The All Write Project 2 : รัตติกาลอุบัติ : อุกกาบาต

กระทู้สนทนา


ชื่อเรื่อง อุกกาบาต

(เรื่องสั้นชุด : รัตติกาลอุบัติ)


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

               สองเดือนก่อนที่ผมจะมานั่งอยู่ริมคลองหลังอพาร์ทเม้นท์ เงยหน้ารอคอยฝนดาวตกกลุ่มใหญ่ ซึ่งจะมาพร้อมกับบางสิ่งบางอย่างที่ผมเฝ้าฝันนึกถึงอยู่เสมอ พระจันทร์สีเหลืองหม่นกลมโตลอยเด่นอยู่ภายใต้หมู่เมฆดำอึมครึม

                ผมจ้องมองไปบนท้องฟ้าเพื่อรอสิ่งที่ผมคิดว่ามันไม่มีอยู่จริง  “มนุษย์ต่างดาว”  ผมไม่เคยคิดว่าสิ่งนี้จะมีอยู่หรือแม้หากมีอยู่จริงคงไม่มาเดินเล่นอยู่บนโลกของเรากระมัง ใช่! หลายท่านก็คงคิดเช่นด้วยกับผม หากไม่เคยได้มานั่งเสวนากับมนุษย์ต่างดาวช่างจ้อ แสนสวยและน่ารักอย่างเธอ
เรื่องราวหลายอย่างที่เธอเล่าให้ผมฟัง จนเผลอคิดว่าตัวเองกำลังหลุดเข้าไปอยู่ในนิยายวิทยาศาสตร์ หรือแม้แต่นิยายแฟนตาซีที่พร่ำเพ้อเขียนอะไรบ้าบอเทือกนั้น หาความจริงในสัจธรรมของมนุษย์แทบจะไม่มีเลย แต่ผมยังเป็นนักอ่านที่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของตนเอง นักเขียนเขียนอะไรมาผมก็ยังอ่านเก็บเกี่ยวจินตนาการในนิยายชโลมจิตใจให้แช่มชื่นได้ไม่น้อย

               ดังคำกล่าวของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่บอกไว้ว่า “จินตนาการบ่อยๆ พาเราไปสู่โลกที่ไม่มีจริง แต่ปราศจากซึ่งจินตนาการแล้วเราก็ไม่ได้ไปไหนเลย”

               ใช่ ! ผมยังทำหน้าที่เป็นนักอ่านที่ดี มันจะไม่ยากอะไร อย่างน้อยนิยายหลายเล่มที่ผมอ่าน ก็ช่วยปลอบประโลมให้ผมหลุดพ้นจากชีวิตที่ขื่นขมวุ่นวาย กับการดิ้นรนทำงานหาเช้ากินค่ำในเมืองหลวงศิวิไลซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองน่าเที่ยวอันดับสองของโลก แต่ต้องเผชิญกับภัยมลภาวะรถติด มลพิษทางเสียง มลพิษทางอากาศ บางครั้งผมรู้สึกว่าพวกมันกำลังเข้าไปทำลายระบบภายใน กัดกร่อนแทรกซึมอย่างช้าๆ แนบเนียนเพชฌฆาตเงียบที่ผมไม่สามารถต่อกรกับมันได้

               ผมอัดเอาควันบุหรี่มวนสุดท้ายเข้าไปเต็มปอด ไอร้อนของมันไหลลงไป ควันสีขาวแทรกซึมกระจายแผ่ซ่านทั่วท้อง รู้สึกสบายจนนึกไปถึงรสหวานหอมของกลิ่นกายสาว ในค่ำคืนหนึ่งที่เธอเดินเข้ามาในชีวิตผม มอบความสุขที่ผมโหยหามาเนิ่นนาน เธอเข้ามาทำลายความบอกช้ำในรักครั้งเก่า เติมเต็มชีวิตผมให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง


======



               ค่ำคืนของวันที่ ๗ กันยายน โลกโซเซียลต่างพากันแชร์กระหน่ำว่อนเน็ต ทั้งทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก  ไลน์ หรือแม้นกระทั่งข่าวออนไลน์ที่คุณสามารถเปิดอ่านได้ทันที เรื่องราวเกี่ยวกับลูกไฟดวงใหญ่ที่ตกมายังโลก นักดาราศาสตร์หลายค่ายต่างออกมายืนยันว่านี้คืออุกกาบาตขนาดมหึมา ที่มีน้ำหนักถึง ๖๖ ตัน

ผมได้รับข้อมูลข่าวสารเหล่านี้ผ่านหน้าเฟซบุ๊ก ทุกคนต่างออกความเห็นไปต่างๆนานา แต่ผมไม่สนใจ บางคนก็ออกความเห็นคิดว่า

“อุกกาบาตอาจจะนำโรคร้ายใหม่มายังโลกก็เป็นไปได้”
“เมิงดูหนังมากไปป่ะ”  อีกคนมาตอบต่อท้าย
“กูว่างานนี้เอเลี่ยนอาจจะมากับอุกกาบาตลูกนั้นก็เป็นไปได้นะเว้ย5555”   อีกหนึ่งเสียงมาแสดงความคิดเห็น
“555ไอ้นี่ยิ่งไปกันใหญ่ แต่ไม่แน่นะ งานนี้ได้ทำสงครามกับเอเลี่ยน คงได้ป่วนกันทั้งโลกละ”
“งานเข้าท่านประยุทธละ5555”
“โอเค เข้าใจตรงกัน โอเคนะ 555555555”



               ผมอ่านความคิดเห็นสุดท้ายก็ปิดเฟซบุ๊ก เลิกดูข่าวสารอันหาประโยชน์อะไรไม่ได้  ไม่รู้จะไปใส่ใจอะไรกับมันทำไมแค่อุกกาบาต เศษชิ้นส่วนของดวงดาวทั้งหลาย หลุดเข้ามาในวงโคจรของโลก พุ่งชนชั้นบรรยากาศเกิดการเผาไหม้ กลายเป็นลูกไฟดวงใหญ่ ตกลงมายังพื้นโลกแล้วกลายเป็นเพียงเศษเหล็กก้อนหนึ่งเท่านั้น

              ผมเก็บสมุดตารางนัดหมายลูกค้า เอกสารสำคัญหลายอย่างต้องหอบกลับไปทำที่บ้านยัดลงในกระเป๋าสะพายหนังสีดำ เดินจ้ำอ้าวออกจากออฟฟิศในเวลาสี่ทุ่ม แล้วรีบพุ่งตรงไปร้านอาหารเพื่อสังสรรค์กับเพื่อนๆ  ผมดื่มไปบ้างเล็กน้อยแต่ยังสามารถครองสติตัวเองให้มานั่งรอรถประจำทางได้ตรงสายที่ตัวเองต้องการจะขึ้นรถ

              เป็นเวลาเกือบจะห้าทุ่มแล้วผู้คนบางตาถึงแม้จะเป็นวันศุกร์สุดสัปดาห์ อาจจะเป็นเพราะอากาศที่หนาวเหน็บ หมู่เมฆก่อตัวตั้งเค้า เสียงฟ้าร้องคำรามเบาๆสามทีเป็นการส่งสัญญาณ ไม่นานสายฝนเม็ดเล็กก็พลันกระหน่ำสาดเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา

              ลมเย็นๆกระโชกจนรู้สึกหนาวสะท้าน ผมขดตัวก่อนจะล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกง จิกเอาซองบุหรี่ขึ้นมาดึงมวน คีบบุหรี่ไว้ที่มุมปากควักไฟแซ็กจากกระเป๋าเสื้อหนัง จ่อเปลวไฟกับปลายบุหรี่ สูดควันบุหรี่เข้าเต็มปอดเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย สายตาเหม่อมองไปยังสายฝนเม็ดน้อยใหญ่ที่ตกมากระทบกับพื้นปูนซีเมนต์  เกิดเป็นประกายระยิบระยับเมื่อต้องกับไฟนีออนราวกับประกายของเพชร สะกดผมให้มองจนไม่ทันสังเกตเห็นใครบางคนที่มายืนอยู่ข้างๆ ผมอัดควันบุหรี่เข้าไปเต็มปอดอีกครั้ง

“ขอนั่งด้วยคนได้ไหมคะ”

               เสียงนั้นทำผมสะดุ้งจนเผลอทำบุหรี่ที่คีบอยู่ในมือหล่นลงบนพื้นในน้ำเอ่อนองจนดับสนิท ผมมองดูด้วยความเสียดาย แต่ไม่นานความรู้สึกนั้นก็พลันจางหายไปเมื่อผมเงยหน้ามองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างผม ราวกับผมต้องมนต์สะกดในความงามที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ในวินาทีนั้นผมคิดว่าเธอเป็นนางฟ้าเสียอีก

ผิวพรรณขาวผุดผ่องนวลเนียน ผมสีดำขลับประบ่า ดวงตากลมโตซ่อนประกายซุกซน แผงขนตางอนงอเรียงตัวสวยงาม จมูกโด่ง ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพู แก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อ  ทุกสิ่งทุกอย่างประกอบเข้าเป็นตัวเธอทำให้ผมสั่นสะท้านตกตะลึง อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ผู้หญิงแสนสวยซึ่งเคยมีแต่ในจินตนาการบัดนี้มาปรากฏอยู่ต่อหน้าราวกับความฝัน เวลาเหมือนถูกตอกตรึงให้หยุดนิ่งชั่วขณะจนกระทั่งเสียงหวานใสกระชากผมออกมาจากความตะลึงงัน

“ฉันขอนั่งด้วยคนได้ไหมคะ”

               ผมพยักหน้าแทนการตอบ สายตายังคงจ้องมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า อาจเป็นการเสียมารยาทมากไปหน่อย แต่ความสวยของเธอก็ยากที่จะทำให้ผมละสายตาไปได้ และที่ทำให้ผมถึงกับต้องอ้าปากค้างก็ตรงที่เธอนำผ้าผืนใหญ่มองดูแล้วคล้ายผ้าม่าน  มาพันรอบตัวทำเป็นชุดเกาะอกเผยให้เห็นไหล่ขาวเนียนผุดผ่อง มองไล่ลงมาจนถึงเนิ่นอกอวบอิ่มซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าม่าน ผมจินตนาการเตลิดทะลุผ่านผ้าจนเห็นเธอนั่งเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้า ทำให้ผมต้องกลืนน้ำลายลงคอ จังหวะการเต้นของหัวใจเริ่มเร็วขึ้น ผมสลัดความคิดนั้นทิ้งไปก่อนจะมาหยุดนิ่งอยู่ที่เท้าของเธอ

“รองเท้าฉันมันขาดน่ะค่ะ ฉันเลยโยนทิ้งลงถังขยะไปแล้ว”

เธอบอกพร้อมกับกระดิกเท้าเปลือยเปล่าหยอกล้อเล่นกับน้ำที่เอ่อนอง เธอหันมายิ้มให้ผม  แววตาเป็นประกายขี้เล่น จนผมต้องเผลออมยิ้มที่มุมปาก

“ฉันชอบน้ำฝนนะ ที่บ้านฉันไม่ค่อยมีฝนตกสักเท่าไร”  เธอพูด เท้ายังคงแกว่งตวัดเล่นกันน้ำที่เริ่มขังนองอยู่ตามพื้นฟุตบาตไปด้วย

“ผมไม่ค่อยชอบฝน มันเป็นอุปสรรคในการเดินทาง ยิ่งฝนตกหนักรถยิ่งติด คนกรุงเขาไม่ชอบให้ฝนตกทั้งนั้นละครับ”

“อืม” เธอตอบรับในลำคอ ก่อนจะจามสองทีติดกัน

“คุณคงไม่ได้วิ่งเล่นน้ำฝนมานะ ดูซิเปียกไปทั้งตัวเลย เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะครับ”

“สนุกดีออก ฉันวิ่งไปทั่ว แต่ผู้คนมองฉันแปลกๆ ฉันเลยหยุดเล่นนะ ฮัดชิ้ว!” พูดจบเธอก็จามโชว์ผมไปหนึ่งที

“ใส่ไว้ครับ เดี๋ยวไม่สบาย”  ผมถอดเสื้อเจ็ตเกตยื่นให้เธอ  เธอสวมทับเสื้อเกาะอก เอ่ยขอบคุณผมเบาๆ ก่อนจะหันมาส่งยิ้มหวานหยาดเยิ้ม

“คุณใจดีจังเลยค่ะ”  เธอเคียงคอพูดเสียงใสแจ๋วของเธอ ทำเอาผมอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

“ผมใจดีกับผู้หญิงทุกคนละครับ ถ้าเป็นผู้ชายผมจะปล่อยให้นั่งหนาวตายอยู่นี้ละ”

               เธอหัวเราะคิกคักกับคำตอบของผม จนผมต้องหัวเราะตามอย่างไม่รู้สาเหตุ อาจเป็นเพราะความน่ารักของเธอความใสซื่อที่เปล่งออกมาจากแววตา มันทำให้ผมหลงเสน่ห์หญิงสาวแปลกหน้าคนนี้เข้าแล้ว

ผมขยับหันกายเผชิญหน้ากับหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ

“บ้านคุณอยู่ที่ไหนเหรอครับ ที่บอกว่าไม่ค่อยมีฝนตก”  คราวนี้ผมขอเป็นคนชวนคุย

“บนโน้นค่ะ”  เธอตอบพลางกับชี้นิ้วขึ้นฟ้า

ผมเลิกคิ้วด้วยความฉงนสงสัย นึกในใจเธอคงไม่ได้บอกว่าเป็นนางฟ้าหรอกนะ  เธอดูเหมือนจะจับคลื่นความสงสัยที่ผมส่งไป จึงรีบพูดต่อทันที
“ฉันมาพร้อมอุกกาบาตที่ตกมายังโลกของคุณ”

“นี่อย่าบอกนะว่าคุณเป็นมนุษย์ต่างดาว”  

ผมโพล่งออกไปอย่างตกใจ ดวงตาเบิกกว้างและพลอยตลกขบขำกับสิ่งที่เธอพูด  ดูเหมือนผมกำลังจะนั่งคุยกับคนบ้า แต่ถึงเธอจะบ้า ส่วนหนึ่งในใจผมก็แอบหลงรักเธอไปแล้ว รักแรกพบ รักที่ผมไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้ง่ายดายอย่างนี้

“ไม่ตลกนะ” เธอทำเสียงเขียวใส่ผม ใบหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที

“คนที่นี้คงเรียกฉันว่ามนุษย์ต่างดาวซินะ คงใช่ เพราะฉันมาจากดาวดวงอื่น”  เธอเหม่อมองไปยังถนนอันมืดมิดที่อยู่เบื้องหน้า ฝนหยุดตกไปแล้ว ทิ้งร่องรอยไว้เพียงพื้นดินที่ชื่นแฉะ รถราตามท้องถนนเริ่มบางตา ผมปล่อยให้รถเมล์หลายคันวิ่งผ่าน ยังอยากนั่งคุยกับเธอต่อไปเรื่อยๆ

“แล้วคุณมาที่นี้ทำไม”  ผมเอ่ยถามอยากรู้เหมือนกันว่าเธอจะตอบผมว่าไง

“หนีภัยสงคราม ดาวของฉันถูกพวกสตอมโจมตี”

“สตอม?”  ผมสะดุดกับคำนี้จนเผลอพูดออกไป

“พวกล่าอาณานิคมในจักรวาลน่ะค่ะ”  เธอพยักหน้าตอบ ก่อนจะพูดต่อไปว่า

“พวกมันบุกเข้ามาเข่นฆ่าผู้คนบนดาวของฉันอย่างโหดเหี้ยมป่าเถื่อน เผาทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง เข้ามายึดครองพื้นที่ เกณฑ์คนที่รอดชีวิตไปกุมขัง ใครที่ไม่ยอมจำนน มันก็ฆ่าทิ้ง ท่านพ่อท่านแม่ต่อสู้เพื่อปกป้องฉันจนถูกพวกมันจับตัวไป ไม่รู้ตอนนี้ท่านทั้งสองจะเป็นอย่างไร”

เธอพูดเสียงสั่นเครือด้วยความรู้สึกภายใน น้ำใสเอ่อรื้อขึ้นมารอบดวงตา ร่างน้อยๆของเธอสั่นสะท้าน ซบหน้าลงฝ่ามือราวกับว่ากำลังถูกความเศร้าแสนสาหัสเข้ามาครอบงำ

ผมทำได้แค่เพียงยื่นมือไปตบไหล่เธอเบาๆ

“มีอะไรจะให้ผมช่วยบอกได้นะ”

ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอพูดเป็นความจริงหรือเปล่า และผมไม่รู้จะช่วยเธอได้อย่างไร แต่ไม่ว่าเธอจะขอร้องให้ผมทำอะไร ผมจะทำทุกอย่างเพื่อเธอ เพื่อให้เธอหายจากความทุกข์โศกนี้ น้ำตาของเธอมันทำให้ผมพลอยเศร้าไปด้วย

เธอปาดน้ำตาที่แก้มจนแห้งสนิท

“ ขอบคุณค่ะ แต่เรื่องของฉันมันใหญ่นัก”  

               รถเก๋งสีดำวิ่งมาด้วยความเร็ว ทำให้น้ำเอ่อนองบนท้องถนนสาดกระเด็นมาโดนเราสองคน ผมลุกขึ้นสบถด่าทอรถเก๋งคันนั้นด้วยถ้อยคำหยาบคาย  เธอหันมาหัวเราะให้ผม ก่อนจะบอกผมว่าไม่เป็นไรนะ ผมได้แต่ส่ายหน้าไปมาก่อนหันมามองหญิงสาวผู้ลึกลับ แล้วความหงุดหงิดที่มีต่อรถเก๋งคันนั้นก็พลันหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ ทรุดลงนั่งฟังเรื่องราวของเธอต่อ

“เราขอความช่วยเหลือไปยังสหพันธ์อวกาศ เพื่อให้พวกเขาส่งกองกำลังมาช่วยรบ แต่พวกสตอมมันรู้แผนการ พวกมันส่วนหนึ่งรวมกับชนเผ่ากูรูด้า พันธมิตรของพวกสตอมน่ะ ไปดักซุ้มโจมตีทหารของสหพันธ์อวกาศ พวกเขามาไม่ถึงดาวของเรา พวกเราจึงต่อสู้กับสตอมเพียงลำพัง ประชาชนล้มตายราวกับใบไม้ที่หล่นลงบนพื้น  เสียงกรีดร้องโหยหวนเจ็บปวดดังระงมไปทั่วดวงดาว ฉันช่วยพวกเขาไม่ได้เลย แต่พวกเขาทุกคนยอมสละชีพเพื่อปกป้องฉันคนเดียว”   เธอพูดต่อแต่น้ำเสียงตอนท้ายกลับมาสั่นเครืออีกครั้ง

“ประชาชนเหรอ? คุณเป็นใคร?”  


(มีต่อค่ะ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่