กระทู้ก่อน ผมอาจจะตั้งคำถามไม่เคลียร์ และผมไม่ได้มีเจตนาจะไปว่าผู้ศึกษาธรรมะนะครับ ผมแค่อยากถามเฉยๆว่ารู้แล้วทำไมเราไม่ออกบวชในเมื่อเราอยากหลุดพ้นไม่ใช่เหรอ หรือจริงๆคุณแค่อยากมีเป้าหมายแต่คุณไม่กล้าทิ้งความสุขสบายในเพศฆราวาสเพื่อเป้าหมายนั้น แบบนี้เราเป็นผู้อยากหลุดพ้น ตั้งเป้านิพพานไหมครับ
ยกตัวอย่างผมว่าใช้ได้กับคนยุคปัจจุบัน เช่น
1.คุณตั้งเป้าไว้ว่าอยากนิพพาน คิดว่าอยากทำบุญบารมีให้ถึงพร้อมจะได้ออกบวช (มันจะบุญถึงพร้อมเมื่อไหร่ล่ะครับ ชาติหน้าเหรอครับ
ลองคิดกลับดูสิว่าชาติก่อนคุณก็พูดแบบนี้สัญญากับตัวเองแบบนี้ ขอให้ชาติหน้านิพพาน แต่พอมาถึงชาตินี้คุณก็ยังทำตัวเหมือนเดิมเหมือนชาติที่แล้วอยากนิพพาน แต่ขอสั่งสมบุญก่อน แล้วชาติไหนมันจะไปนิพพานล่ะครับคุณ ถ้าไม่เริ่มบวชสักที ผมว่าที่คิดแบบนี้กันนี่เป็นการประมาทในหนทางไปสู่นิพพานหรือเปล่า เป็นการผัดวันประกันพรุ่งหรือเปล่า ลองถามใจตัวเองดู )
2.ผมเข้าใจว่า คุณทำสมาธิ เจริญอานาปานสติ ทำวิปัสสนากรรมฐานอยู่ แต่เราก็มีความสงบแค่ช่วงนั้นแหละครับ พอเราเลิกนั่งสมาธิหรือปฏิบัติธรรมมันก็หายไป คุณก็ไปใช้ชีวิตอย่างปุถุชนปกติ เป็นคนมีกิเลสเหมือนเดิม อยากได้อยากมีเหมือนเดิม เช่น คุณก็ยังอยากมีเงิน อยากมีฐานะดี อยากมีความรัก เป็นที่รักของคนอื่น ฯลฯ เป็นความอยากที่ดีครับ แต่คุณก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นกิเลสอยู่ดี แล้วอย่างนี้เราถือตัวเองว่าผู้อยากหลุดพ้น ตั้งเป้านิพพานได้เหรอครับ ในเมื่อเรายังไม่อยากละกิเลสเหล่านี้
3.คนที่บอกว่าถ้าหมดภาระคุณจะออกบวช จะหมดตอนไหนครับ ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ บางคนมีลูก ต้องเลี้ยงลูกอีก แล้วต่อให้คุณไม่มีภาระ คุณเชื่อใจตัวเองแค่ไหนว่าคุณจะอยากบวชศึกษาพระธรรม และไม่มีวันย้อนกับมาสนใจเรื่องทางโลกอีก
กรุณาอย่าตั้งแง่ว่าเพราะความอยากนิพพานเป็นเหตุให้ไม่นิพพาน ไม่ใช้คำว่าอยากนิพพานก็ได้ครับ ใช้คำว่าปฎิบัติธรรมให้บรรลุนิพพานก็ได้ /////
แต่อย่าพึ่งไปพูดถึงตรงนั้นครับ แค่ตัวเราเองไม่ให้อยากยึดติดเงิน ยึดติดสุข เรายังทำไม่ได้เลยครับ เรายังไม่ละความสะดวกสบาย พวกเราที่ยังนั่งอยู่หน้าคอมอ่านกระทู้ของผมอยู่เนี่ย ยังอยากเล่นคอมอยู่เลยใช่มั้ยครับ ผมเชื่อว่าคุณไม่ได้มาเผื่อแผ่ธรรมมะอย่างเดียวแน่ๆ คุณต้องยังอยากเล่นคอม เล่นโทรศัพท์ หรือ tablet อะไรก็ว่ากันไป ค้นนู้นค้นนี่ไปเรื่อย ยังมีอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง
อยู่กับเราทุกขณะจิต 1)เดี๋ยวเจอข่าวไม่ดีเช่นการเมือง อุบัติเหตุคุณก็มีอารมณ์โกรธ เสียใจ
2)เจออะไรน่ารัก หมาแมวน่ารัก คุณก็อารมณ์ รัก ตกหลุมรักหมาแมว
3)อารมณ์โลภ เช่น คุณเห็นรางวัลลอตเตอรี่ที่ถูกหวยแล้ว แต่คุณไม่ถูก คุณไม่ไปขโมยใครหรอก แค่คุณสมมติว่าตัวเองถูกลอตเตอรี่ ฉันจะซื้อนั่นซื้อนี่ คุณก็มีความอยาก โลภอยากได้ในสิ่งที่ตัวเองไม่มีล่ะ หรือคุณไม่สนลอตเตอรี่คุณก็เคยคิดอยากได้โน้น อยากได้นี้ก็เป็นความโลภอยาได้สิ่งที่เรายังไม่ได้เป็นเจ้าของเช่นกัน
เห็นไหมละครับถ้าคุณอยากนิพพานคุณละอารมณ์พวกนี้ได้ไหม ถ้ายังละไม่ได้แล้วเมื่อไหร่คุณจะทำ เริ่มตอนออกบวชเหรอครับ แล้วจะออกบวชตอนไหน
อยากสักแต่ตั้งเป้าครับ ต้องทำตามเป้าหมายด้วย ทีนี้เชื่อผมหรือยังว่าชาวพุทธเรามีแต่คนตั้งเป้าอยากนิพพานแต่เรายังไม่ตั้งใจสุดๆที่จะปฎิบัติเพื่อนิพพานจริงๆซักคน นอกจากจะบวชเป็นพระ แล้วทำไมไม่บวชกันครับอยู่ในเพศฆราวาสเมื่อไหร่จะบรรลุธรรมนิพพาน ผมเชื่อว่าถ้าเอาเหตุผลว่าชาติก่อนมีจริง ชาติก่อนคุณก็พูดยังงี้ล่ะขอให้นิพพาน พอมาชาตินี้คุณก็ขอเหมือนเดิมขอให้นิพพาน แต่คุณไม่บวช หรือถ้าครองเพศฆราวาสคุณก็ยังไม่ตัดจากเรื่องทางโลกยังห่วงเรื่องทางโลกเหมือนชาติก่อน ถึงปฏิบัติธรรมไปแต่ใจคุณยังมีห่วงเรื่องทางโลก(ที่ไม่ใช่การสอนธรรมะ) เช่น วันนี้อยากซื้อนู้น อยากซื้อนี่ ถึงจะเป็นสิ่งจำเป็นมีความพอเพียงในการซื้อ แต่มันก็เป็นกิเลสทั้งสิ้น เพราะคำว่า"อยาก"คำเดียว
แล้วจะไปนิพพานตอนไหนครับ ถ้าเรายังทำตัวอยู่แบบนี้ ลองมาแสดงความคิดเห็นกันดูครับ ผมอยากทราบเหตุผลของแต่ละคน เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ เหมือนกันว่าคิดเห็นเป็นอย่างไร
######เพิ่มเติมนะครับ จากที่ผมอ่านมาหลายๆความเห็น ขอบคุณที่มาชี้แนะครับ แสดงว่าการปฏิบัติธรรมของเราต้องทำเป็นขั้นเป็นตอนถูกมั้ยครับ จะใจเร็วด่วนได้มันก็ไม่ได้ มันลัดขั้นตอนไม่ได้ ผมใจร้อนอยากรู้ไปนั่นแหละ จริงๆควรจะวิปัสนากรรมฐาน ปฎิบัติธรรมบ่อยๆก่อน บรรลุโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์มันจะต้องไปแบบเป็นขั้นเป็นตอน เราจึงควรวิปัสนากรรมฐาน ปฎิบัติธรรม ให้เราเกิดความสงบแล้วหลังจากนั้นปัญญาของเราจะตามมา ผมเชื่อว่าทุกคนมาถูกทางแล้วครับ ไม่ต้องไปอยากบรรลุนั้นบรรลุนี่ เราแค่หมั่นทบทวนบ่อยๆเราจะรู้เองว่าอะไรดีไม่ดี แล้วเราก็อาจยังไม่จะบรรลุหรอก แต่เราได้สอนคนให้เดินทางที่ถูกต้อง คุณก็มีความสุขแล้ว ผมเชื่อว่าเจตนาของทุกคนที่มาตอบคิดแบบนี้
สำหรับสมาชิกหมายเลข 3685141 ผมขออธิบายนะครับ การที่ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาผมไม่ได้จะตั้งเพราะความอยากเด่น อยากโชว์พาว ลงทุนตั้งกระทู้อบรมชาวบ้าน ตามคุณปากดำ คห. 17 กล่าวหรอกครับ แต่ก็ขอบคุณครับที่เข้ามาเตือนผม แต่ก็ใช้ภาษาให้ซอฟลงนิดนึงเถอะครับ ไม่ต้องกดผมเพื่อให้คุณรู้สึกเหนือกว่าผมก็ได้ คุณเก่งกว่าผมแต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องดูถูกผมนิครับ ผมตั้งขึ้นมาเพราะผมเชื่อว่าต้องมีคนสงสัยเหมือนผมบ้างแหละ เลยอยากให้คนที่มีความรู้เรื่องนี้กว่าผมมาอธิบายในกระทู้นี้เป็นวิทยาทาน แล้วคนที่เขาสงสัยเขาเหมือนผมก็ยังไม่เชื่อผมหรอกครับ เขาก็อ่านแนวทางที่ถูกต้องจากคอมเม้นที่มาตอบแหละครับ สุดท้ายนี้ขอให้เราโชคดีในทางธรรมทุกคนครับ
ถามคนที่อยากหลุดพ้น ตั้งเป้านิพพาน ทำไมคุณถึงไม่ออกบวช
ยกตัวอย่างผมว่าใช้ได้กับคนยุคปัจจุบัน เช่น
1.คุณตั้งเป้าไว้ว่าอยากนิพพาน คิดว่าอยากทำบุญบารมีให้ถึงพร้อมจะได้ออกบวช (มันจะบุญถึงพร้อมเมื่อไหร่ล่ะครับ ชาติหน้าเหรอครับ ลองคิดกลับดูสิว่าชาติก่อนคุณก็พูดแบบนี้สัญญากับตัวเองแบบนี้ ขอให้ชาติหน้านิพพาน แต่พอมาถึงชาตินี้คุณก็ยังทำตัวเหมือนเดิมเหมือนชาติที่แล้วอยากนิพพาน แต่ขอสั่งสมบุญก่อน แล้วชาติไหนมันจะไปนิพพานล่ะครับคุณ ถ้าไม่เริ่มบวชสักที ผมว่าที่คิดแบบนี้กันนี่เป็นการประมาทในหนทางไปสู่นิพพานหรือเปล่า เป็นการผัดวันประกันพรุ่งหรือเปล่า ลองถามใจตัวเองดู )
2.ผมเข้าใจว่า คุณทำสมาธิ เจริญอานาปานสติ ทำวิปัสสนากรรมฐานอยู่ แต่เราก็มีความสงบแค่ช่วงนั้นแหละครับ พอเราเลิกนั่งสมาธิหรือปฏิบัติธรรมมันก็หายไป คุณก็ไปใช้ชีวิตอย่างปุถุชนปกติ เป็นคนมีกิเลสเหมือนเดิม อยากได้อยากมีเหมือนเดิม เช่น คุณก็ยังอยากมีเงิน อยากมีฐานะดี อยากมีความรัก เป็นที่รักของคนอื่น ฯลฯ เป็นความอยากที่ดีครับ แต่คุณก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นกิเลสอยู่ดี แล้วอย่างนี้เราถือตัวเองว่าผู้อยากหลุดพ้น ตั้งเป้านิพพานได้เหรอครับ ในเมื่อเรายังไม่อยากละกิเลสเหล่านี้
3.คนที่บอกว่าถ้าหมดภาระคุณจะออกบวช จะหมดตอนไหนครับ ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ บางคนมีลูก ต้องเลี้ยงลูกอีก แล้วต่อให้คุณไม่มีภาระ คุณเชื่อใจตัวเองแค่ไหนว่าคุณจะอยากบวชศึกษาพระธรรม และไม่มีวันย้อนกับมาสนใจเรื่องทางโลกอีก
กรุณาอย่าตั้งแง่ว่าเพราะความอยากนิพพานเป็นเหตุให้ไม่นิพพาน ไม่ใช้คำว่าอยากนิพพานก็ได้ครับ ใช้คำว่าปฎิบัติธรรมให้บรรลุนิพพานก็ได้ /////
แต่อย่าพึ่งไปพูดถึงตรงนั้นครับ แค่ตัวเราเองไม่ให้อยากยึดติดเงิน ยึดติดสุข เรายังทำไม่ได้เลยครับ เรายังไม่ละความสะดวกสบาย พวกเราที่ยังนั่งอยู่หน้าคอมอ่านกระทู้ของผมอยู่เนี่ย ยังอยากเล่นคอมอยู่เลยใช่มั้ยครับ ผมเชื่อว่าคุณไม่ได้มาเผื่อแผ่ธรรมมะอย่างเดียวแน่ๆ คุณต้องยังอยากเล่นคอม เล่นโทรศัพท์ หรือ tablet อะไรก็ว่ากันไป ค้นนู้นค้นนี่ไปเรื่อย ยังมีอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง
อยู่กับเราทุกขณะจิต 1)เดี๋ยวเจอข่าวไม่ดีเช่นการเมือง อุบัติเหตุคุณก็มีอารมณ์โกรธ เสียใจ
2)เจออะไรน่ารัก หมาแมวน่ารัก คุณก็อารมณ์ รัก ตกหลุมรักหมาแมว
3)อารมณ์โลภ เช่น คุณเห็นรางวัลลอตเตอรี่ที่ถูกหวยแล้ว แต่คุณไม่ถูก คุณไม่ไปขโมยใครหรอก แค่คุณสมมติว่าตัวเองถูกลอตเตอรี่ ฉันจะซื้อนั่นซื้อนี่ คุณก็มีความอยาก โลภอยากได้ในสิ่งที่ตัวเองไม่มีล่ะ หรือคุณไม่สนลอตเตอรี่คุณก็เคยคิดอยากได้โน้น อยากได้นี้ก็เป็นความโลภอยาได้สิ่งที่เรายังไม่ได้เป็นเจ้าของเช่นกัน
เห็นไหมละครับถ้าคุณอยากนิพพานคุณละอารมณ์พวกนี้ได้ไหม ถ้ายังละไม่ได้แล้วเมื่อไหร่คุณจะทำ เริ่มตอนออกบวชเหรอครับ แล้วจะออกบวชตอนไหน
อยากสักแต่ตั้งเป้าครับ ต้องทำตามเป้าหมายด้วย ทีนี้เชื่อผมหรือยังว่าชาวพุทธเรามีแต่คนตั้งเป้าอยากนิพพานแต่เรายังไม่ตั้งใจสุดๆที่จะปฎิบัติเพื่อนิพพานจริงๆซักคน นอกจากจะบวชเป็นพระ แล้วทำไมไม่บวชกันครับอยู่ในเพศฆราวาสเมื่อไหร่จะบรรลุธรรมนิพพาน ผมเชื่อว่าถ้าเอาเหตุผลว่าชาติก่อนมีจริง ชาติก่อนคุณก็พูดยังงี้ล่ะขอให้นิพพาน พอมาชาตินี้คุณก็ขอเหมือนเดิมขอให้นิพพาน แต่คุณไม่บวช หรือถ้าครองเพศฆราวาสคุณก็ยังไม่ตัดจากเรื่องทางโลกยังห่วงเรื่องทางโลกเหมือนชาติก่อน ถึงปฏิบัติธรรมไปแต่ใจคุณยังมีห่วงเรื่องทางโลก(ที่ไม่ใช่การสอนธรรมะ) เช่น วันนี้อยากซื้อนู้น อยากซื้อนี่ ถึงจะเป็นสิ่งจำเป็นมีความพอเพียงในการซื้อ แต่มันก็เป็นกิเลสทั้งสิ้น เพราะคำว่า"อยาก"คำเดียว
แล้วจะไปนิพพานตอนไหนครับ ถ้าเรายังทำตัวอยู่แบบนี้ ลองมาแสดงความคิดเห็นกันดูครับ ผมอยากทราบเหตุผลของแต่ละคน เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ เหมือนกันว่าคิดเห็นเป็นอย่างไร
######เพิ่มเติมนะครับ จากที่ผมอ่านมาหลายๆความเห็น ขอบคุณที่มาชี้แนะครับ แสดงว่าการปฏิบัติธรรมของเราต้องทำเป็นขั้นเป็นตอนถูกมั้ยครับ จะใจเร็วด่วนได้มันก็ไม่ได้ มันลัดขั้นตอนไม่ได้ ผมใจร้อนอยากรู้ไปนั่นแหละ จริงๆควรจะวิปัสนากรรมฐาน ปฎิบัติธรรมบ่อยๆก่อน บรรลุโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์มันจะต้องไปแบบเป็นขั้นเป็นตอน เราจึงควรวิปัสนากรรมฐาน ปฎิบัติธรรม ให้เราเกิดความสงบแล้วหลังจากนั้นปัญญาของเราจะตามมา ผมเชื่อว่าทุกคนมาถูกทางแล้วครับ ไม่ต้องไปอยากบรรลุนั้นบรรลุนี่ เราแค่หมั่นทบทวนบ่อยๆเราจะรู้เองว่าอะไรดีไม่ดี แล้วเราก็อาจยังไม่จะบรรลุหรอก แต่เราได้สอนคนให้เดินทางที่ถูกต้อง คุณก็มีความสุขแล้ว ผมเชื่อว่าเจตนาของทุกคนที่มาตอบคิดแบบนี้
สำหรับสมาชิกหมายเลข 3685141 ผมขออธิบายนะครับ การที่ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาผมไม่ได้จะตั้งเพราะความอยากเด่น อยากโชว์พาว ลงทุนตั้งกระทู้อบรมชาวบ้าน ตามคุณปากดำ คห. 17 กล่าวหรอกครับ แต่ก็ขอบคุณครับที่เข้ามาเตือนผม แต่ก็ใช้ภาษาให้ซอฟลงนิดนึงเถอะครับ ไม่ต้องกดผมเพื่อให้คุณรู้สึกเหนือกว่าผมก็ได้ คุณเก่งกว่าผมแต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องดูถูกผมนิครับ ผมตั้งขึ้นมาเพราะผมเชื่อว่าต้องมีคนสงสัยเหมือนผมบ้างแหละ เลยอยากให้คนที่มีความรู้เรื่องนี้กว่าผมมาอธิบายในกระทู้นี้เป็นวิทยาทาน แล้วคนที่เขาสงสัยเขาเหมือนผมก็ยังไม่เชื่อผมหรอกครับ เขาก็อ่านแนวทางที่ถูกต้องจากคอมเม้นที่มาตอบแหละครับ สุดท้ายนี้ขอให้เราโชคดีในทางธรรมทุกคนครับ