สาวน้อยพลังจิต ตอน 26 “เมื่อตาต่อตามาประสาน”
หลังจากถูกมัดมือมัดเท้าอย่างดีแล้ว ทรายถูกโยนลงบนไม้กระดานดังโครมเหมือนถุงปุ๋ยที่เธอถูกคลุมมา ถุงปุ๋ยถูกเปิดออกพร้อมเสียงกำชับห้าวๆ ใหญ่ๆ จากผู้ชายตัวใหญ่ล่ำกำยำผิวสีดิน
“อย่าส่งเสียงดังนะ ถ้าไม่อยากเจ็บตัว”
ทรายหน้าตาตื่นแต่พยักหน้ารับคำสั่งโดยดี เธอกวาดสายตาไปรอบๆ เห็นชายคนหนึ่งนอนตัวยาวถูกพันด้วยเทปผ้ารอบตัว ไม่สามารถกระดิกเนื้อกระดิกตัวได้เลย ทำให้เธอรู้ได้ทันทีว่าชายคนนี้ต้องเป็นคุณกีรติที่ถูกจับเรียกค่าไถ่แน่นอน
กีรติในท่านอนเหลือบมองเธอนิดนึง เพราะอยู่ในทางที่ไม่สามารถเห็นทรายได้ถนัดตา สีหน้าเขาดูอิดโรยมาก แต่ไม่วายยิ้มให้เธออย่างสุภาพ
“เอาละ พวกแกเป็นใคร มากันกี่คน มีจุดประสงค์อะไร”
ชายอีกคนท่าทางมีอายุ ผมน้อยๆ สีผิวคล้ำไม่ต่างจากคนตัวใหญ่กำยำ
ทรายในยามนี้รู้สึกเย็นวาบที่หลัง เธอรู้สึกขึ้นมาเฉยๆ ว่าการตอบคำถามที่ไม่ไตร่ตรองให้ดีอาจทำให้เธอกับกีรติตกที่นั่งลำบากมากขึ้น เพราะถ้าโจรรู้ว่าจะไม่ได้เงินและถูกจับแน่นอน พวกมันอาจฆ่าเธอละกีรติและหนีไป
“ฉันแค่ตามน้ามาดูที่เท่านั้นเอง น้าเป็นนายหน้าพาคนมาดูที่แถวนี้ พวกพี่อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย แค่คิดว่าตามผู้ใหญ่มาเที่ยวต่างจังหวัดเท่านั้น”
ชายกำยำหัวเราะในคอ โพล่งออกมา
“
มาซุ่มดูบ้านไม้ไผ่ตั้ง 5-6 คน ดูที่ประสาพ่อง”
พูดจบชายกำยำเดินถือเทปผ้ามาที่ทราย แล้วฉีกเทปผ้าหมุนวนรอบหน้าทรายหลายรอบ ปิดทั้งตาปิดทั้งปาก และใช้เทปผ้าปิดปากกีรติด้วย ทั้งคู่เดินออกไปนอกห้องนั้นไม่รู้ว่าไปทำอะไร
.................................................................................................................................................................................
พันตรีพิชัยกับชายซาฟารีจำนวนหนึ่งวิ่งกลับมาที่รถ ช่วยกันปฐมพยาบาลและเรียกคืนสติพลขับที่สลบเหมือดพร้อมเลือดที่หัวเปื้อนเบาะ ในภาพมึนงงเขาบอกพันตรีพิชัยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“มันมาเร็วมากไม่ทันตั้งตัวเลยครับ ผมสลบเหมือดทันที ถ้าทรายไม่วิ่งหนีไปได้ก็คงโดนมันจับไปแล้ว”
“
ละทีนี้ พวกมันช่ำชองยุทธวิธีมากขนาดนี้ น่ามาทำงานกับกู แต่นี่เลือกเป็นโจรแล้วจะทำไงได้”
พันตรีพิชัยส่ายหน้าแล้วถอนหายใจช้าๆ
“บ้านที่เราไปดูเป็นกับดัก แปลว่าต้องมีบ้านอีกหลังอยู่แถวๆ นี้ที่มันใช้ซ่อนคุณกีรติ มันคงเห็นปฏิบัติการณ์ของเราหมดแล้ว”
ชายซาฟารีทั้งหมดยืนนิ่งรอรับคำสั่งอย่างสงบแม้ทุกคนจะรู้ว่ากำลังอยู่ในภาวะวิกฤต
“มันรู้ตัวแล้ว ถ้าบุกไปตอนนี้สงสัยต้องมียิงกันแน่ แต่ถ้าไม่รีบบุกไปมีหวังทรายกับคุณกีรติไม่รอดชัวร์”
พันตรีพิชัยพยักหน้าให้หนึ่งในชายซาฟารี คนนั้นไปเปิดท้ายรถหยิบกล่องใบใหญ่ออกมาวางตรงหน้า
“ไม่น่าเลยกู มีเทคโนโลยีอยู่แท้ๆ ดันไม่ใช้ พึ่งแต่วิธีการเดิมๆ เปิดออกมา”
พันตรีพิชัยพูดจบ ชายซาฟารีหลายคนช่วยกันเปิดกล่องออกมาเพื่อประกอบบางสิ่งบางอย่าง ใช้เวลาสักพักหนึ่งทุกอย่างก็เรียบร้อยลงในเวลาไม่นานนัก
พันตรีพิชัยพยักหน้า หนุ่มซาฟารีคนหนึ่งกดปุ่มเปิดเครื่องเจ้าสิ่งนั้น เสียงดังหวือพร้อมลมพัดอย่างแรงรอบๆ มัน แล้วมันได้ลอยขึ้นทันที มันคือโดรนตัวใหญ่ที่บินสูงบังคับไกล ชายซาฟารีอีกคนดูที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เห็นภาพของกล้องที่ติดอยู่กับโดรนสว่างใสสี่สีชัดเจน
โดรนลอยสูงขึ้นและเคลื่อนไปข้างหน้า กล้องมีถึง 4 ตัวฉายให้เห็นภูมิประเทศโดยรอบ มันเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
“ขืนใช้คนออกตรวจไปรอบๆ มันจะสายไปไม่ทันการณ์ เพราะเราไม่รู้ว่าที่ตั้งที่น่าสงสัยว่าจะเป็นรังโจรมันอยู่ตรงไหน”
พักเดียวโดรนฉายให้เห็นภาพบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปเกือบหนึ่งกิโลเมตรตั้งอยู่กลางทุ่งและคร่อมอยู่บนบึงขนาดเล็ก
“บ้านนั้นต้องสงสัยมากที่สุด เคลื่อนที่เร็ว ทันที”
พันตรีพิชัยพิจารณาภาพจากกล้องสักพักแล้วสั่งการ ชายซาฟารี ชายซาฟารี 3 คนรีบมุ่งหน้าไปในทิศที่บ้านหลังนั้นตั้งอยู่
“เอาโดรนโฉบเข้าไปในระยะปลอดภัยที่ใกล้ที่สุดซิ ว่าตอนนี้มีอะไรที่ต้องสงสัยอีก”
คนที่คุมโดรนพยักหน้าแล้วบังคับโดนให้เคลื่อนไปที่บ้านนั้นอย่างเร็ว
………………………………………………………………………….
“สวัสดีครับคุณป้า ไม่ได้เจอกันนานเลย วันนี้มีอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ”
หมวดปราบรับสายกล่าวทักทายอีกฝ่ายอย่างเป็นกันเอง
“สวัสดีหลานรัก ป้ามีเรื่องจะเล่าให้ฟัง 2-3 วันก่อนหมาของป้าหายไป”
เสียงจากอีกฝ่ายดังขึ้น เป็นเสียงของหญิงวัยกลางคน หมวดปราบได้ยินว่าหมาของเธอหายไปก็ทำเสียงตกใจ แต่ภายในใจกำลังนึกว่า “โห คุณป้า สุนัขหายจะให้ผมหาหรือเนี่ย ตอนนี้ปัญหาผมโคตรเยอะเลย”
“เปล่าๆ นะ ป้าไม่ได้โทรมาขอให้หลานตามหาหมาให้หรอกนะ ป้ารู้ว่างานตำรวจมันยุ่ง ป้าไม่ได้โทรมาเรื่องเจ้ามูมู่หรอก เพียงแต่มีเรื่องอยากจะเล่าให้ฟังที่มันเกี่ยวข้องกัน”
หมวดปราบโล่งใจแต่ก็ตอบไปตามมารยาท
“มูมู่หายไปเหรอครับ พอมีเบาะแสอะไรที่ผมจะจัดการได้บ้าง คุณป้าบอกมาเถอะครับ ผมนับถือคุณป้าเหมือนป้าแท้ๆ ตอนเด็กๆ หลังจากคุณพ่อเสียไป คุณป้ามีส่วนช่วยดูแลให้ผมเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีและมีที่ปรึกษาดูแลให้ใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม”
“จ๊ะหลาน ขอบใจนะที่เห็นป้ามีประโยชน์มีความสำคัญในชีวิตหลาน”
ปลายสายตอบกลับมา ใจหนึ่งหมวดปราบอยากจะวางสายซะไวๆ เพราะมีเรื่องให้คิดให้กลุ้มอีกมาก แต่อีกใจก็ไม่อยากทำ เพราะหญิงสูงวัยที่กำลังคุยด้วย เป็นเพื่อนสนิทของพ่อที่เข้ามาช่วยดูแลหมวดปราบระยะหนึ่งไม่ให้มีสภาพตกเป็นเด็กกำพร้าทั้งกายและใจ คอยดูแลให้คำแนะนำปรึกษาที่ดีมาตลอด รวมถึงช่วยเป็นธุระจัดการให้หมวดปราบได้มีโอกาสเรียนหนังสือและพักอาศัยอยู่กับญาติของเธอที่สหรัฐอเมริกาตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย
“คือยังงี้ ป้าจ้างนักสืบมาสืบเรื่องเจ้ามูมู่ สืบอยู่วันนึง วันรุ่งเขาก็มาสืบอีก ทีนี้พาเด็กผู้หญิงคนนึงมา เธอถือเครื่องอะไรสักอย่างมาให้คนในบ้านจับๆ แตะๆ บอกว่าเป็นเครื่องจับเท็จ แตะแป๊บเดียว จับขโมยได้ตั้ง 2 คน คนนึงคือยัยแก้วตัวดี ขโมยมู่ๆ จะไปให้ลูกที่บ้านเลี้ยง ส่วนอีกคนคือเจ้าวริศลูกของญาติห่างๆ ที่อยู่ต่างจังหวัด คนนี้ขโมยสร้อยข้อมือป้าไป.............”
หรือครับ โอ้........ไว้ใจไม่ได้เลยคนสมัยนี้ ป้าแก้วก็ทำงานกับป้ามาตั้งนาน วริศเป็นถึงหลานทำไมทำกับคุณป้าอย่างนี้”
หมวดปราบตอบไปตามมารยาทอีก ทั้งที่ใจอยากตัดการสนทนาไปไวๆ แต่คุณป้าคนนี้ไมได้ติดต่อกับหมวดปราบนานแล้ว จะติดต่อเฉพาะเวลามีธุระสำคัญเท่านั้น และตอนสมัยเด็กๆ มีแต่หมวดปราบนี่แหละที่ขอความช่วยเหลือเธอหลายอย่าง ทำให้หมวดปราบรู้สึกเกรงใจมากเป็นพิเศษ
“ป้าถามเขาว่าเครื่องนี้จะขายมั้ย เขาไม่ยอมขาย แต่บอกตามตรงนะ ป้าไม่เชื่อ ต่อให้สมัยนี้มือถือจะมีแอ๊ปนั่นแอ๊ปนี่ หรือโลกพัฒนาไปไกลขนาดนั้น เครื่องจับเท็จแบบที่ว่าเครื่องนิดเดียว แล้วยังรู้ผลวัยขนาดนั้นมันไม่มีแน่ โดยเฉพาะใช้เด็กผู้หญิงอายุ 15-16 เป็นคนถือเจ้าเครื่องนี้.........”
ได้ยินถึงตรงนี้หมวดปราบรู้สึกแปลกๆ จึงขอให้ป้าบรรยายลักษณะของคนที่มาสืบเรื่องเจ้ามูมู่
“หัวหน้าทีมชื่อพิชัย เห็นคุยว่าเป็นอดีตนายทหาร มีลูกน้องผู้ชาย 3-4 คน และเด็กผู้หญิงอีกคนนึง ดูกะโปโลยังไงไม่รู้ แต่หน้าตาสะสวยเชียวนะ”
“ห๊า พันตรีพิชัยหรือครับ แล้วมีน้องผู้หญิงอายุ 15-16 คุณป้าทราบชื่อเธอมั้ยครับ”
“ไม่ ป้าไม่ได้ถาม” พูดไม่ทันจบ หมวดปราบรีบถามต่อทันที
“ผมจะติดต่อพันตรีพิชัยยังไงครับ ผมจะไปสืบดูให้เรื่องเครื่องมือนั่น”
“อ๋อ ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ ป้าก็โทรมาเล่าให้ฟังเฉยๆ มันไม่จำเป็นขนาดนั้นหรอก”
“คุณป้าครับ แต่มันจำเป็นสำหรับผม ขอวิธีติดต่อพันตรีพิชัยหน่อยเถอะครับ”
................................................................................................................................................................................
หนุ่มซาฟารีกระจายกำลังกันโอบล้อมบ้านกลางทุ่งอยู่ห่างๆ ไม่กล้าเข้าไปไกล เพราะบ้านอยู่กลางทุ่งหญ้าแห้งๆ ห่างจากถนนและชายป่าเป็นร้อยเมตร ถ้าใครพยายามเข้าใกล้คนในบ้านจะเห็นแต่ไกล
พันตรีพิชัยตามกลุ่มชายซาฟารีมาถึงแล้วลงนั่งซุมอยู่ห่างออกไป พลางส่ายหน้าเหมือนรู้สึกว่าจนหนทางที่จะบุกเข้าไปถึง
“พวกมันเป็นนักยุทธศาสตร์ซะยิ่งกว่าเสนาธิการทหารที่เรียนกันมา สงสัยจริงๆ ว่าตอนเป็นทหารพวกมันได้ชั้นยศไหน จัดชัยภูมิชนิดฝ่ายตรงข้ามเข้าตีไม่ได้เลย”
พูดจบพันตรีพิชัยหันกลับไปตามทิศทางของบ้านไม้ใผ่หลังแรกที่ชายซาฟารีไปซุ่มดู
“ตรงนี้เป็นเนินสูงมองลงไปเห็นบ้านไม้ใผ่ชัดแจ๋ว มิน่า มันเห็นพวกเราสบายๆ ถึงจะอยู่ห่างออกไปตั้งเกือบกิโล ส่วนอ้ายคนอยู่ข้างล่างนั้นกลับมองขึ้นมาไม่เห็นอะไรเลย งานนี้ลำบากยิ่งกว่าเข้าตีข้าศึกซะอีก ต่อให้มีคนเพิ่มมาอีก 10 คนยังจะทำอะไรมันไมได้เลย ยกเว้นบอกพิกัดปืนใหญ่ให้ยิงถล่ม”
พันตรีพิชัยยกวิทยุสื่อสารในมือติดต่อกับคนคุมโดรน
“เห็นอะไรบ้างมั้ย ลองส่งโดรนให้เคลื่อนห่างออกไปด้านหลังบ้านหลังนี้ซิว่ามีอะไรอีก แต่อย่าให้โดรนลงต่ำนักนะ เดี๋ยวพวกมันเห็น”
ทางนั้นตอบรับทราบ สักพักเดียวมีเสียงวิทยุรายงานกลับมา
“เห็นมีรถกระบะเก่าๆ คันนึงจอดห่างออกไปประมาณ 1 กิโลเมตรครับ”
พันตรีพิชัยถึงกับทำตาลุก
“พวกมันเตรียมทางหนีไว้ด้วย โอ้โห ไม่ใช่โจรกระจอกแล้วอย่างนี้ พลแม่นปืนไปประจำจุดใกล้รถกระบะกะว่าถ้าพวกมันถอยไปทางนั้นสามารถสอยได้เลย”
เสียงรับคำสั่งผ่านวิทยุออกมา
“แล้วเราจะทำอะไรต่อดีครับตอนนี้”
ชายซาฟารีที่หมอบอยู่กับพันตรีพิชัยเงยหน้าขึ้นถาม พันตรีพิชัยเกาหัวแกร๊กๆ สีหน้าแววตาวิตกกังวล
“ยังไม่รู้เลย ถ้ามีรถจอดอยู่แปลว่าพวกมันยังอยู่ในบ้าน แต่จะมีอาวุธชนิดไหนเราไม่รู้ได้ ถ้ายิงถล่มกันเราคงเสียเปรียบ เพราะอยู่ในที่แจ้ง”
ทันใดนั้นเสียงเรียกโทรศัพท์ดังขึ้น พันตรีพิชัยทำหน้าแปลกใจ เพราะโทรศัพท์มือถือที่ตัวเองพกติดตัวมา หมายเลขนี้จะมีคนรู้น้อยมาก เพราะจะใช้โทรเฉพาะเรื่องสำคัญเท่านั้น พันตรีพิชัยกดรับแต่ไม่ยอมพูดอะไร รอฟังเสียงอีกฟากก่อน เพราะไม่รู้ว่าหมายเลขที่เรียกเข้ามาเป็นของใคร
“พันตรีพิชัยนะเปล่าครับ ผมหมวดปราบที่เราเคยเจอกันพร้อมทราย................”
พันตรีพิชัยได้ยินถึงกับมีอาการเหวอไปพักหนึ่งก่อนจะรวบรวมสติตอบโทรศัพท์ไป
“หมวดปราบคงไม่ได้โทรมาชวนผมไปกินกาแฟแน่ๆ”
“พันตรีพิชัยคงรู้ว่าผมกำลังตามหาทรายอยู่ เธออยู่กับพันตรีพิชัยใช่มั้ยครับ”
พันตรีพิชัยนิ่งเงียบอยู่พักนึง ไม่รู้จะหาคำตอบอะไรดีที่เหมาะกับสถานการณ์
“ตอนนี้ผมไม่ว่างคุยโทรศัพท์นะ ไว้ผมเสร็จธุระแล้วจะโทรกลับ”
“พันตรีพิชัยคงจำได้ว่าผมเป็นตำรวจนะครับ ผมร้อนใจมากเรื่องทราย อยากจะเจอเธอโดยเร็วที่สุด ถ้าไม่คุยกับผมตอนนี้ผมแค่ใช้เวลาอีกนิดค้นหาพิกัดของพันตรีพิชัยแล้วผมจะตามมาเจอให้เร็วที่สุด”
พันตรีพิชัยสบถกับตัวเองเบาๆ “เวรเอ๊ยยย”
“คืองี้ ผมอยู่ในสถานการณ์ที่ตอบอะไรไม่ได้ตอนนี้ อย่าเสียเวลาตามเราเลย เมื่อผมเสร็จภารกิจทางนี้ทั้งผมกับทรายจะกลับไปที่ออฟฟิศของผม หมวดปราบตามไปรอที่นั่นดีกว่า”
พูดจบแล้วกดสายทิ้งทันที พันตรีพิชัยไม่รอให้อีกฟากต่อล้อต่อเถียง หันไปคุยกับลูกน้องด้วยสีหน้าไม่สู้ดีทันที
“ตอนนี้สถานการณ์คับขันละ อีก 2 ชั่วโมงจะมีตำรวจเข้ามายุ่งเกี่ยว เราต้องรีบจบภารกิจให้เร็วที่สุด”
ชายซาฟารีทุกคนก้มหน้าเงียบ
“อ้าว ทำไมเงียบกันหมด” พันตรีพิชัยทำสีหน้าเดือดดาน คนหนึ่งในชายซาฟารีตอบคำถามสวนทันที
“จะให้จบยังไงสั่งมาสิครับ” พันตรีพิชัยถึงกับเม้นริมฝีปากแน่น
“เออ กูไม่รู้เหมือนกัน เอาไงดีวะ เชี่ยเอ๊ยยยย”
.----------------------------------------------------------------------------------------
โจรทั้งคู่ออกไปคุยกันข้างนอกเพื่อประเมินสถานการณ์และสรุปว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับเหตุไม่คาดฝันที่เกิดขึ้น
“ไม่น่าเชื่อว่ามันจะรู้ที่กบดานของเราเร็วอย่างนี้ แปลว่าแผนของเรายังไม่รัดกุมพอ”
คนผมบางพูด
“หมดกัน อดกันละ 10 ล้าน เผลอๆ โดนตามล่าด้วย จะทำไงกะ 2 คนนี้ดี”
“ต้องฆ่าปิดปากมัน เพราะมันเห็นเราแล้ว ถ้าปล่อยมันรอดเราไม่รอดแน่นอน แต่ถ้าฆ่ามันทิ้งตอนนี้ คนอื่นยังไม่เห็นเรา โอกาสหนียังมี”
ชายผมบางพูดจบ ทั้งคู่พยักหน้าเป็นอันเข้าใจกันแล้วหันขวับเปิดประตูเข้า
สาวน้อยพลังจิต ตอน 26 “เมื่อตาต่อตามาประสาน”
หลังจากถูกมัดมือมัดเท้าอย่างดีแล้ว ทรายถูกโยนลงบนไม้กระดานดังโครมเหมือนถุงปุ๋ยที่เธอถูกคลุมมา ถุงปุ๋ยถูกเปิดออกพร้อมเสียงกำชับห้าวๆ ใหญ่ๆ จากผู้ชายตัวใหญ่ล่ำกำยำผิวสีดิน
“อย่าส่งเสียงดังนะ ถ้าไม่อยากเจ็บตัว”
ทรายหน้าตาตื่นแต่พยักหน้ารับคำสั่งโดยดี เธอกวาดสายตาไปรอบๆ เห็นชายคนหนึ่งนอนตัวยาวถูกพันด้วยเทปผ้ารอบตัว ไม่สามารถกระดิกเนื้อกระดิกตัวได้เลย ทำให้เธอรู้ได้ทันทีว่าชายคนนี้ต้องเป็นคุณกีรติที่ถูกจับเรียกค่าไถ่แน่นอน
กีรติในท่านอนเหลือบมองเธอนิดนึง เพราะอยู่ในทางที่ไม่สามารถเห็นทรายได้ถนัดตา สีหน้าเขาดูอิดโรยมาก แต่ไม่วายยิ้มให้เธออย่างสุภาพ
“เอาละ พวกแกเป็นใคร มากันกี่คน มีจุดประสงค์อะไร”
ชายอีกคนท่าทางมีอายุ ผมน้อยๆ สีผิวคล้ำไม่ต่างจากคนตัวใหญ่กำยำ
ทรายในยามนี้รู้สึกเย็นวาบที่หลัง เธอรู้สึกขึ้นมาเฉยๆ ว่าการตอบคำถามที่ไม่ไตร่ตรองให้ดีอาจทำให้เธอกับกีรติตกที่นั่งลำบากมากขึ้น เพราะถ้าโจรรู้ว่าจะไม่ได้เงินและถูกจับแน่นอน พวกมันอาจฆ่าเธอละกีรติและหนีไป
“ฉันแค่ตามน้ามาดูที่เท่านั้นเอง น้าเป็นนายหน้าพาคนมาดูที่แถวนี้ พวกพี่อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย แค่คิดว่าตามผู้ใหญ่มาเที่ยวต่างจังหวัดเท่านั้น”
ชายกำยำหัวเราะในคอ โพล่งออกมา
“ มาซุ่มดูบ้านไม้ไผ่ตั้ง 5-6 คน ดูที่ประสาพ่อง”
พูดจบชายกำยำเดินถือเทปผ้ามาที่ทราย แล้วฉีกเทปผ้าหมุนวนรอบหน้าทรายหลายรอบ ปิดทั้งตาปิดทั้งปาก และใช้เทปผ้าปิดปากกีรติด้วย ทั้งคู่เดินออกไปนอกห้องนั้นไม่รู้ว่าไปทำอะไร
.................................................................................................................................................................................
พันตรีพิชัยกับชายซาฟารีจำนวนหนึ่งวิ่งกลับมาที่รถ ช่วยกันปฐมพยาบาลและเรียกคืนสติพลขับที่สลบเหมือดพร้อมเลือดที่หัวเปื้อนเบาะ ในภาพมึนงงเขาบอกพันตรีพิชัยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“มันมาเร็วมากไม่ทันตั้งตัวเลยครับ ผมสลบเหมือดทันที ถ้าทรายไม่วิ่งหนีไปได้ก็คงโดนมันจับไปแล้ว”
“ละทีนี้ พวกมันช่ำชองยุทธวิธีมากขนาดนี้ น่ามาทำงานกับกู แต่นี่เลือกเป็นโจรแล้วจะทำไงได้”
พันตรีพิชัยส่ายหน้าแล้วถอนหายใจช้าๆ
“บ้านที่เราไปดูเป็นกับดัก แปลว่าต้องมีบ้านอีกหลังอยู่แถวๆ นี้ที่มันใช้ซ่อนคุณกีรติ มันคงเห็นปฏิบัติการณ์ของเราหมดแล้ว”
ชายซาฟารีทั้งหมดยืนนิ่งรอรับคำสั่งอย่างสงบแม้ทุกคนจะรู้ว่ากำลังอยู่ในภาวะวิกฤต
“มันรู้ตัวแล้ว ถ้าบุกไปตอนนี้สงสัยต้องมียิงกันแน่ แต่ถ้าไม่รีบบุกไปมีหวังทรายกับคุณกีรติไม่รอดชัวร์”
พันตรีพิชัยพยักหน้าให้หนึ่งในชายซาฟารี คนนั้นไปเปิดท้ายรถหยิบกล่องใบใหญ่ออกมาวางตรงหน้า
“ไม่น่าเลยกู มีเทคโนโลยีอยู่แท้ๆ ดันไม่ใช้ พึ่งแต่วิธีการเดิมๆ เปิดออกมา”
พันตรีพิชัยพูดจบ ชายซาฟารีหลายคนช่วยกันเปิดกล่องออกมาเพื่อประกอบบางสิ่งบางอย่าง ใช้เวลาสักพักหนึ่งทุกอย่างก็เรียบร้อยลงในเวลาไม่นานนัก
พันตรีพิชัยพยักหน้า หนุ่มซาฟารีคนหนึ่งกดปุ่มเปิดเครื่องเจ้าสิ่งนั้น เสียงดังหวือพร้อมลมพัดอย่างแรงรอบๆ มัน แล้วมันได้ลอยขึ้นทันที มันคือโดรนตัวใหญ่ที่บินสูงบังคับไกล ชายซาฟารีอีกคนดูที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เห็นภาพของกล้องที่ติดอยู่กับโดรนสว่างใสสี่สีชัดเจน
โดรนลอยสูงขึ้นและเคลื่อนไปข้างหน้า กล้องมีถึง 4 ตัวฉายให้เห็นภูมิประเทศโดยรอบ มันเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
“ขืนใช้คนออกตรวจไปรอบๆ มันจะสายไปไม่ทันการณ์ เพราะเราไม่รู้ว่าที่ตั้งที่น่าสงสัยว่าจะเป็นรังโจรมันอยู่ตรงไหน”
พักเดียวโดรนฉายให้เห็นภาพบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปเกือบหนึ่งกิโลเมตรตั้งอยู่กลางทุ่งและคร่อมอยู่บนบึงขนาดเล็ก
“บ้านนั้นต้องสงสัยมากที่สุด เคลื่อนที่เร็ว ทันที”
พันตรีพิชัยพิจารณาภาพจากกล้องสักพักแล้วสั่งการ ชายซาฟารี ชายซาฟารี 3 คนรีบมุ่งหน้าไปในทิศที่บ้านหลังนั้นตั้งอยู่
“เอาโดรนโฉบเข้าไปในระยะปลอดภัยที่ใกล้ที่สุดซิ ว่าตอนนี้มีอะไรที่ต้องสงสัยอีก”
คนที่คุมโดรนพยักหน้าแล้วบังคับโดนให้เคลื่อนไปที่บ้านนั้นอย่างเร็ว
………………………………………………………………………….
“สวัสดีครับคุณป้า ไม่ได้เจอกันนานเลย วันนี้มีอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ”
หมวดปราบรับสายกล่าวทักทายอีกฝ่ายอย่างเป็นกันเอง
“สวัสดีหลานรัก ป้ามีเรื่องจะเล่าให้ฟัง 2-3 วันก่อนหมาของป้าหายไป”
เสียงจากอีกฝ่ายดังขึ้น เป็นเสียงของหญิงวัยกลางคน หมวดปราบได้ยินว่าหมาของเธอหายไปก็ทำเสียงตกใจ แต่ภายในใจกำลังนึกว่า “โห คุณป้า สุนัขหายจะให้ผมหาหรือเนี่ย ตอนนี้ปัญหาผมโคตรเยอะเลย”
“เปล่าๆ นะ ป้าไม่ได้โทรมาขอให้หลานตามหาหมาให้หรอกนะ ป้ารู้ว่างานตำรวจมันยุ่ง ป้าไม่ได้โทรมาเรื่องเจ้ามูมู่หรอก เพียงแต่มีเรื่องอยากจะเล่าให้ฟังที่มันเกี่ยวข้องกัน”
หมวดปราบโล่งใจแต่ก็ตอบไปตามมารยาท
“มูมู่หายไปเหรอครับ พอมีเบาะแสอะไรที่ผมจะจัดการได้บ้าง คุณป้าบอกมาเถอะครับ ผมนับถือคุณป้าเหมือนป้าแท้ๆ ตอนเด็กๆ หลังจากคุณพ่อเสียไป คุณป้ามีส่วนช่วยดูแลให้ผมเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีและมีที่ปรึกษาดูแลให้ใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม”
“จ๊ะหลาน ขอบใจนะที่เห็นป้ามีประโยชน์มีความสำคัญในชีวิตหลาน”
ปลายสายตอบกลับมา ใจหนึ่งหมวดปราบอยากจะวางสายซะไวๆ เพราะมีเรื่องให้คิดให้กลุ้มอีกมาก แต่อีกใจก็ไม่อยากทำ เพราะหญิงสูงวัยที่กำลังคุยด้วย เป็นเพื่อนสนิทของพ่อที่เข้ามาช่วยดูแลหมวดปราบระยะหนึ่งไม่ให้มีสภาพตกเป็นเด็กกำพร้าทั้งกายและใจ คอยดูแลให้คำแนะนำปรึกษาที่ดีมาตลอด รวมถึงช่วยเป็นธุระจัดการให้หมวดปราบได้มีโอกาสเรียนหนังสือและพักอาศัยอยู่กับญาติของเธอที่สหรัฐอเมริกาตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย
“คือยังงี้ ป้าจ้างนักสืบมาสืบเรื่องเจ้ามูมู่ สืบอยู่วันนึง วันรุ่งเขาก็มาสืบอีก ทีนี้พาเด็กผู้หญิงคนนึงมา เธอถือเครื่องอะไรสักอย่างมาให้คนในบ้านจับๆ แตะๆ บอกว่าเป็นเครื่องจับเท็จ แตะแป๊บเดียว จับขโมยได้ตั้ง 2 คน คนนึงคือยัยแก้วตัวดี ขโมยมู่ๆ จะไปให้ลูกที่บ้านเลี้ยง ส่วนอีกคนคือเจ้าวริศลูกของญาติห่างๆ ที่อยู่ต่างจังหวัด คนนี้ขโมยสร้อยข้อมือป้าไป.............”
หรือครับ โอ้........ไว้ใจไม่ได้เลยคนสมัยนี้ ป้าแก้วก็ทำงานกับป้ามาตั้งนาน วริศเป็นถึงหลานทำไมทำกับคุณป้าอย่างนี้”
หมวดปราบตอบไปตามมารยาทอีก ทั้งที่ใจอยากตัดการสนทนาไปไวๆ แต่คุณป้าคนนี้ไมได้ติดต่อกับหมวดปราบนานแล้ว จะติดต่อเฉพาะเวลามีธุระสำคัญเท่านั้น และตอนสมัยเด็กๆ มีแต่หมวดปราบนี่แหละที่ขอความช่วยเหลือเธอหลายอย่าง ทำให้หมวดปราบรู้สึกเกรงใจมากเป็นพิเศษ
“ป้าถามเขาว่าเครื่องนี้จะขายมั้ย เขาไม่ยอมขาย แต่บอกตามตรงนะ ป้าไม่เชื่อ ต่อให้สมัยนี้มือถือจะมีแอ๊ปนั่นแอ๊ปนี่ หรือโลกพัฒนาไปไกลขนาดนั้น เครื่องจับเท็จแบบที่ว่าเครื่องนิดเดียว แล้วยังรู้ผลวัยขนาดนั้นมันไม่มีแน่ โดยเฉพาะใช้เด็กผู้หญิงอายุ 15-16 เป็นคนถือเจ้าเครื่องนี้.........”
ได้ยินถึงตรงนี้หมวดปราบรู้สึกแปลกๆ จึงขอให้ป้าบรรยายลักษณะของคนที่มาสืบเรื่องเจ้ามูมู่
“หัวหน้าทีมชื่อพิชัย เห็นคุยว่าเป็นอดีตนายทหาร มีลูกน้องผู้ชาย 3-4 คน และเด็กผู้หญิงอีกคนนึง ดูกะโปโลยังไงไม่รู้ แต่หน้าตาสะสวยเชียวนะ”
“ห๊า พันตรีพิชัยหรือครับ แล้วมีน้องผู้หญิงอายุ 15-16 คุณป้าทราบชื่อเธอมั้ยครับ”
“ไม่ ป้าไม่ได้ถาม” พูดไม่ทันจบ หมวดปราบรีบถามต่อทันที
“ผมจะติดต่อพันตรีพิชัยยังไงครับ ผมจะไปสืบดูให้เรื่องเครื่องมือนั่น”
“อ๋อ ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ ป้าก็โทรมาเล่าให้ฟังเฉยๆ มันไม่จำเป็นขนาดนั้นหรอก”
“คุณป้าครับ แต่มันจำเป็นสำหรับผม ขอวิธีติดต่อพันตรีพิชัยหน่อยเถอะครับ”
................................................................................................................................................................................
หนุ่มซาฟารีกระจายกำลังกันโอบล้อมบ้านกลางทุ่งอยู่ห่างๆ ไม่กล้าเข้าไปไกล เพราะบ้านอยู่กลางทุ่งหญ้าแห้งๆ ห่างจากถนนและชายป่าเป็นร้อยเมตร ถ้าใครพยายามเข้าใกล้คนในบ้านจะเห็นแต่ไกล
พันตรีพิชัยตามกลุ่มชายซาฟารีมาถึงแล้วลงนั่งซุมอยู่ห่างออกไป พลางส่ายหน้าเหมือนรู้สึกว่าจนหนทางที่จะบุกเข้าไปถึง
“พวกมันเป็นนักยุทธศาสตร์ซะยิ่งกว่าเสนาธิการทหารที่เรียนกันมา สงสัยจริงๆ ว่าตอนเป็นทหารพวกมันได้ชั้นยศไหน จัดชัยภูมิชนิดฝ่ายตรงข้ามเข้าตีไม่ได้เลย”
พูดจบพันตรีพิชัยหันกลับไปตามทิศทางของบ้านไม้ใผ่หลังแรกที่ชายซาฟารีไปซุ่มดู
“ตรงนี้เป็นเนินสูงมองลงไปเห็นบ้านไม้ใผ่ชัดแจ๋ว มิน่า มันเห็นพวกเราสบายๆ ถึงจะอยู่ห่างออกไปตั้งเกือบกิโล ส่วนอ้ายคนอยู่ข้างล่างนั้นกลับมองขึ้นมาไม่เห็นอะไรเลย งานนี้ลำบากยิ่งกว่าเข้าตีข้าศึกซะอีก ต่อให้มีคนเพิ่มมาอีก 10 คนยังจะทำอะไรมันไมได้เลย ยกเว้นบอกพิกัดปืนใหญ่ให้ยิงถล่ม”
พันตรีพิชัยยกวิทยุสื่อสารในมือติดต่อกับคนคุมโดรน
“เห็นอะไรบ้างมั้ย ลองส่งโดรนให้เคลื่อนห่างออกไปด้านหลังบ้านหลังนี้ซิว่ามีอะไรอีก แต่อย่าให้โดรนลงต่ำนักนะ เดี๋ยวพวกมันเห็น”
ทางนั้นตอบรับทราบ สักพักเดียวมีเสียงวิทยุรายงานกลับมา
“เห็นมีรถกระบะเก่าๆ คันนึงจอดห่างออกไปประมาณ 1 กิโลเมตรครับ”
พันตรีพิชัยถึงกับทำตาลุก
“พวกมันเตรียมทางหนีไว้ด้วย โอ้โห ไม่ใช่โจรกระจอกแล้วอย่างนี้ พลแม่นปืนไปประจำจุดใกล้รถกระบะกะว่าถ้าพวกมันถอยไปทางนั้นสามารถสอยได้เลย”
เสียงรับคำสั่งผ่านวิทยุออกมา
“แล้วเราจะทำอะไรต่อดีครับตอนนี้”
ชายซาฟารีที่หมอบอยู่กับพันตรีพิชัยเงยหน้าขึ้นถาม พันตรีพิชัยเกาหัวแกร๊กๆ สีหน้าแววตาวิตกกังวล
“ยังไม่รู้เลย ถ้ามีรถจอดอยู่แปลว่าพวกมันยังอยู่ในบ้าน แต่จะมีอาวุธชนิดไหนเราไม่รู้ได้ ถ้ายิงถล่มกันเราคงเสียเปรียบ เพราะอยู่ในที่แจ้ง”
ทันใดนั้นเสียงเรียกโทรศัพท์ดังขึ้น พันตรีพิชัยทำหน้าแปลกใจ เพราะโทรศัพท์มือถือที่ตัวเองพกติดตัวมา หมายเลขนี้จะมีคนรู้น้อยมาก เพราะจะใช้โทรเฉพาะเรื่องสำคัญเท่านั้น พันตรีพิชัยกดรับแต่ไม่ยอมพูดอะไร รอฟังเสียงอีกฟากก่อน เพราะไม่รู้ว่าหมายเลขที่เรียกเข้ามาเป็นของใคร
“พันตรีพิชัยนะเปล่าครับ ผมหมวดปราบที่เราเคยเจอกันพร้อมทราย................”
พันตรีพิชัยได้ยินถึงกับมีอาการเหวอไปพักหนึ่งก่อนจะรวบรวมสติตอบโทรศัพท์ไป
“หมวดปราบคงไม่ได้โทรมาชวนผมไปกินกาแฟแน่ๆ”
“พันตรีพิชัยคงรู้ว่าผมกำลังตามหาทรายอยู่ เธออยู่กับพันตรีพิชัยใช่มั้ยครับ”
พันตรีพิชัยนิ่งเงียบอยู่พักนึง ไม่รู้จะหาคำตอบอะไรดีที่เหมาะกับสถานการณ์
“ตอนนี้ผมไม่ว่างคุยโทรศัพท์นะ ไว้ผมเสร็จธุระแล้วจะโทรกลับ”
“พันตรีพิชัยคงจำได้ว่าผมเป็นตำรวจนะครับ ผมร้อนใจมากเรื่องทราย อยากจะเจอเธอโดยเร็วที่สุด ถ้าไม่คุยกับผมตอนนี้ผมแค่ใช้เวลาอีกนิดค้นหาพิกัดของพันตรีพิชัยแล้วผมจะตามมาเจอให้เร็วที่สุด”
พันตรีพิชัยสบถกับตัวเองเบาๆ “เวรเอ๊ยยย”
“คืองี้ ผมอยู่ในสถานการณ์ที่ตอบอะไรไม่ได้ตอนนี้ อย่าเสียเวลาตามเราเลย เมื่อผมเสร็จภารกิจทางนี้ทั้งผมกับทรายจะกลับไปที่ออฟฟิศของผม หมวดปราบตามไปรอที่นั่นดีกว่า”
พูดจบแล้วกดสายทิ้งทันที พันตรีพิชัยไม่รอให้อีกฟากต่อล้อต่อเถียง หันไปคุยกับลูกน้องด้วยสีหน้าไม่สู้ดีทันที
“ตอนนี้สถานการณ์คับขันละ อีก 2 ชั่วโมงจะมีตำรวจเข้ามายุ่งเกี่ยว เราต้องรีบจบภารกิจให้เร็วที่สุด”
ชายซาฟารีทุกคนก้มหน้าเงียบ
“อ้าว ทำไมเงียบกันหมด” พันตรีพิชัยทำสีหน้าเดือดดาน คนหนึ่งในชายซาฟารีตอบคำถามสวนทันที
“จะให้จบยังไงสั่งมาสิครับ” พันตรีพิชัยถึงกับเม้นริมฝีปากแน่น
“เออ กูไม่รู้เหมือนกัน เอาไงดีวะ เชี่ยเอ๊ยยยย”
.----------------------------------------------------------------------------------------
โจรทั้งคู่ออกไปคุยกันข้างนอกเพื่อประเมินสถานการณ์และสรุปว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับเหตุไม่คาดฝันที่เกิดขึ้น
“ไม่น่าเชื่อว่ามันจะรู้ที่กบดานของเราเร็วอย่างนี้ แปลว่าแผนของเรายังไม่รัดกุมพอ”
คนผมบางพูด
“หมดกัน อดกันละ 10 ล้าน เผลอๆ โดนตามล่าด้วย จะทำไงกะ 2 คนนี้ดี”
“ต้องฆ่าปิดปากมัน เพราะมันเห็นเราแล้ว ถ้าปล่อยมันรอดเราไม่รอดแน่นอน แต่ถ้าฆ่ามันทิ้งตอนนี้ คนอื่นยังไม่เห็นเรา โอกาสหนียังมี”
ชายผมบางพูดจบ ทั้งคู่พยักหน้าเป็นอันเข้าใจกันแล้วหันขวับเปิดประตูเข้า