลือบตามองอรนิดๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ขอบใจนะ ที่แกพูดความจริง ใช่ ฉันไม่เก่ง ฉันเหมือนเป็นตัวถ่วง ไร้ความสามารถ แกพึ่งพิงอะไรฉันไม่ได้เลยสักนิด”
พูดจบวินลุกขึ้นเดินออกจากห้องนั่งเล่นขึ้นชั้นบนไปเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก อรไม่ได้นึกคิดหรือสังเกตอะไร นึกแต่เรื่องจะไปหาทรายที่ไหน พักเดียวเห็นวินเดินลงมาพร้อมกระเป๋าใบใหญ่กับใบเล็กอย่างละใบ
“แกทำอะไรน่ะ” อรขมวดคิ้วถามวินอย่างหัวเสียง
“ผู้ชายที่ไหนจะทนได้ เมียด่าว่าตัวเองไม่เก่ง ไร้ความสามารถ เมียพึ่งพิงอะไรไม่ได้ ผู้ชายคนไหนจะทนได้”
วินกัดฟันพูดน้ำเสียงเครียด มองตรงและเดินตรงไปที่ประตูบ้านไม่เหลือบมองอรแม้สักนิด อรยังไม่หยุด คิดว่าวินแค่โมโห เดี๋ยวเดียวก็คงหาย
“ทำเป็นเด็กเป็นเล็กไปได้ แก่ป่านนี้ยังมาทำงอนเป็นผู้หญิง ไปนุ่งกระโปรงซะไป อยากจะไปไหนก็ไปเลย ฉันกำลังหัวเสียยังมายั่วอารมณ์โกรธอีก ตอนกลับมาซื้อผลไม้เข้ามาด้วยละกัน”
วินหยุดกึก ทำท่าเหมือนจะหันไปต่อไปต่อคำแล้วเปลี่ยนใจ หันตรงไปที่ประตูบ้านแล้วเดินหายลับไป
...................................................................................................................................................................................
หมวดปราบรับสายที่เรียกเข้ามาเพราะเห็นว่าเป็นสายของจ่าสมหมาย
“หมวดครับ มีเรื่องใหญ่แล้วตอนนี้”
“อะไรเหรอ นี่ผมกำลังไปรับทรายที่ปราจีนบุรี จ่ามีอะไรด่วนหรือครับ”
ฝั่งนั้นเงียบไปสักพักก่อนจะเล่าเหตุการณ์ต่อ
“คือ คุณแคนดี้มาแจ้งความโดนทำร้ายร่างกายจากน้องทราย แถมพ่วงหมวดเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่.........”
หมวดปราบได้ยินถึงกับนิ่งไป
“ผมถามให้แล้วนะว่าทำไมเล่นกันแรงยังงี้ เธอบอกว่าที่หมวดปราบพาเธอไปช๊อปปิ้งดูไม่จริงใจ แถมยังปล่อยให้พ่อแม่ทรายทำร้ายเธออีก ถ้าหมวดไม่มีเยื่อใยกับเธอแล้ว เธอจะเล่นงานให้หนัก”
คราวนี้หมวดปราบถอนหายใจยาว สมองตื้อไปหมด กดปิดสายโดยไม่ต้องบอกเลิกบอกรากับจ่าสมหมาย คิดว่าจ่าสมหมายคงเข้าใจว่า ได้ยินข่าวนี้หมวดปราบคงถึงกับหมดสภาพเลยทีเดียว
“เงื่อนไขเป็นอย่างนี้ แกไปเอาเงินเข้ามาแล้วให้คนข้างนอกเปิดทาง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยพวกฉันจะออกไปทางด้านหลัง มีรถกระบะอีกคันจอดรออยู่ เราจะพาแกไปด้วย เมื่อขึ้นรถได้เราจะปล่อยตัวแก เมื่อไปได้พักหนึ่ง เราแน่ใจว่าไม่มีใครตามแล้วจะปล่อยผู้ชาย”
น้าเกิดบอกกับทรายเมื่อมีสัญญาณโบกมือจากข้างนอกให้เห็น ทรายรีบปฏิเส