หลอน......แพรวดาว เรื่องสั้น 2 บทจบ

กระทู้สนทนา
เรื่องสั้นเรื่องนี้ รีไรท์ เป็นอนุสรณ์ ถึงเพื่อนที่แสนดีคนหนึ่ง
ที่ทำให้ข้อย รู้จักโครงการร่วมด้วยช่วยอ่าน/ตรวจ
แม้ว่าเพื่อนคนนี้จะไม่อยู่ในถนนอีกแล้ว นานแล้ว...ก็ตาม



.



             “กรี๊ด..........”

             เสียงร้องสุดเสียงดังมาจากห้องน้ำของบริษัทออสซี่ ออสบอร์น ทำให้เพื่อนๆหลายคนซึ่งอยู่ในห้องพากันตกใจกันเป็นแถว  บางคนถือสีทาปากชะงักค้างทั้งที่ทาไปได้เพียงครึ่งปาก บางคนทำตลับแป้งหล่นเพราะความตกใจ  สาวบางคนกำลังจะเข้าห้องน้ำ พอได้ยินเสียงกรีดร้อง ตกใจจนวิ่งหนีออกจากห้องน้ำกลับไปนอนพักผ่อนที่บ้านอย่างหน้าตาเฉย  แต่หลายคนหันไปดูหญิงสาวผู้อยู่ในชุดกระโปรงสั้นเสื้อแขนยาวสีกลีบกุหลาบลายขาว กำลังเอามือปิดหน้า ยืนอยู่ในห้องน้ำหญิง กำลังร้องเสียงดังตัวสั่นระริกราวกับเป็นวันสิ้นโลก

             “แพรว...เป็นอะไรไป”

             พอได้สติ เพื่อนๆต่างมารุมล้อมซักถามด้วยความสงสัยตื่นตกใจ แพรวดาวไม่ตอบอะไรออกมาแต่ชี้มือไปยังกระจกด้วยปลายนิ้วสั่นระริกเจียนขาดใจ  ทุกคนต่างคิดว่าภายในกระจกจะต้องมีภาพภูตผีปีศาจปรากฏให้เห็นหลอกหลอน  หรือมีจูออนโผล่มาทักทาย แต่ไม่ใช่...ไม่มีภาพอันเขย่าขวัญสั่นประสาทแต่อย่างไร หลายคนอ้าปากค้างอย่างผิดหวัง

             “อะไร ไม่เห็นมีอะไร  แพรว...เธอเป็นอะไร”   เพื่อนๆมองตากันหน้าตาตื่น  

             หญิงสาวสดใสไม่อธิบายอะไร แต่วิ่งออกจากห้องน้ำไปด้วยความรีบร้อนไม่สนใจใคร อะไรบางอย่างรบกวนจิตใจของเธออยู่อย่างเงียบๆ แต่ทรงอานุภาพยิ่งกว่าเงาหลอนของวิญญาณร้าย

             ไม่แม้แต่จะเสียเวลาเก็บข้าวของบนโต๊ะทำงาน  แพรวดาวรีบออกไปจากบริษัทโดยไม่ยอมมองหน้าใคร วันนี้อยู่ดีๆ เธอก็ดูเปลี่ยนไปจากเดิม จากคนสดชื่นน่ารักร่าเริงแข็งแรงอารมณ์ดี มีความเพี้ยนๆอยู่ในบุคลิกภาพแต่พองาม กลับกลายเป็นคนตื่นกลัวหวาดผวาอย่างน่าแปลกใจ  อะไรสามารถดลบันดาลให้คนน่ารักหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้

             แพรวดาวย้ายมาอยู่ซิดนี่ย์เมืองจิงโจ้ได้ห้าปีแล้ว เธอแต่งงานกับแฟนหนุ่มรูปหล่อ  ที่ก่อนแต่งคิดว่าเป็นหนุ่มออซซี่   พออยู่ไปค่อยพบว่าแฟนของเธอเป็นคนไทย  แต่ไม่เป็นปัญหา เธอยังคงไล่ตามความฝันและความหวังของเธออย่างไม่ย่อท้อ ช่วงแรกเธอมีโครงการจะทำฟาร์มจิงโจ้ส่งนอก โดยมีเป้าหมายตลาดใหญ่อยู่ที่เมืองไทย แต่ปรากฏว่าจิงโจ้ของเธอออกลูกเป็นไข่ ทำให้ฟาร์มจิงโจ้ล้มคว่ำไม่เป็นท่า ไข่บางฟองฟักตัวเป็นเป็ดเทศ ไข่บางฟองฟักตัวเป็นน้องเหมียว บางตัวเป็นกระต่าย  มันผิดหลักการและทฤษฏีเหลือเกิน  สร้างความงุนงงสงสัยให้เธอจนบัดนี้และยังค้นหาคำตอบไม่ได้  ว่าทำไมจิงโจ้ของเธอจึงออกลูกเป็นไข่  บางทีอันจะเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อนก็เป็นได้  เพื่อนของเธอบอกว่าเป็นผลมาจากปรากฏการณ์ ดอนัลด์ ทรัมป์ เอฟเฟค

             หญิงสาวไม่ย่อท้อ จิงโจ้ออกไข่ก็ไข่...ไม่เห็นต้องสนใจ...เธอหันมาเปิดร้านอาหารขนาดใหญ่ ขายข้าวแกง ขายซุป (แต่เนื่องจากเธอชอบกินมังสวิรัติ แทนที่จะทำซุปเนื้อตามกระแสนิยม เธอก็หันมาทำซุปหน่อไม้แทน)  ขายน้ำผัก และไข่เค็มบัวลอยเป็นหลัก โดยเอาไข่จิงโจ้มาทำ “ไข่จิงโจ้เค็ม ” แต่เรื่องราวอันไม่น่าเป็นไปได้ก็เกิดกับเธออีกครั้งเมื่อไข่เค็มที่ทำกลายเป็นไข่ดาวหกแฉกไปจนหมด แถมไข่บางฟองมีเลข 666 The Number of the Beast   กลางฟองชวนชนลุกสะท้านวิญญาณ

             สุดท้ายเธอต้องปิดตายร้านอาหาร ใส่กุญแจอย่างดี แล้วมาสมัครมาทำงานในบริษัทเล็กๆแห่งหนึ่งชานเมืองซิดนีย์  โดยอาศัยว่ามีจุดเด่นและความสามารถในการทำงาน คือเลียนแบบตลกดังให้เจ้านายและเพื่อน ๆ คลายเครียดเป็นประจำ เช่น เดินท่านกระยาง ทำท่าคุณแม่ขอร้อง ทำท่ากระสือถอดหัว ลำเซิ้ง  เป็นต้น ทำให้หน้าที่การงานก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว

             เหตุการณ์ควรเป็นไปด้วยดีจนกระทั่ง...



             เท้าเล็กๆของเธอก้าวอย่างเร่งร้อนไปตามถนนสายหลากหลายไปด้วยผู้คนสัญจรมากมาย  เธออยากกลับบ้านโดยเร็วที่สุด   จนลืมไปว่าเธอเองก็มีรถยนต์ส่วนตัว เดินผ่านแผงลอยตามริมถนนซึ่งมีร้านค้าริมทางเท้าเรียงราย หญิงสาวเคยแวะซื้ออาหารบ่อยๆ คุณป้าแม่ค้าคนคุ้นเคยเห็นลูกค้าหน้าเดิมเดินผ่านมาก็ร้องทักตามความเคยชิน

             “คุณคะ ไม่ซื้อไข่พะโล้ซาลาเปาหรือคะ วันนี้ซื้อสองแถมหนึ่ง ซื้อหนึ่งแถมสอง ช่วงโปรโมชั่นแถมหมูสามชั้นสามขีด”

             แพรวดาวสะดุ้งหันไปมองอย่างไม่ตั้งใจแล้วลืมตาโพลงปากอ้าตาค้าง ถอยหลังกรูดทีละก้าว จนแทบหกล้มแล้วร้องออกมาด้วยเสียงสะท้านลั่นโลก

             “กรี้ด!!! “

             คนแถวนั้นหูชาไปด้วยเสียงร้องแหลมสูงแสบแก้วหู กระจกร้านค้าบางร้านถูกคลื่นความถี่เรโซแนนซ์โซบราโน่ กระแทกกระทั้นจนแตกกระจาย เศษแก้วระเบิดกระเด็นเกลื่อนไปทั่ว ทำให้หลายคนพากันร้องอย่างตื่นตกใจไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย หลายคนพอได้ยินเสียงกรีดร้องสับสนก็ถือโอกาสร้องตามไปด้วยทั้งที่ยังไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร  เมื่อมีคนร้องก็ต้องร้องตาม ร้องเป็นร้อง ใครจะทำไม...  เริ่มออกวิ่งอย่างตื่นตระหนกทั้งที่ไม่รู้ว่าจะวิ่งไปทางไหน แม้แต่ขอทานขาขาดแขนขาดซึ่งนั่งขอทานแถวนั้นก็พลอยลุกขึ้นวิ่งตามไปด้วยโดยลืมตัวว่าขาขาด คลื่นความแตกตื่นกระจายไปทั่วบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว

             เมืองซิดนีย์ ถึงจะเป็นแค่เมืองเล็ก ๆ ไม่สำคัญอะไรมากมายไม่เป็นที่รู้จักของพลโลก  แต่ผู้คนก็อยู่ในภาวะตื่นตัวตลอดเวลาเพราะเป็นเมืองตั้งอยู่ในแนวรอยต่อของเปลือกโลก เสี่ยงต่อแผ่นดินไหวภูเขาไฟระเบิด และคลื่นสึนามึ  การถูกอุ้ม รวมทั้งการก่อการร้ายพลีชีพ จึงบอบบางอ่อนไหว บางครั้งผีเสื้อกระพือปีกเล็กน้อยที่กรุงเทพ The Butterfly Effect  อาจทำให้เกิดพายุทอร์นาโดกระหน่ำแถวซิดนีย์ได้ไม่ยาก

             หญิงสาวล้มลุกคลุกคลาน ภาพไข่พะโล้ซาลาเปา... หมูสามชั้นประกายมันวาว... เรียงรายลอยหมุนวนเวียนเปลี่ยนแปรรอบตัวไปมาราวห้วงแห่งฝันร้ายสยดสยอง  เคราะห์ดีว่าอยู่ใกล้ป้ายรถเมล์ ยังพอมีทางรอด  หางตาของเธอเห็นรถเมล์ขาประจำวิ่งมาจอดป้ายใกล้ๆ กระเป๋ารถเมล์เกาะโหนราวบันใดมือเดียวอย่างชำนาญ แกว่งกล่องตั๋วรถเมล์ไปมาอย่างน่าหวาดเสียวพลางร้องเสียงดัง

             “เสารีครับเพ่ เสารี”

             หญิงสาวมองอย่างแปลกใจ แล้วร้องอย่างไม่เชื่อว่า

             “นี่มันซิดนีย์นะ”

            ได้ผล..กระเป๋ารถเมล์สะดุ้ง มองซ้ายขวาแล้วทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เขายิ้มเขินๆ อายๆ แล้วอ้อมแอ้มบอกว่า

             “ขอโทษครับ ผมลืมตัวไป ผมนึกว่าอยู่กรุงเทพครับ”   ว่าแล้ววิ่งลงมาจากรถเมล์เอามือปิดหน้าสะอึกสะอื้น วิ่งหายไปต่อหน้าต่อตา  หญิงสาวขยี้ตาไปมา อึ้งตะลึง...บ้าอะไรของมันฟะ...  หลังจากนั้นมีผู้คนวิ่งขึ้นรถเมล์กันอย่างแตกตื่น ใครบอกว่ารถเมล์เมืองนอกคนไม่แน่น อย่าไปเชื่อ เพราะสิ่งปรากฏต่อสายตาของแพรวดาวตอนนี้คือผู้คนทยอยไหลขึ้นไปไม่ขาดสาย แบบเดียวกับสภาพคนพากันวิ่งหนีผีปอบหยิบ ลงโอ่งใบเดียวได้แบบไม่รู้จักเต็ม ซึ่งกลายเป็นมุขคลาสสิกอมตะของการวิ่งหนีผีไปแล้ว

             รถเมล์คันนี้ก็เช่นกัน ไม่รู้ว่าคนมากมายหลายร้อยวิ่งขึ้นไปอัดอยู่บนรถเมล์ได้อย่างไร ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ในสภาพปกติ ความตื่นตกใจทำให้เกิดปาฏิหาริย์ราวเป็นหลุมดำ ..(ฟังดูน่าเชื่อมาก)  แบบนี้ไม่มีทางขึ้นรถเมล์ได้อย่างแน่นอน

             หญิงสาวหันรีหันขวาง ยิ่งผู้คนมากมายสับสนเธอยิ่งตกใจ เพียงต้องการกลับบ้านให้เร็วที่สุดเท่านั้น

             บ้านคือแหล่งพำนักพักพิงสุดท้าย  ไม่ว่าจะเจ็บปวดปานใด ขอเพียงมีบ้าน... แพรวดาวมองหาแท็กซี่  เสียดายว่ารถแท็กซี่ก็ไม่ว่างเลยสักคัน ทุกคนต่างก็อยากกลับบ้าน  เธอพยายามโบกรถสิบล้อรับจ้างแต่ไร้ผล  แม้แต่รถขยะยังไม่สนใจ  ดังนั้นเธอจึงเริ่มออกวิ่ง........วิ่งเพื่อหลบหนีอะไรบางอย่าง แต่คนเราจะวิ่งหนีตัวเองไปได้อย่างไร

             เธอเห็นภาพตัวเองวิ่งแบบสโลว์โมชัน

             ท้องฟ้าใสสวยเมฆขาวสะอาดทำให้แพรวดาววิ่งอย่างไม่รู้จักเหนื่อยอย่างเชื่องช้า เรือนผมยาวสะบัดขึ้นลงเล่นลมเป็นละลอกคลื่น ชายกระโปรงสีสดใสเหนือเข่าเล็กน้อยพลิ้วไหวไล่เรียงสะบัดรอบตัว ความตื่นเต้นตกใจทำให้เกิดพลังแฝงมหาศาลจาก Adrenaline ผ่านหมู่ตึกผ่านผู้คนมากมาย ภาพต่างๆเคลื่อนผ่านไปแช่มช้าเหมือนความฝัน ผู้คนค่อยๆหันมามอง บางคนสีหน้าแปลกใจค้างคา บางคนคลี่ยิ้มยาวนานชัดเจนเกินจริงจนน่ารำคาญ รถราผ่านไปมาแช่มช้าราวกาลเวลาโค้งยืดยาวจากการลงสู่ Singularity ของหลุมดำ

             แต่อย่างไรก็ตามต่อให้สโลว์โมชันขนาดไหน เธอก็มาถึงหน้าบ้านจนได้

             บ้านอันสงบสุข Home Sweet home  มีไออุ่นกรุ่นความรัก ความฝัน อดีต ปัจจุบัน และอนาคต บรรจุหล่อหลอมหลากหลายอยู่ในบ้าน  เป็นแหล่งหลบภัย หลบลี้หนีหน้า หลบตัวเองหรืออะไรก็ตาม หญิงสาวหายใจหอบอย่างเหน็ดเหนื่อย เหงื่อโซมเป็นฝนซัด แต่แล้วพอมองปราดไปยังห้องรับแขกก็เข่าอ่อน

            ห้องรับแขกมีโต๊ะชุดรับแขก เก้าอี้สี่ห้าตัวพอจะจัดงานสังสรรค์เล็กๆ กับเพื่อนสนิท ในห้องไม่มีเพื่อนคนไหน แต่บนโต๊ะมีอาหารวางเรียงราย

             มีขาหมูถาดใหญ่ น้ำจิ้มรสเด็ดเผ็ดสะใจ

             “กรี๊ด!!”

             โซบราโน่พิฆาตกรีดกึกก้องอีกแล้ว ครั้งนี้อยู่ในห้องรับแขก อำนาจแห่งการทำลายล้างยิ่งทวีพลังทบเท่าทวีคูณ ปลายเสียงแหลมสูงยังไม่กังวานจางหาย เสียงระเบิดพลันกึกก้องกัมปนาท แก้วสวยหลายใบวางอยู่บนโต๊ะระเบิดเปรี้ยงกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย รวมทั้งกรอบรูปบนฝาผนังถูกบดละเอียดเป็นผุยผงพร่างพรู หลอดไฟแตกออกเป็นประกายไฟพะเนียง

-------

             แพรวดาวผวาลุกขึ้นมาจากเตียง มือสัน...ใจสั่น... ตัวสั่น... ลุกขึ้นมาเปิดไฟสว่างจ้า รู้สึกว่าหัวใจยังเต้นแรงไม่หาย เธอฝันร้าย...ฝันร้ายเหลือเกิน ภาพใบหน้าตัวเองในกระจกช่างน่ากลัวจนไม่อาจทนมอง  ให้ตายเถอะ โรบินสัน บิกซี

             ฝันร้ายทำให้คอแห้งและกระหายน้ำ อากาศและบรรยากาศยามดึกแตกต่างจากเวลากลางวัน แม้ว่าจะอยู่ในบ้านตัวเองก็ตาม แต่ยามนี้ชวนขนลุกขนพองเสียนี่กระไร..นาฬิกาแขวนผนังบอกเวลาเลยเที่ยงคืนมาเล็กน้อย เครื่องทำความร้อนส่งเสียงครวญครางเบาๆ ราวจะขาดใจ  อากาศในเมืองซิดนีย์หนาวเย็นสะท้านจับใจ จนต้องสวมใส่เสื้อผ้าหนา น้ำประปาจากก๊อกน้ำเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง ทีวีเปิดทิ้งค้างเอาไว้ไม่มีคนดู  

             หิวน้ำ..

             ถ้าจะลงไปกินก็ต้องลงไปห้องครัวชั้นล่าง หญิงสาวนึกโมโหตัวเองว่าทำไมไม่รู้จักหยิบขวดน้ำกับแก้วสักใบขึ้นมาเตรียมไว้ ความจริงไม่ใช่เรื่องยากเย็นเข็ญใจอะไรสักนิด การลงไปชั้นล่างเวลากลางคืนไม่ใช่เรื่องสนุก จินตนาการของคนเรามักควบคุมไม่ได้ เวลากลางคืน จินตนาการเคยสงบเชื่องเชื่อในเวลากลางวันพอถึงกลางคืนอาจเป็นตรงกันข้าม ภูตผีปีศาจแทบสามารถกระโดดเป็นตัวเป็นตนออกมาได้จากในความคิด

             แค่นึกภาพตู้เสื้อผ้าเปิดออกมาเองแล้วมีผู้หญิงหน้าซีดขาวเดินโงนเงนแกว่งไกวตาเหลือกตาค้างก็ทำให้หนาวขึ้นไปอีกแล้ว หรือภาพผู้หญิงเรือนผมยาวใบหน้าขาวปากแดงโผล่มาจากใต้เตียงเอามือเกาะขอบตัวเอียงคอเมียงมองมาแบบเลื่อนลอย  ก็ทำให้ใจสั่นขึ้นมาได้

             แต่แพรวดาวไม่ได้วิตกถึงเรื่องนี้    เธอกลัวขาหมูในถาดใบเขื่องบนโต๊ะรับแขก เธอรู้ว่ามันยังวางอยู่ที่นั่น   ขาหมูเป็นของน่ากิน แต่ทำไมกลายเป็นของน่ากลัว

             “ไม่นะ.ได้โปรด....”  เธอกระซิบแผ่วกับตัวเองหัวใจระริกไหว   แล้วทันใดนั้นเอง เธอก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ หลังจากกลับมาจากบริษัท เธอยังไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากน้ำข้าวโพดแก้วเดียว หิวจนใจสั่นตัวสั่น แต่ก็พยายามระงับสติอารมณ์สะกดความหิวเอาไว้อย่างลำบากยากเย็น  ไม่นะ...ไม่กิน...




.......
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่