เมื่อกระเป๋ารถเมล์ตะโกนว่า "มีใครอยากสละที่นั่งให้คนท้องบ้าง"

ขอแชร์ประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้เราคิดทบทวนตัวเองตลอดระยะเวลาที่นั่งรถกลับบ้านหน่อยนะคะ

          เราเป็นพนักงานเงินเดือนย่านอโศก เราเป็นคนที่โดยสารรถประจำทาง (หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่ารถเมล์) กลับบ้านเป็นประจำ แต่ก่อนเวลาขึ้นรถเมล์ตรงอโศกนี้ก็แถบไม่ได้ยืนแล้วค่ะ คนนั่งยาวมากันตั้งแต่สยาม ชิดลม มีช่วงม๊อบนี้ละ ที่ทำให้เราได้เป็นต้นสายกับเขาบ้างจากที่เคยเบียดเสียดกันขึ้น แย่งกันหาที่ว่าง ก็กลายเป็นได้นั่งสบายๆ เพราะรถเมล์สายสุขุมวิทส่วนใหญ่เปลี่ยนมาสุดสายที่อโศก วันนี้เป็นอีกวันที่เราได้นั่งสบายๆ โดยไม่ต้องแย่งใคร รถเมล์ก็วิ่งไปตามเส้นทาง วนกลับจากถนนสุขุมวิทก่อนเข้าเขตชุมนุม วิ่งกลับมายังเส้นสุขุมวิทขาออก ผู้คนเริ่มทยอยขึ้นมาจนที่นั่งว่างไม่มีเหลือ ผู้ที่ได้นั่งส่วนใหญ่เป็นสาวๆ รวมถึงเราด้วย แทบจะทุกคนหยิบมือถือออกมา บางคนไอโฟน บางคน ซัมซุง และอื่นๆ จากนั้นทุกคนก็เข้าสู่โหมดสังคมคนเมืองในสมัยนี้ คือนั่งจิ้มมือถือ ตาจดจ่อกับหน้าจอ ไม่สนใจใคร ตัดตัวเองออกจากสิ่งแวดล้อม เราเองก็เป็นหนึ่งในคนกลุ่มนั้น ที่หยิบมือถือขึ้นมาเล่น และตัดตัวเองออกจากสภาพแวดล้อมต่างๆ

          จนรถแล่นมาถึงบริเวณรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์ มีหญิงอินเดียสองคนขึ้นมา เรารู้ว่าเธอสองคนเป็นคนอินเดียเพราะเธอเดินมาเกาะเบาะตรงหน้าเรา เราเลยเงยหน้ามองแวบนึง ก่อนจะก้มลงเล่นมือถือต่อ แต่สายตาก็ยังพอเห็นว่า ผู้หญิงใส่ชุดสีชมพูออกแดงจะล้วงเงินในกระเป๋า แล้วอีกคนห้าม ทำท่าให้ยืนให้ระวังก็พอ ตอนนั้นเราไม่เอะใจอะไร คิดแค่ว่าเขาคงอยากออกค่ารถให้กระมัง รถออกจากป้ายวิ่งต่อไป ถึงแม้ว่ารถจะวิ่งไม่เร็วมากแต่เวลาเบรกเบรกกระชากมากค่ะ คนที่นั่งก็เซ คนที่ยืนแทบจะล้มด้วยซ้ำ หญิงอินเดียสองคนนั้นก็เช่นกัน

          แล้วเหตุการณ์ที่ทำให้เราฉุกคิดก็เกิดตอนนี้ ตอนที่รถเมล์เบรกแรงมาก แล้วกระเป๋ารถเมล์ก็เดินมาหาผู้หญิงใส่ชุดสีชมพูออกแดง กระเป๋ารถเมล์เอามือแตะลงบนท้องเธอ และลูบไปมา ตอนนี้เองที่เราเงยหน้าจากจอมือถือ และเพื่อประจักษ์กับสายตาว่า ผู้หญิงคนนี้กำลังตั้งครรภ์ ขณะที่เราเพิ่งรู้ตัว กระเป๋ารถเมล์ก็ตะโกนขึ้นมาว่า "มีใครอยากสละที่นั่งให้คนท้องบ้าง" เราซึ่งรู้ตัวพอดีก็รวบข้าวของแล้วลุกให้เธอนั่ง แต่ช่วงระหว่างกำลังเตรียมลุกนั้น กระเป๋ารถเมล์ก็ตะโกนประโยคเดิมอีกสามสี่ครั้ง ซึ่งทุกคนโดยรอบทำเป็นไม่สนใจอะไรเลย นอกจากกดโทรศัพท์ พอหญิงคนนั้นได้นั่งเธอหันมาขอบคุณเรา ส่วนกระเป๋ารถเมล์หันมาบอกกับเราว่ารถเบรกแรง เดี๋ยวกระแทกเบาะเป็นอะไรจะทำยังไง มันไม่ได้ทำให้เรารู้สึกดีนะที่เราลุกให้เธอนั่ง แต่เรารู้สึกว่านี้ถ้ากระเป๋ารถเมล์ไม่บอก และมันเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นจริงๆ จะทำยังไง โชคดีที่กระเป๋ารถเมล์สังเกตไม่งั้นคงไม่มีใครรู้ และเธอก็ยังยืนอย่างนั้นต่อไป

          หลังจากเราลุกให้เธอนั่งแล้ว เราก็ไปยืนจับราวแล้วมองไปรอบๆ ผู้โดยสารหญิงที่นั่งเบาที่หญิงตั้งครรภ์คนนั้นเกาะ เบือนหน้าออกไปนอกหน้าต่าง ถัดมาเป็นเด็กนักเรียนที่นั่งเสียบหูฟังไอโฟนเหมือนไม่รับรู้อะไร และคนเบาะตรงข้ามก็เล่นเกมส์คุกกี้วิ่งได้ โดยอาจจะไม่รู้ว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น (หรือรู้แล้วไม่สนใจเราก็ไม่ทราบ) มันทำให้นึกถึงเพลง "โอมจงเงย" ของพี่แตมป์อย่างไม่มีสาเหตุ เราเคยเห็นกระทู้ที่ออกมาติ หรือออกความเห็นเรื่องที่คนไม่มีน้ำใจลุกให้คนแก่ หรือคนตั้งครรภ์นั่งบนรถไฟฟ้า แล้วมีคนมาบอกว่า "ก็ไม่เห็น ถ้าเห็นก็ลุกให้" อะไรประมาณนั้น จะว่าไปกรณีนี้เราก็คงจะตอบคำถามแบบนั้นเช่นกัน ถ้ามีคนอื่นมาเล่า

          มันเลยทำให้เราเรากลับมาคิดว่า ที่เราไม่เห็น เพราะเราไม่สนใจสิ่งรอบข้างเองรึเปล่า เพราะสังคมเราเอาแต่จดจ่อกับสิ่งไม่มีชีวิต ทำให้เราลืมสิ่งมีชีวิตร่วมโลก ลืมคนรอบๆ ตัวเราไปรึเปล่า
เราไม่ได้มารณรงค์งดใช้มือถือขณะโดยสารรถเมล์ หรือ รถโดยสารสาธารณะนะคะ แต่เราแค่มาเล่าให้ฟังว่าวันนี้เราเจออะไร และมันทำให้เราคิดอะไรได้บ้าง

          เราอาจจะเล่ายาวเวิ้นเว้อไปหน่อย แต่ถ้ามีคนอ่านและเก็บเอาไปคิดสักนิดก็คงจะดี เราแค่ไม่อยากให้เหตุการณ์อย่างที่กระเป๋ารถเมล์บอกมันเกิดขึ้น เพราะกระเป๋ารถเมล์คันอื่น อาจไม่ตะโกนบอกอย่างที่กระเป๋ารถเมล์คนนี้ทำก็ได้ ก็ต้องชื่นชมกระเป๋ารถเมล์ไว้ ณ ที่นี้ ถ้าไม่ได้กระเป๋ารถเมล์บอก แล้วเรามารู้ทีหลัง เราคงรู้สึกผิดยิ่งกว่าที่เป็นตอนนี้แน่ๆ


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่