รอยบรรพ์ (บทที่ 3)

ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ จารย์จี GTW, น้องดาว Lady Star 919, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณซูซี่ Susisiri, คุณ เป่าชาง, คุณออม ออมอำพัน, คุณ ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ

บทก่อนหน้าค่ะ
บทนำ   https://ppantip.com/topic/36127426
บทที่ 1  https://ppantip.com/topic/36134360
บทที่ 2  https://ppantip.com/topic/36141907


บทที่ 3



แสงเรืองที่เห็นเมื่อครู่จางหายไปแล้ว ใบหน้าหมดจดนั้นกำลังก้มต่ำ ตาจับจ้องอยู่ที่ฝีเย็บแผลสามเข็มบนฝ่ามือเขาก่อนฉีกซองแบนๆ ดึงแผ่นสำลีสำเร็จรูปมาซับแผ่วเบา มีกลิ่นแอลกอฮอล์กรุ่น

จะเป็นเพราะความจัดจ้าของแสงอาทิตย์กลบความสว่างอย่างอื่นเสียหมดสิ้นหรือว่าอย่างไรเขาก็ไม่แน่ใจ ที่แน่ๆ คือหญิงสาวผู้นี้ถึงฆาตแล้ว และเขาก็เป็นห่วง ห่วงแบบที่ไม่เคยห่วงใครในลักษณะนี้มาก่อน ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม คนอื่นๆ ที่ผ่านมาเขาทำใจได้ว่าเป็นเรื่องของชะตากรรม และจะเข้าแทรกแซงไม่ได้ กรณีนี้ต่างออกไป มีความรู้สึกผูกพันชนิดที่อธิบายยากก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบตั้งสติไม่ทัน

    หลายๆ องค์ประกอบบนใบหน้านี้ทำให้ย้อนคิดไปถึงแม่ ท่านมีรูปหน้ายาวรีแบบนี้ ผิวเนียนละเอียดไม่ต่างอะไรกับผิวทารกแบบนี้ ผมหวีเสยไปข้างหลังแล้วรวบไว้เป็นหางม้าหลวมๆ บางส่วนหลุดลุ่ยมาเปะปะสองข้างแก้มก็แบบนี้ไม่มีผิด คิ้วเรียวยาวนั่นก็อีก แผงขนตางอนช้อยดำสนิท จมูกเล็กๆ ริมฝีปากอิ่มเต็มดูนุ่มละมุน

ไม่ใช่ความงามโดดเด่นประเภทที่เห็นครั้งแรกก็ต้องเหลียวมองรอบสองและอีกหลายๆ รอบเหมือนแม่ หากเป็นความงามที่ใสพิสุทธิ์ หมดจดและมีชีวิตชีวา

    มือซ้ายที่กำลังประคองมือเขานั้นเล็กนิดเดียว เมื่อเทียบกับมือใหญ่ๆ ของเขาแล้วดูน่าขัน

เลือดซึมออกมาอีก และเธอก็ครางเบาๆ อย่างขัดอกขัดใจ ดึงผ้าก๊อซจากซองหมดทั้งแผงมากดทับไว้

    “ที่จริงน่าจะไปเย็บที่โรงพยาบาล” เธอบ่นดังๆ ให้ได้ยิน...ด้วยภาษาอังกฤษ “โรงพยาบาลก็อยู่ไม่ไกล ย้อนกลับไปแค่นี้เอง”

    นั่นทำให้เขาอดเอ็นดูเสียมิได้ ดูเอาเถอะ ตัวก็เล็กนิดเดียว เวลาที่ยืนเคียงกัน เธอสูงไม่ถึงไหล่เขาด้วยซ้ำ พอเขามานั่งที่ท้ายรถดับเพลิง และเธอยืนอยู่ตรงหน้าแบบนี้ ใบหน้าจึงได้อยู่ในระดับเดียวกันได้ในที่สุด

    “หมอตะวัน...”

    เสียงใครคนหนึ่งตะโกนเรียก จึงได้หันไปดูพร้อมกัน เจ้าหน้าที่หน่วยฉุกเฉินกำลังจะขึ้นรถพยาบาล เขาโบกมือมาทางนี้ และเธอก็โบกมือตอบ คนเจ็บคู่สามีภรรยาซึ่งเป็นเจ้าของรถแวนคันนั้นถูกส่งไปกับเฮลิคอปเตอร์ก่อนหน้าแล้ว ทั้งคู่ถูกพาไปโรงพยาบาลในเมืองหลวงซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตที่ทันสมัยและเพียบพร้อมกว่าโรงพยาบาลประจำเมือง ส่วนคนตายสองคนส่งไปอาคารชันสูตรศพด้วยรถพยาบาล

    “หมอตะวัน?”

    เสียงทุ้มๆ ที่เอ่ยชื่อได้อย่างชัดเจนทำเอาเธอหันขวับกลับมาหาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ยิ้มให้กับหางเสียงสูงในเชิงคำถามกึ่งทึ่งนั้น

“คิดอยู่เหมือนกันว่าคุณน่าจะเป็นคนไทย” คราวนี้เขาพูดกับเธอด้วยภาษาไทย

นัยน์ตาจรัสแสงตวัดขึ้นสบตาคนพูด ถามกลับตั้งแต่เขายังไม่จบประโยคหลังเสียด้วยซ้ำ

“คุณเป็นคนไทย?” สุ้มเสียงตื่นเต้นทีเดียว “คุณดูไม่เหมือนคนไทยเลยนะนี่”

“คุณไม่ใช่คนแรกที่คิดอย่างนั้น”

ชายหนุ่มทอดสายตาไปทางรถพยาบาลซึ่งกลับขึ้นถนนหลวงแล้ว และกำลังวิ่งห่างออกไปทุกที พร้อมกับพยักพเยิดไปทางนั้น

“ตกลงว่าผู้ชายคนนั้นเป็นอะไรตายหรือครับ”

“หัวใจวายเฉียบพลันค่ะ คงหมดสติไปตอนที่รถเริ่มเสียหลัก หัวใจวายรุนแรงแล้วก็กะทันหันขนาดนั้น มีเวลาเหลือนับได้เป็นนาทีเท่านั้นเอง” เมื่อเห็นว่าเป็นคนไทยด้วยกัน เธอจึงเปิดเผยมากขึ้น

หากก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงเด็กชายซึ่งพลอยเสียชีวิตไปด้วย ต่างฝ่ายต่างยังสงวนท่าทีในเรื่องนั้น ยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไร  เหตุร้ายที่เกิดขึ้นเป็นไปโดยไม่มีใครจงใจ และที่สำคัญคือเลี่ยงได้ยาก ปลอดภัยกว่าที่จะเก็บความคิดเห็นใดๆ ก็ตามไว้กับตัวเอง

“คุณไม่ได้มากับรถพยาบาลหรอกหรือครับ”

“เปล่าค่ะ บ้านที่ฉันพักอยู่ใกล้โรงพยาบาลกับสถานีดับเพลิง กำลังจะออกจากบ้านพอดี เห็นรถพยาบาลกับรถดับเพลิงสองคันมาทางเดียวกันนี่ ก็เลยตามมาด้วยน่ะค่ะ เพราะปกติถ้าใช้รถดับเพลิงมากกว่าคันเดียวแสดงว่าเป็นเรื่องใหญ่ ก็เลยตามมาดูว่าพอจะช่วยอะไรได้บ้าง”

วาดตะวันเล่าตรงไปตรงมา ทั้งเมืองที่อาศัยอยู่มาสองปีกว่าแล้วนี้จะมีคนไทยคนอื่นอีกหรือเปล่า เธอไม่รู้เพราะไม่เคยเจอ พอมาเจอคนไทยในสถานที่และในสถานการณ์ซึ่งคาดไม่ถึง ก็รู้สึกถึงความผูกพันในฐานะเพื่อนร่วมชาติ แม้รูปร่างหน้าตาเขาแทบไม่มีเค้าคนไทยเลย และแม้บางคำที่เขาพูดจะออกเสียงแปร่งไปบ้างก็ตาม

เลิกผ้าก๊อซที่ทับซ้อนกันหลายแผ่นขึ้นดูบาดแผล โล่งอกเมื่อเห็นว่าคราวนี้เลือดดูเหมือนจะหยุดแล้ว จึงฉีกผ้าแอลกอฮอล์ออกมาเช็ดรอบๆ แผลอีกครั้งแล้วบีบครีมใสกันแผลติดเชื้อจากหลอดตามลงไป

“คุณจะขับรถไปอีกไกลไหมละนี่”

เหลือบตาขึ้นดูเขา พอสบตาสีแปลกคู่คมเฉียบก็ต้องรีบหลบ เสกลับลงที่แผลบนมือเขาตามเดิม ตาคู่นี้คมปลาบอย่างร้ายกาจ แม้ในยามที่เขาทอดตาดูอะไรด้วยสีหน้าเรียบเฉยก็ยังไม่วายทอประกายระยิบระยับ นับแต่สบตากันครั้งแรกแล้วที่ไหววูบไปทั้งหน้า ยิ่งใกล้ๆ อย่างนี้ยิ่งไม่กล้ามองเอาเลย รู้หรอกว่าเขาคงเห็นผิวแก้มซึ่งแดงเรื่อขึ้นมาได้ทุกครั้ง ตัวเองยังรู้สึกถึงความร้อนวูบวาบที่หน้าเลยนี่

“ผมกำลังไปวอซอว์” เขาหมายถึงเมืองซึ่งแม่และพ่อเลี้ยงเคยอาศัยอยู่จนท่านทั้งคู่เกษียณจากงาน

นัยน์ตาใสเหมือนเด็กตวัดกลับขึ้นมองเขาอีกครั้ง มือซึ่งกำลังตัดแผ่นตาข่ายเพื่อปิดปากแผลสดถึงกับชะงัก

“บังเอิญจังค่ะ ฉันกำลังไปที่นั่นเหมือนกัน” หลุดปากไปแล้วก็ต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง อยู่ดีๆ เกิดกลัวเขาจะเข้าใจผิดเสียอย่างนั้น อดสงสัยไม่ได้ว่าน้ำเสียงเมื่อครู่สะท้อนความตื่นเต้นอะไรออกไปแค่ไหน

“ฉันเพียงแต่ห่วงแผลของคุณน่ะค่ะ แผลลึกขนาดนี้ เย็บแค่สามเข็มนี่เอาไม่อยู่แน่ คุณไม่ควรใช้มือขวาทำอะไรเลยสักวันสองวัน ยิ่งกุมพวงมาลัยรถ ยิ่งแล้วใหญ่ คือ...” กำมือซ้ายให้ดู กำแล้วแบออกสองสามครั้งประกอบคำพูด “เวลาที่กำมือแบบนี้ แผลอาจปริได้อีก”

“ผมขับรถมือเดียวได้”

“ได้อย่างนั้นก็ดีค่ะ ฉันจะพันแผลให้แน่นๆ อาจทำให้คุณกำมือลำบากหน่อย แต่ก็ดี จะได้ไม่เผลอ”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่