รอยบรรพ์ (บทที่ 13)

ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ คุณลิ ลายลิขิต, จารย์จี GTW, น้องดาว Lady Star 919, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, น้องมัด ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด, คุณ nasa nasa, คุณ sudawo, คุณ มานีโอลา  
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ


บทก่อนหน้าค่ะ
บทนำ   https://ppantip.com/topic/36127426
บทที่ 1  https://ppantip.com/topic/36134360
บทที่ 2  https://ppantip.com/topic/36141907
บทที่ 3  https://ppantip.com/topic/36149284
บทที่ 4  https://ppantip.com/topic/36156203
บทที่ 5  https://ppantip.com/topic/36164577
บทที่ 6  https://ppantip.com/topic/36170552
บทที่ 7  https://ppantip.com/topic/36179183
บทที่ 8  https://ppantip.com/topic/36187082
บทที่ 9  https://ppantip.com/topic/36193770
บทที่ 10 https://ppantip.com/topic/36202931
บทที่ 11 https://ppantip.com/topic/36210169
บทที่ 12 https://ppantip.com/topic/36218800


บทที่ 13



    แม้เมื่ออาหารเย็นผ่านไปแล้ว บทสนทนาแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยกันก็ยังดำเนินต่อมาที่ระเบียงหน้าบ้าน

    อากาศเวลาค่ำบนยอดเขาออกจะเย็นกว่าปกติ เห็นหญิงสาวห่อไหล่เป็นครั้งคราว จนชายหนุ่มเป็นห่วง

    “กลับเข้าไปในบ้านดีไหม ดูเหมือนคุณจะหนาว”

    เธอรีบค้าน ด้วยยังไม่อยากจากบรรยากาศเงียบสงบนี้ไปในทันที ในเวลานี้รอบด้านมืดสนิทแล้ว มีแสงสว่างก็เพียงบนระเบียงไม้เท่านั้น แต่ถึงจะมืดก็ไม่ให้ความรู้สึกว่าน่ากลัว ตรงข้าม เธอกลับรู้สึกถึงความอบอุ่นอย่างประหลาด อบอุ่นจนอยากนั่งอยู่ที่นี่ทั้งคืนเสียด้วยซ้ำ

    จะเป็นเพราะบรรยากาศหรืออะไรก็สุดเดา หลังจากนั่งกันเงียบๆ บนเก้าอี้ไม้คนละตัวอยู่พักใหญ่ เธอยกเอาเรื่องซึ่งเก็บไว้คนเดียวอยู่หลายวันมาพูดถึง

    “วาดเคยฝันถึงแม่ของคุณด้วย รู้ไหมคะ”

    ใบหน้าคมคายหันขวับมาหา แววตาคมวาบวับทีเดียว

    “ก็ไม่รู้ว่าฝันได้ยังไงในเมื่อคุณแม่ของคุณหน้าตาเป็นยังไงก็ไม่เคยเห็น จนไปเห็นรูปที่บ้านคุณป้าของคุณเมื่อเช้านี้นั่นแหละค่ะ ถึงได้รู้ว่าเป็นแม่ของคุณจริงๆ” เธอมองตอบสายตาที่จ้องมาแล้วเล่าต่อ

“คิดว่าเห็นคุณพ่อของคุณด้วยค่ะ”

    คราวนี้เอริคตะลึงอย่างแท้จริง ตัวเขาเองยังไม่เคยเห็นพ่อเลยสักครั้ง ก็ในเมื่อเสียท่านไปตั้งแต่แม่เพิ่งจะเริ่มท้อง

    “คุณป้าคุณบอกว่าคุณพ่อคุณหน้าเหมือนคุณมาก ก็เลยคิดว่าที่ฝันคงใช่คุณพ่อของคุณแน่ๆ แต่ก็แปลกค่ะ คนเราจะฝันถึงคนที่เราไม่เคยเห็นได้หรือคะ”

    “ในโลกนี้มีอะไรอีกหลายอย่างที่อธิบายยากครับ” เสียงทุ้มๆ เหมือนคราง “ผมเชี่ออย่างนั้น”

เสริมด้วยประโยคหลังแล้วครุ่นคิด ถึงเวลาเล่าความจริงให้เธอได้มีส่วนร่วมรับรู้แล้วหรือยัง

“คุณเคยสงสัยบ้างไหมว่าทำไมคืนนั้นผมถึงไปทันเวลาที่ผู้ชายคนนั้นทำร้ายคุณพอดี”

    จงใจละความเป็นจริงที่ว่าเขาควรช่วยเธอได้เร็วกว่านั้น จะมากันไม่ให้เรื่องร้ายนั้นเกิดขึ้นเลยก็ยังได้  แต่เป็นเพราะลังเลอยู่นานว่าควรเข้าไปขัดจังหวะและเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ควรจะเป็นหรือไม่ จึงได้รีรอจนเรื่องเกือบจะเลยเถิดกันไปใหญ่นั่นแหละ

    “สงสัยสิคะ” เธอสารภาพตามตรง “ตำรวจก็สงสัย คุณคงรู้”

    “นั่นซี เพื่อนของคุณคิดว่าผมสมคบกับคนร้ายหรือไม่ก็เป็นคนร้ายเสียเองไปโน่นเลย” เขาเน้นคำว่า ‘เพื่อน’ เสียชัดเจน เห็นผ่านๆ ก็รู้แล้วว่านายตำรวจหนุ่มคนนั้นคิดอย่างไรกับแพทย์สาวผู้นี้

    กลบเกลื่อนความคิดนั้นเสียด้วยเสียงหัวเราะ จริงๆ แล้วเขาเห็นเป็นเรื่องขบขันที่พลเมืองดีกลับกลายเป็นผู้ต้องสงสัยไปเสีย

    “ที่จริงผมรู้ว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับคุณตั้งแต่เห็นคุณที่ข้างทางวันนั้นแล้วล่ะ ที่ตามคุณมาวอซอว์ก็เพราะอย่างนั้น คงเป็นไปไม่ได้หรอกที่ใครจะไปถึงที่เกิดเหตุได้ทันเวลาพอดีโดยไม่รู้ล่วงหน้า คุณว่าจริงไหม”

    หันมาสบตาใสแจ๋วไม่ผิดอะไรกับตากวางก็รู้ว่าฝ่ายนั้นไม่เข้าใจ

    “นั่นสิคะ แต่คุณรู้ได้ยังไง คุณฝันเห็นหรือว่ายังไง”

    “คงเหมือนที่คนไทยเรียก…อะไรนะครับ” นิ้วเรียวยาวหมุนเป็นวงในอากาศเมื่อพยายามคิดคำซึ่งตัวเองแน่ใจว่ารู้ความหมาย “สังหรณ์…ใช่ครับ…สังหรณ์”

    “เป็นแบบอีเอสพีอย่างนั้นหรือเปล่าคะ ที่คนบางคนสามารถรู้อะไรล่วงหน้าได้โดยไม่ผ่านสัมผัสทั้งห้า รู้ในสิ่งที่ตรวจสอบก็ไม่ได้ด้วย รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณหรือเปล่าก็ไม่ทราบ”

    เธอกลับมองตรงไปเบื้องหน้าเมื่อเขาหันมาหาอีกครั้งเพื่อประเมินท่าที ในความสลัวรางของแสงไฟแรงเทียนต่ำ เห็นเพียงใบหน้านวลละมุน ดูสบายตา…เหมือนแม่ เหมือนเวลาที่มองดูแม่

เมื่อเริ่มแล้วก็ให้สงสัยต่อไปว่าควรบอกความจริงทั้งหมดเสียตอนนี้จะดีไหม เธอจะว่าเขาสติไม่ดีหรือเปล่าถ้าบอกให้รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง และถ้าจะบอกให้รู้ ควรบอกอย่างไร

    “ไม่ใช่สัญชาตญาณหรอกครับ แต่ก็รู้ จะด้วยวิธีไหนก็บอกยาก บางครั้งผมรู้เกี่ยวกับผู้คนแล้วก็เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ส่วนใหญ่ก็ไม่พลาดเสียด้วย ที่ผมรู้นี่เริ่มจากความรู้สึก ความรู้สึกนั้นจะพาไปจนเห็นคนๆ นั้น พอเห็นก็รู้ว่ากำลังจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา”

    นั่นขนาดพยายามเลือกคำพูดให้ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาพร้อมทั้งละบางส่วนไว้แล้ว คิ้วเรียวบนใบหน้านวลก็ยังขมวดมุ่นจนแทบจะชนกัน ถ้าบอกให้ตรงกว่านี้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองเป็นอะไร รู้และเข้าใจสภาพที่เป็นอยู่มากแค่ไหน และสิ่งที่ได้ทำไปแล้วเพื่อช่วยเหลือเธอจะมีผลอย่างไร นั่นคงยิ่งไปกันใหญ่ อธิบายตามแบบที่หญิงสาวพอจะเข้าใจและยอมรับได้นี่ดีที่สุดแล้ว ถึงอย่างไรทฤษฎีเรื่องประสาทสัมผัสพิเศษก็พอจะยอมรับกันอยู่บ้าง ไม่ใช่เรื่องของคนสติวิปลาสเสียทั้งหมดทีเดียว

    “คุณคงไม่คิดว่าผมเพ้อเจ้อใช่ไหม”

    “โอ้ย ไม่เลยค่ะ ไม่เลย วาดเพียงพยายามเข้าใจ” เธอปฏิเสธแทบไม่ทัน ถ้าคนบ้ามีรูปร่างหน้าตาและท่วงท่าชวนมองได้ขนาดนี้ คนทั้งโลกก็คงบ้ากันหมดนั่นแหละ

    เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มจับคำแทนชื่อที่หญิงสาวใช้ได้ จึงฉวยโอกาสหันเหความสนใจของเธอไปทางอื่นเสีย

    “คุณเรียกตัวเองว่าวาด”

    เจ้าของชื่อยิ้มขัดเขิน เพิ่งจะคิดได้ว่าทำอย่างนั้นจริงๆ หลายครั้งแล้วด้วย

    “ค่ะ แม่เรียกวาดว่าวาด คนอื่นเรียกตะวัน”

    มีอีกคนที่เรียกเธอด้วยชื่อนั้น แต่ก็รู้ว่าในเวลานี้ไม่ควรพูดถึง ‘เขา’    

    “เพราะดีนะครับชื่อนั้น ถ้าผมเรียกวาดด้วยจะได้ไหม”

    คำตอบคือรอยยิ้มทั้งยินดีและเต็มอกเต็มใจ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่