ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ คุณลิ ลายลิขิต, จารย์จี GTW, น้องดาว Lady Star 919, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, น้องมัด ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด, คุณ nasa nasa, คุณ sudawo, คุณ มานีโอลา
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ
บทก่อนหน้าค่ะ
บทนำ
https://ppantip.com/topic/36127426
บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/36134360
บทที่ 2
https://ppantip.com/topic/36141907
บทที่ 3
https://ppantip.com/topic/36149284
บทที่ 4
https://ppantip.com/topic/36156203
บทที่ 5
https://ppantip.com/topic/36164577
บทที่ 6
https://ppantip.com/topic/36170552
บทที่ 7
https://ppantip.com/topic/36179183
บทที่ 8
https://ppantip.com/topic/36187082
บทที่ 9
https://ppantip.com/topic/36193770
บทที่ 10
https://ppantip.com/topic/36202931
บทที่ 11
https://ppantip.com/topic/36210169
บทที่ 12
https://ppantip.com/topic/36218800
บทที่ 13
แม้เมื่ออาหารเย็นผ่านไปแล้ว บทสนทนาแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยกันก็ยังดำเนินต่อมาที่ระเบียงหน้าบ้าน
อากาศเวลาค่ำบนยอดเขาออกจะเย็นกว่าปกติ เห็นหญิงสาวห่อไหล่เป็นครั้งคราว จนชายหนุ่มเป็นห่วง
“กลับเข้าไปในบ้านดีไหม ดูเหมือนคุณจะหนาว”
เธอรีบค้าน ด้วยยังไม่อยากจากบรรยากาศเงียบสงบนี้ไปในทันที ในเวลานี้รอบด้านมืดสนิทแล้ว มีแสงสว่างก็เพียงบนระเบียงไม้เท่านั้น แต่ถึงจะมืดก็ไม่ให้ความรู้สึกว่าน่ากลัว ตรงข้าม เธอกลับรู้สึกถึงความอบอุ่นอย่างประหลาด อบอุ่นจนอยากนั่งอยู่ที่นี่ทั้งคืนเสียด้วยซ้ำ
จะเป็นเพราะบรรยากาศหรืออะไรก็สุดเดา หลังจากนั่งกันเงียบๆ บนเก้าอี้ไม้คนละตัวอยู่พักใหญ่ เธอยกเอาเรื่องซึ่งเก็บไว้คนเดียวอยู่หลายวันมาพูดถึง
“วาดเคยฝันถึงแม่ของคุณด้วย รู้ไหมคะ”
ใบหน้าคมคายหันขวับมาหา แววตาคมวาบวับทีเดียว
“ก็ไม่รู้ว่าฝันได้ยังไงในเมื่อคุณแม่ของคุณหน้าตาเป็นยังไงก็ไม่เคยเห็น จนไปเห็นรูปที่บ้านคุณป้าของคุณเมื่อเช้านี้นั่นแหละค่ะ ถึงได้รู้ว่าเป็นแม่ของคุณจริงๆ” เธอมองตอบสายตาที่จ้องมาแล้วเล่าต่อ
“คิดว่าเห็นคุณพ่อของคุณด้วยค่ะ”
คราวนี้เอริคตะลึงอย่างแท้จริง ตัวเขาเองยังไม่เคยเห็นพ่อเลยสักครั้ง ก็ในเมื่อเสียท่านไปตั้งแต่แม่เพิ่งจะเริ่มท้อง
“คุณป้าคุณบอกว่าคุณพ่อคุณหน้าเหมือนคุณมาก ก็เลยคิดว่าที่ฝันคงใช่คุณพ่อของคุณแน่ๆ แต่ก็แปลกค่ะ คนเราจะฝันถึงคนที่เราไม่เคยเห็นได้หรือคะ”
“ในโลกนี้มีอะไรอีกหลายอย่างที่อธิบายยากครับ” เสียงทุ้มๆ เหมือนคราง “ผมเชี่ออย่างนั้น”
เสริมด้วยประโยคหลังแล้วครุ่นคิด ถึงเวลาเล่าความจริงให้เธอได้มีส่วนร่วมรับรู้แล้วหรือยัง
“คุณเคยสงสัยบ้างไหมว่าทำไมคืนนั้นผมถึงไปทันเวลาที่ผู้ชายคนนั้นทำร้ายคุณพอดี”
จงใจละความเป็นจริงที่ว่าเขาควรช่วยเธอได้เร็วกว่านั้น จะมากันไม่ให้เรื่องร้ายนั้นเกิดขึ้นเลยก็ยังได้ แต่เป็นเพราะลังเลอยู่นานว่าควรเข้าไปขัดจังหวะและเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ควรจะเป็นหรือไม่ จึงได้รีรอจนเรื่องเกือบจะเลยเถิดกันไปใหญ่นั่นแหละ
“สงสัยสิคะ” เธอสารภาพตามตรง “ตำรวจก็สงสัย คุณคงรู้”
“นั่นซี เพื่อนของคุณคิดว่าผมสมคบกับคนร้ายหรือไม่ก็เป็นคนร้ายเสียเองไปโน่นเลย” เขาเน้นคำว่า ‘เพื่อน’ เสียชัดเจน เห็นผ่านๆ ก็รู้แล้วว่านายตำรวจหนุ่มคนนั้นคิดอย่างไรกับแพทย์สาวผู้นี้
กลบเกลื่อนความคิดนั้นเสียด้วยเสียงหัวเราะ จริงๆ แล้วเขาเห็นเป็นเรื่องขบขันที่พลเมืองดีกลับกลายเป็นผู้ต้องสงสัยไปเสีย
“ที่จริงผมรู้ว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับคุณตั้งแต่เห็นคุณที่ข้างทางวันนั้นแล้วล่ะ ที่ตามคุณมาวอซอว์ก็เพราะอย่างนั้น คงเป็นไปไม่ได้หรอกที่ใครจะไปถึงที่เกิดเหตุได้ทันเวลาพอดีโดยไม่รู้ล่วงหน้า คุณว่าจริงไหม”
หันมาสบตาใสแจ๋วไม่ผิดอะไรกับตากวางก็รู้ว่าฝ่ายนั้นไม่เข้าใจ
“นั่นสิคะ แต่คุณรู้ได้ยังไง คุณฝันเห็นหรือว่ายังไง”
“คงเหมือนที่คนไทยเรียก…อะไรนะครับ” นิ้วเรียวยาวหมุนเป็นวงในอากาศเมื่อพยายามคิดคำซึ่งตัวเองแน่ใจว่ารู้ความหมาย “สังหรณ์…ใช่ครับ…สังหรณ์”
“เป็นแบบอีเอสพีอย่างนั้นหรือเปล่าคะ ที่คนบางคนสามารถรู้อะไรล่วงหน้าได้โดยไม่ผ่านสัมผัสทั้งห้า รู้ในสิ่งที่ตรวจสอบก็ไม่ได้ด้วย รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณหรือเปล่าก็ไม่ทราบ”
เธอกลับมองตรงไปเบื้องหน้าเมื่อเขาหันมาหาอีกครั้งเพื่อประเมินท่าที ในความสลัวรางของแสงไฟแรงเทียนต่ำ เห็นเพียงใบหน้านวลละมุน ดูสบายตา…เหมือนแม่ เหมือนเวลาที่มองดูแม่
เมื่อเริ่มแล้วก็ให้สงสัยต่อไปว่าควรบอกความจริงทั้งหมดเสียตอนนี้จะดีไหม เธอจะว่าเขาสติไม่ดีหรือเปล่าถ้าบอกให้รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง และถ้าจะบอกให้รู้ ควรบอกอย่างไร
“ไม่ใช่สัญชาตญาณหรอกครับ แต่ก็รู้ จะด้วยวิธีไหนก็บอกยาก บางครั้งผมรู้เกี่ยวกับผู้คนแล้วก็เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ส่วนใหญ่ก็ไม่พลาดเสียด้วย ที่ผมรู้นี่เริ่มจากความรู้สึก ความรู้สึกนั้นจะพาไปจนเห็นคนๆ นั้น พอเห็นก็รู้ว่ากำลังจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา”
นั่นขนาดพยายามเลือกคำพูดให้ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาพร้อมทั้งละบางส่วนไว้แล้ว คิ้วเรียวบนใบหน้านวลก็ยังขมวดมุ่นจนแทบจะชนกัน ถ้าบอกให้ตรงกว่านี้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองเป็นอะไร รู้และเข้าใจสภาพที่เป็นอยู่มากแค่ไหน และสิ่งที่ได้ทำไปแล้วเพื่อช่วยเหลือเธอจะมีผลอย่างไร นั่นคงยิ่งไปกันใหญ่ อธิบายตามแบบที่หญิงสาวพอจะเข้าใจและยอมรับได้นี่ดีที่สุดแล้ว ถึงอย่างไรทฤษฎีเรื่องประสาทสัมผัสพิเศษก็พอจะยอมรับกันอยู่บ้าง ไม่ใช่เรื่องของคนสติวิปลาสเสียทั้งหมดทีเดียว
“คุณคงไม่คิดว่าผมเพ้อเจ้อใช่ไหม”
“โอ้ย ไม่เลยค่ะ ไม่เลย วาดเพียงพยายามเข้าใจ” เธอปฏิเสธแทบไม่ทัน ถ้าคนบ้ามีรูปร่างหน้าตาและท่วงท่าชวนมองได้ขนาดนี้ คนทั้งโลกก็คงบ้ากันหมดนั่นแหละ
เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มจับคำแทนชื่อที่หญิงสาวใช้ได้ จึงฉวยโอกาสหันเหความสนใจของเธอไปทางอื่นเสีย
“คุณเรียกตัวเองว่าวาด”
เจ้าของชื่อยิ้มขัดเขิน เพิ่งจะคิดได้ว่าทำอย่างนั้นจริงๆ หลายครั้งแล้วด้วย
“ค่ะ แม่เรียกวาดว่าวาด คนอื่นเรียกตะวัน”
มีอีกคนที่เรียกเธอด้วยชื่อนั้น แต่ก็รู้ว่าในเวลานี้ไม่ควรพูดถึง ‘เขา’
“เพราะดีนะครับชื่อนั้น ถ้าผมเรียกวาดด้วยจะได้ไหม”
คำตอบคือรอยยิ้มทั้งยินดีและเต็มอกเต็มใจ
รอยบรรพ์ (บทที่ 13)
ขอบคุณ คุณลิ ลายลิขิต, จารย์จี GTW, น้องดาว Lady Star 919, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, น้องมัด ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด, คุณ nasa nasa, คุณ sudawo, คุณ มานีโอลา
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ
บทก่อนหน้าค่ะ
บทนำ https://ppantip.com/topic/36127426
บทที่ 1 https://ppantip.com/topic/36134360
บทที่ 2 https://ppantip.com/topic/36141907
บทที่ 3 https://ppantip.com/topic/36149284
บทที่ 4 https://ppantip.com/topic/36156203
บทที่ 5 https://ppantip.com/topic/36164577
บทที่ 6 https://ppantip.com/topic/36170552
บทที่ 7 https://ppantip.com/topic/36179183
บทที่ 8 https://ppantip.com/topic/36187082
บทที่ 9 https://ppantip.com/topic/36193770
บทที่ 10 https://ppantip.com/topic/36202931
บทที่ 11 https://ppantip.com/topic/36210169
บทที่ 12 https://ppantip.com/topic/36218800
แม้เมื่ออาหารเย็นผ่านไปแล้ว บทสนทนาแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยกันก็ยังดำเนินต่อมาที่ระเบียงหน้าบ้าน
อากาศเวลาค่ำบนยอดเขาออกจะเย็นกว่าปกติ เห็นหญิงสาวห่อไหล่เป็นครั้งคราว จนชายหนุ่มเป็นห่วง
“กลับเข้าไปในบ้านดีไหม ดูเหมือนคุณจะหนาว”
เธอรีบค้าน ด้วยยังไม่อยากจากบรรยากาศเงียบสงบนี้ไปในทันที ในเวลานี้รอบด้านมืดสนิทแล้ว มีแสงสว่างก็เพียงบนระเบียงไม้เท่านั้น แต่ถึงจะมืดก็ไม่ให้ความรู้สึกว่าน่ากลัว ตรงข้าม เธอกลับรู้สึกถึงความอบอุ่นอย่างประหลาด อบอุ่นจนอยากนั่งอยู่ที่นี่ทั้งคืนเสียด้วยซ้ำ
จะเป็นเพราะบรรยากาศหรืออะไรก็สุดเดา หลังจากนั่งกันเงียบๆ บนเก้าอี้ไม้คนละตัวอยู่พักใหญ่ เธอยกเอาเรื่องซึ่งเก็บไว้คนเดียวอยู่หลายวันมาพูดถึง
“วาดเคยฝันถึงแม่ของคุณด้วย รู้ไหมคะ”
ใบหน้าคมคายหันขวับมาหา แววตาคมวาบวับทีเดียว
“ก็ไม่รู้ว่าฝันได้ยังไงในเมื่อคุณแม่ของคุณหน้าตาเป็นยังไงก็ไม่เคยเห็น จนไปเห็นรูปที่บ้านคุณป้าของคุณเมื่อเช้านี้นั่นแหละค่ะ ถึงได้รู้ว่าเป็นแม่ของคุณจริงๆ” เธอมองตอบสายตาที่จ้องมาแล้วเล่าต่อ
“คิดว่าเห็นคุณพ่อของคุณด้วยค่ะ”
คราวนี้เอริคตะลึงอย่างแท้จริง ตัวเขาเองยังไม่เคยเห็นพ่อเลยสักครั้ง ก็ในเมื่อเสียท่านไปตั้งแต่แม่เพิ่งจะเริ่มท้อง
“คุณป้าคุณบอกว่าคุณพ่อคุณหน้าเหมือนคุณมาก ก็เลยคิดว่าที่ฝันคงใช่คุณพ่อของคุณแน่ๆ แต่ก็แปลกค่ะ คนเราจะฝันถึงคนที่เราไม่เคยเห็นได้หรือคะ”
“ในโลกนี้มีอะไรอีกหลายอย่างที่อธิบายยากครับ” เสียงทุ้มๆ เหมือนคราง “ผมเชี่ออย่างนั้น”
เสริมด้วยประโยคหลังแล้วครุ่นคิด ถึงเวลาเล่าความจริงให้เธอได้มีส่วนร่วมรับรู้แล้วหรือยัง
“คุณเคยสงสัยบ้างไหมว่าทำไมคืนนั้นผมถึงไปทันเวลาที่ผู้ชายคนนั้นทำร้ายคุณพอดี”
จงใจละความเป็นจริงที่ว่าเขาควรช่วยเธอได้เร็วกว่านั้น จะมากันไม่ให้เรื่องร้ายนั้นเกิดขึ้นเลยก็ยังได้ แต่เป็นเพราะลังเลอยู่นานว่าควรเข้าไปขัดจังหวะและเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ควรจะเป็นหรือไม่ จึงได้รีรอจนเรื่องเกือบจะเลยเถิดกันไปใหญ่นั่นแหละ
“สงสัยสิคะ” เธอสารภาพตามตรง “ตำรวจก็สงสัย คุณคงรู้”
“นั่นซี เพื่อนของคุณคิดว่าผมสมคบกับคนร้ายหรือไม่ก็เป็นคนร้ายเสียเองไปโน่นเลย” เขาเน้นคำว่า ‘เพื่อน’ เสียชัดเจน เห็นผ่านๆ ก็รู้แล้วว่านายตำรวจหนุ่มคนนั้นคิดอย่างไรกับแพทย์สาวผู้นี้
กลบเกลื่อนความคิดนั้นเสียด้วยเสียงหัวเราะ จริงๆ แล้วเขาเห็นเป็นเรื่องขบขันที่พลเมืองดีกลับกลายเป็นผู้ต้องสงสัยไปเสีย
“ที่จริงผมรู้ว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับคุณตั้งแต่เห็นคุณที่ข้างทางวันนั้นแล้วล่ะ ที่ตามคุณมาวอซอว์ก็เพราะอย่างนั้น คงเป็นไปไม่ได้หรอกที่ใครจะไปถึงที่เกิดเหตุได้ทันเวลาพอดีโดยไม่รู้ล่วงหน้า คุณว่าจริงไหม”
หันมาสบตาใสแจ๋วไม่ผิดอะไรกับตากวางก็รู้ว่าฝ่ายนั้นไม่เข้าใจ
“นั่นสิคะ แต่คุณรู้ได้ยังไง คุณฝันเห็นหรือว่ายังไง”
“คงเหมือนที่คนไทยเรียก…อะไรนะครับ” นิ้วเรียวยาวหมุนเป็นวงในอากาศเมื่อพยายามคิดคำซึ่งตัวเองแน่ใจว่ารู้ความหมาย “สังหรณ์…ใช่ครับ…สังหรณ์”
“เป็นแบบอีเอสพีอย่างนั้นหรือเปล่าคะ ที่คนบางคนสามารถรู้อะไรล่วงหน้าได้โดยไม่ผ่านสัมผัสทั้งห้า รู้ในสิ่งที่ตรวจสอบก็ไม่ได้ด้วย รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณหรือเปล่าก็ไม่ทราบ”
เธอกลับมองตรงไปเบื้องหน้าเมื่อเขาหันมาหาอีกครั้งเพื่อประเมินท่าที ในความสลัวรางของแสงไฟแรงเทียนต่ำ เห็นเพียงใบหน้านวลละมุน ดูสบายตา…เหมือนแม่ เหมือนเวลาที่มองดูแม่
เมื่อเริ่มแล้วก็ให้สงสัยต่อไปว่าควรบอกความจริงทั้งหมดเสียตอนนี้จะดีไหม เธอจะว่าเขาสติไม่ดีหรือเปล่าถ้าบอกให้รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง และถ้าจะบอกให้รู้ ควรบอกอย่างไร
“ไม่ใช่สัญชาตญาณหรอกครับ แต่ก็รู้ จะด้วยวิธีไหนก็บอกยาก บางครั้งผมรู้เกี่ยวกับผู้คนแล้วก็เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ส่วนใหญ่ก็ไม่พลาดเสียด้วย ที่ผมรู้นี่เริ่มจากความรู้สึก ความรู้สึกนั้นจะพาไปจนเห็นคนๆ นั้น พอเห็นก็รู้ว่ากำลังจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา”
นั่นขนาดพยายามเลือกคำพูดให้ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาพร้อมทั้งละบางส่วนไว้แล้ว คิ้วเรียวบนใบหน้านวลก็ยังขมวดมุ่นจนแทบจะชนกัน ถ้าบอกให้ตรงกว่านี้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองเป็นอะไร รู้และเข้าใจสภาพที่เป็นอยู่มากแค่ไหน และสิ่งที่ได้ทำไปแล้วเพื่อช่วยเหลือเธอจะมีผลอย่างไร นั่นคงยิ่งไปกันใหญ่ อธิบายตามแบบที่หญิงสาวพอจะเข้าใจและยอมรับได้นี่ดีที่สุดแล้ว ถึงอย่างไรทฤษฎีเรื่องประสาทสัมผัสพิเศษก็พอจะยอมรับกันอยู่บ้าง ไม่ใช่เรื่องของคนสติวิปลาสเสียทั้งหมดทีเดียว
“คุณคงไม่คิดว่าผมเพ้อเจ้อใช่ไหม”
“โอ้ย ไม่เลยค่ะ ไม่เลย วาดเพียงพยายามเข้าใจ” เธอปฏิเสธแทบไม่ทัน ถ้าคนบ้ามีรูปร่างหน้าตาและท่วงท่าชวนมองได้ขนาดนี้ คนทั้งโลกก็คงบ้ากันหมดนั่นแหละ
เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มจับคำแทนชื่อที่หญิงสาวใช้ได้ จึงฉวยโอกาสหันเหความสนใจของเธอไปทางอื่นเสีย
“คุณเรียกตัวเองว่าวาด”
เจ้าของชื่อยิ้มขัดเขิน เพิ่งจะคิดได้ว่าทำอย่างนั้นจริงๆ หลายครั้งแล้วด้วย
“ค่ะ แม่เรียกวาดว่าวาด คนอื่นเรียกตะวัน”
มีอีกคนที่เรียกเธอด้วยชื่อนั้น แต่ก็รู้ว่าในเวลานี้ไม่ควรพูดถึง ‘เขา’
“เพราะดีนะครับชื่อนั้น ถ้าผมเรียกวาดด้วยจะได้ไหม”
คำตอบคือรอยยิ้มทั้งยินดีและเต็มอกเต็มใจ