สืบเนื่องจากกระทู้
https://ppantip.com/topic/35347889 (ที่จำนวนแชร์ได้ปลิวหายไปหมดแล้ว) จขกท.ได้มีโอกาสเดินทางไปอินเดียอีกรอบเมื่อช่วงหยุดปีใหม่ที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งคราวนี้ได้เลือกเดินทางไปที่ Delhi --> Agra --> Udaipur --> Mumbai ถ้าจะว่าไปแล้วเมืองอย่าง Delhi - Agra - Mumbai น่าจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ววันนี้จึงขอมาแชร์ประสบการณ์ในเมือง Udaipur ("อุไดปูร์" / "อุทัยปุระ") เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่โรแมนติกที่สุดของอินเดียให้เพื่อนๆชาว Pantip ได้เก็บไว้ในอ้อมใจเป็นทางเลือกสำหรับโปรแกรมท่องโลกนะครับ
CheeZ Factory
ปล. Link ภาพที่ process สีแล้วของทั้งทริป (เดลี - อัครา - อุไดปูร์ - มุมไบ) :
https://ppantip.com/topic/35977853
---------------------------------------
Contact:
https://www.facebook.com/cheezfact
--------------------------------------
เวนิสจริงเหรอ?
สมญานามฟังคุ้นๆเหมือนประเทศแถวนี้เลย ^^ บางที่นี่ถึงขนาดเรียกเมืองนี้ว่าเป็นเมืองที่โรแมนติกที่สุดของอินเดียเลยทีเดียว เห็นชื่อแล้วน่าสนใจใช่มั้ย? แต่สำหรับคนไทยส่วนมากหรือนักท่องเที่ยวทั่วโลกเวลามาเที่ยวอินเดียโดยมากก็จะนึกถึงทัชมาฮาลหรือถ้าเป็นเมืองในราชาสถานก็มักจะไปแค่ Jaipur (ชัยปุระ) ตามเส้นทาง Golden Triangle มากกว่า อาจเป็นเพราะทำเลและการเดินทางนั้นทำได้ง่ายกว่ามาก ดังนั้นเมืองอย่าง Udaipur จึงมักจะอยู่ในลิสของ "ทางผ่าน" หรือ "มีเวลาค่อยไป" ซะมากกว่า ยิ่งมาเจอคำว่า
"โรแมนติก" ยิ่งฟังดูขัดแย้งสุดๆ ลองนึกภาพแขกเบอร์นาร์ดเซเล็ปแห่งธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ทำตาซึ้งๆพร้อมยื่นถั่วให้ก็ขนลุกแล้ว!
แต่จขกท.จะบอกว่าจากที่ได้มาใช้เวลาที่นี่หนึ่งวันครึ่ง "เมืองนี้มานโรแมนติกจริงๆนะนายจ๋า"
เล็กๆน้อยๆเกียวกับ Udaipur
เมือง Udaipur (อุทัยปุระ จริงๆน่าจะเรียกว่านครแห่งรุ่งอรุณมากกว่า) เป็นเมืองทางตอนใต้ของรัฐราชาสถาน ซึ่งลักษณะภูมิประเทศจะแตกต่างจากอีกสองเมืองฮิตๆในรัฐเดียวกันอย่าง Jaipur (เมืองสีชมพู) และ Jodhpur (เมืองสีฟ้า) ตรงที่มีพื้นที่สีเขียวเยอะและไม่ค่อยแห้งแล้งแนวๆเมืองทะเลทรายอย่างที่อื่นๆ โดยที่จุดเด่นของเมือง Udaipur คือพระราชวัง "City Palace" ขนาดใหญ่ที่สุดในรัฐตั้งอยู่ริมทะเลสาบ Pichola สร้างโดยมหาราชาอุทัยซิงค์ที่สอง (Maharana Udai Singh II) เมื่อประมาณสี่ร้อยปีก่อน นอกจากนี้ในเมืองยังมีสิ่งปลูกสร้างสวยงามมากมายเช่น Lake Palace (พระราชวังกลางทะเลสาบ), Lake Garden Palace (สวนกลางทะเลสาบ), Monsoon Palace (พระราชวังบนยอดเขา Aravalli), และ Jagdish Temple (วัดฮินดูขนาดใหญ่) ซึ่งถ้ามาเที่ยวควรจองโรงแรมแถวๆ City Palace เพราะนอกจากจะเดินทางสะดวกแล้วยังได้วิวสวยๆริมน้ำเก๋ๆอีกด้วย
การเดินทางมายังเมือง Udaipur
การเดินทางมายังเมืองนี้สามารถทำได้โดย
(1) ทางรถไฟ : เมืองนี้จะอยู่ทางเหนือซึ่งใกล้เดลีมากกว่ามุมไบ โดยถ้าเดินทางโดยรถไฟจากเดลีจะใช้เวลา 12 ชั่วโมงในขณะที่ถ้านั่งจากมุมไบจะใช้เวลาราวๆ 17 ชั่วโมง
(2) ทางเครื่องบิน : ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆจากทั้งเดลีและมุมไบ ซึ่งจะว่าไปก็คุ้มนะสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีเวลาไม่เยอะ
(3) ทางรถยนต์ : ตัวเลือกนี้อาจจะเป็นทางเลือกสำหรับคนที่เดินทางในอินเดียจนชินแล้ว โดยที่เวลาที่ใช้จะสั้นกว่าการเดินทางโดยรถไฟเล็กน้อย ...สำหรับการเดินทางของจขกท.นั้นใช้สายการบิน Jet Airways เดินทางจากเดลีครับ
--------------------------------------
***แผนที่เดินทางของจขกท.ใน Udaipur***
สีเขียว : สถานที่ท่องเที่ยว
(1) Bagore-ki Haveli, (2) Jagdish Temple [วัดฮินดู], (3) City Palace, (4) Lake Garden Palace [สวนกลางทะเลสาบ]
สีแดง : สถานที่หาเสบียง/ร้านอาหาร
(1) ร้าน Jagat Niwas Palace Hotel [ร้านอาหารบนดาดฟ้าโรงแรม], (2) ร้าน Cafe Edelweiss [ร้านเบเกอรี่สไตล์ยุโรป]
สีส้ม : ที่พักและสถานที่อื่นๆ
(1) โรงแรม Jagat Niwas Palace Hotel [โรงแรมริมน้ำห้องสวย-ทำเลเยี่ยม-อาหารอร่อย]
--------------------------------------
Jagat Niwas Palace
จขกท.เดินทางมาถึงสนามบินเมือง Udaipur ประมาณบ่ายสามกว่าๆแทนที่จะเป็นเที่ยงนิดๆเนื่องจากเครื่องดีเลย์จากสภาพอากาศ การเดินทางเข้าเมืองจขกท.ใช้บริการ Pre-paid taxi ราคา 650 รูปี ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงเนื่องจากสนามบินอยู่ห่างจากตัวเมืองค่อนข้างมาก ***แต่...แทนที่เจ้า taxi จะส่งถึงโรงแรมตามที่คุยไว้พี่แกกลับไปส่งแค่คิวรถ auto rickshaw ห่างจากที่พักเกือบๆ 2 km แทนซะอย่างนั้นอ้างว่าทางไม่ดี taxi เข้าไปยาก พูดยังไงก็ไม่ยอมไป (อ้าวเฮ้ย!)... จขกท.คิดว่าคนขับมานคงฮั้วกับคิวรถ ประเภทพาลูกค้ามาให้กินหัวคิวต่อเพราะจริงๆทางก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ซึ่งก็คงจะจริงอย่างที่จขกท.คิดเพราะขากลับจองรถ taxi ไว้กับ agency ยังมารับได้ถึงหน้าโรงแรมเลย...หึๆๆ โดนลุงแขกเล่นตั้งแต่มาถึงเลยสินะ
สุดท้ายหลังจากลงเดินพักนึงก็ต้องขึ้น auto rickshaw เนื่องจากลากกระเป๋าเดินไม่ไหว (แต่ไม่ยอมขึ้นคิวตรงที่ลุง taxi ขี้โกงพามาส่งนะ โกรธมาน) สรุปโดนค่า taxi ไป 650 รูปี รวมกับค่า auto อีก 50 รูปีก็มาถึงโรงแรมได้แบบมึนๆ
โรงแรมที่จขกท.พักชื่อ Jagat Niwas Palace Hotel เป็นโรงแรมอยู่ใกล้วังและสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆมาก และที่สำคัญคือมีห้องพักริมน้ำไว้สำหรับดูวิวริมทะเลสาบ Pichola ด้วยล่ะ ^^
จขกท.ขอบอกตรงๆว่าก่อนมาก็ไม่ได้คาดหวังว่าเมืองนี้จะสวยตามที่หนังสือรีวิวบอกนะ ยิ่งเจอแขกโกงค่ารถหรือแม้แต่ทางที่ลากกระเป๋ามานี่มานแนวๆเมืองอินเดียต่างจังหวัดทั่วๆไปเลยคือค่อนข้างวุ่นวาย ทั้งรถทั้งวัว (และขี้วัวประปราย แต่ไม่ได้นัวมากเหมือน Jodhpur) แต่พอถึงห้องแล้วเปิดหน้าต่างดูวิวเท่านั้นล่ะ
"โอ้โหหหห+++! ที่นี่มานสวยเกินไปแล้วนะ!"
สวยจริงจังเหมือนไม่ได้อยู่อินเดียเลย ประมาณว่าทะเลสาบ-ภูเขา-วังโบราณรวมอยู่ในที่เดียว ตอนเช้าแสงส่องหาฝั่งภูเขาและทะเลสาบ ในขณะที่ช่วงเย็นแสงจะส่องเข้าหาฝั่งพระราชวังริมน้ำโรแมนติกมากกก สำหรับท่านใดที่สนใจมาเที่ยว Udaipur ที่พักริมน้ำมีพอสมควรซึ่งส่วนตัวจขกท.แนะนำให้เลือกที่ติดน้ำ ถึงราคาอาจจะสูงนิดนึงแต่ก็ถือว่าไม่มากถ้าเทียบกับที่พักที่ไทยหรือเมืองใหญ่ๆอย่างเดลีหรือมุมไบ เหมือนจ่ายเงินซื้อประสบการณ์ที่หาไม่ได้ในเมืองทั่วๆไปนะ
ราชาสถานสไตล์ที่ Bagore-ki Haveli
หลังจากชื่นชมกับวิวที่พัก แผนการณ์ต่อไปแนวๆว่าเป็น "a Must" นอกเหนือจากการไปเที่ยวพระราชวังคือการไปชมการแสดงพื้นเมืองของราชาสถานที่ Bagore-ki Haveli พิพิธภัณฑ์และเวทีการแสดงตั้งอยู่ริมท่าน้ำทีชื่อว่า Ganguar Ghat ซึ่งอยู่ห่างที่พักประมาณ 400 เมตร
ชื่อการแสดงพื้นเมืองอาจจะไม่น่าตื่นเต้น แต่เชื่อเถอะว่าที่นี่ไม่ธรรมดา การแสดงจะประกอบด้วยการเต้น การเชิดหุ่นกระบอก และการแสดงอื่นๆ ทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง โดยปกติจะมีรอบเดียวคือ 19:00-20:00 แต่ถ้าฤดูการท่องเที่ยวจะมีการเพิ่มรอบ 20:00-21:00 อีกรอบด้วย โดยที่ถ้าต้องการจองตั๋วจะต้องรีบไปต่อคิวแต่เนิ่นๆเพราะแถวจะยาวมากกกก (ไม่นับพวกแขกที่พยายามแทรกคิวให้อารมณ์เสียอีกบางส่วน) ประมาณว่าตั๋วเริ่มขาย 18:15 แต่คิวยาวตั้งแต่ห้าโมงกว่าๆแล้ว ราคาตั๋วอยู่ที่ 300 รูปีต่อคน ถ้าจะถ่ายรูปเก็บเพิ่มอีก 250 รูปี
สำหรับอาหารค่ำ จขกท.ทานที่ร้านอาหารด้านบนของโรงแรม Jagat Niwas ราคาจะสูงกว่าร้านทั่วๆไป (ราคาต่อจาน 200-400 รูปีหรือประมาณ 100-250 บาท รสชาติอร่อยสมกับที่เป็นร้านแนะนำ Lonely Planet)
[CR] Udaipur เมืองเวนิสแห่งอินเดีย
สืบเนื่องจากกระทู้ https://ppantip.com/topic/35347889 (ที่จำนวนแชร์ได้ปลิวหายไปหมดแล้ว) จขกท.ได้มีโอกาสเดินทางไปอินเดียอีกรอบเมื่อช่วงหยุดปีใหม่ที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งคราวนี้ได้เลือกเดินทางไปที่ Delhi --> Agra --> Udaipur --> Mumbai ถ้าจะว่าไปแล้วเมืองอย่าง Delhi - Agra - Mumbai น่าจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ววันนี้จึงขอมาแชร์ประสบการณ์ในเมือง Udaipur ("อุไดปูร์" / "อุทัยปุระ") เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่โรแมนติกที่สุดของอินเดียให้เพื่อนๆชาว Pantip ได้เก็บไว้ในอ้อมใจเป็นทางเลือกสำหรับโปรแกรมท่องโลกนะครับ
CheeZ Factory
ปล. Link ภาพที่ process สีแล้วของทั้งทริป (เดลี - อัครา - อุไดปูร์ - มุมไบ) : https://ppantip.com/topic/35977853
---------------------------------------
Contact:
https://www.facebook.com/cheezfact
--------------------------------------
เวนิสจริงเหรอ?
สมญานามฟังคุ้นๆเหมือนประเทศแถวนี้เลย ^^ บางที่นี่ถึงขนาดเรียกเมืองนี้ว่าเป็นเมืองที่โรแมนติกที่สุดของอินเดียเลยทีเดียว เห็นชื่อแล้วน่าสนใจใช่มั้ย? แต่สำหรับคนไทยส่วนมากหรือนักท่องเที่ยวทั่วโลกเวลามาเที่ยวอินเดียโดยมากก็จะนึกถึงทัชมาฮาลหรือถ้าเป็นเมืองในราชาสถานก็มักจะไปแค่ Jaipur (ชัยปุระ) ตามเส้นทาง Golden Triangle มากกว่า อาจเป็นเพราะทำเลและการเดินทางนั้นทำได้ง่ายกว่ามาก ดังนั้นเมืองอย่าง Udaipur จึงมักจะอยู่ในลิสของ "ทางผ่าน" หรือ "มีเวลาค่อยไป" ซะมากกว่า ยิ่งมาเจอคำว่า "โรแมนติก" ยิ่งฟังดูขัดแย้งสุดๆ ลองนึกภาพแขกเบอร์นาร์ดเซเล็ปแห่งธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ทำตาซึ้งๆพร้อมยื่นถั่วให้ก็ขนลุกแล้ว!
แต่จขกท.จะบอกว่าจากที่ได้มาใช้เวลาที่นี่หนึ่งวันครึ่ง "เมืองนี้มานโรแมนติกจริงๆนะนายจ๋า"
เล็กๆน้อยๆเกียวกับ Udaipur
เมือง Udaipur (อุทัยปุระ จริงๆน่าจะเรียกว่านครแห่งรุ่งอรุณมากกว่า) เป็นเมืองทางตอนใต้ของรัฐราชาสถาน ซึ่งลักษณะภูมิประเทศจะแตกต่างจากอีกสองเมืองฮิตๆในรัฐเดียวกันอย่าง Jaipur (เมืองสีชมพู) และ Jodhpur (เมืองสีฟ้า) ตรงที่มีพื้นที่สีเขียวเยอะและไม่ค่อยแห้งแล้งแนวๆเมืองทะเลทรายอย่างที่อื่นๆ โดยที่จุดเด่นของเมือง Udaipur คือพระราชวัง "City Palace" ขนาดใหญ่ที่สุดในรัฐตั้งอยู่ริมทะเลสาบ Pichola สร้างโดยมหาราชาอุทัยซิงค์ที่สอง (Maharana Udai Singh II) เมื่อประมาณสี่ร้อยปีก่อน นอกจากนี้ในเมืองยังมีสิ่งปลูกสร้างสวยงามมากมายเช่น Lake Palace (พระราชวังกลางทะเลสาบ), Lake Garden Palace (สวนกลางทะเลสาบ), Monsoon Palace (พระราชวังบนยอดเขา Aravalli), และ Jagdish Temple (วัดฮินดูขนาดใหญ่) ซึ่งถ้ามาเที่ยวควรจองโรงแรมแถวๆ City Palace เพราะนอกจากจะเดินทางสะดวกแล้วยังได้วิวสวยๆริมน้ำเก๋ๆอีกด้วย
การเดินทางมายังเมือง Udaipur
การเดินทางมายังเมืองนี้สามารถทำได้โดย (1) ทางรถไฟ : เมืองนี้จะอยู่ทางเหนือซึ่งใกล้เดลีมากกว่ามุมไบ โดยถ้าเดินทางโดยรถไฟจากเดลีจะใช้เวลา 12 ชั่วโมงในขณะที่ถ้านั่งจากมุมไบจะใช้เวลาราวๆ 17 ชั่วโมง (2) ทางเครื่องบิน : ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆจากทั้งเดลีและมุมไบ ซึ่งจะว่าไปก็คุ้มนะสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีเวลาไม่เยอะ (3) ทางรถยนต์ : ตัวเลือกนี้อาจจะเป็นทางเลือกสำหรับคนที่เดินทางในอินเดียจนชินแล้ว โดยที่เวลาที่ใช้จะสั้นกว่าการเดินทางโดยรถไฟเล็กน้อย ...สำหรับการเดินทางของจขกท.นั้นใช้สายการบิน Jet Airways เดินทางจากเดลีครับ
--------------------------------------
***แผนที่เดินทางของจขกท.ใน Udaipur***
สีเขียว : สถานที่ท่องเที่ยว
(1) Bagore-ki Haveli, (2) Jagdish Temple [วัดฮินดู], (3) City Palace, (4) Lake Garden Palace [สวนกลางทะเลสาบ]
สีแดง : สถานที่หาเสบียง/ร้านอาหาร
(1) ร้าน Jagat Niwas Palace Hotel [ร้านอาหารบนดาดฟ้าโรงแรม], (2) ร้าน Cafe Edelweiss [ร้านเบเกอรี่สไตล์ยุโรป]
สีส้ม : ที่พักและสถานที่อื่นๆ
(1) โรงแรม Jagat Niwas Palace Hotel [โรงแรมริมน้ำห้องสวย-ทำเลเยี่ยม-อาหารอร่อย]
--------------------------------------
Jagat Niwas Palace
จขกท.เดินทางมาถึงสนามบินเมือง Udaipur ประมาณบ่ายสามกว่าๆแทนที่จะเป็นเที่ยงนิดๆเนื่องจากเครื่องดีเลย์จากสภาพอากาศ การเดินทางเข้าเมืองจขกท.ใช้บริการ Pre-paid taxi ราคา 650 รูปี ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงเนื่องจากสนามบินอยู่ห่างจากตัวเมืองค่อนข้างมาก ***แต่...แทนที่เจ้า taxi จะส่งถึงโรงแรมตามที่คุยไว้พี่แกกลับไปส่งแค่คิวรถ auto rickshaw ห่างจากที่พักเกือบๆ 2 km แทนซะอย่างนั้นอ้างว่าทางไม่ดี taxi เข้าไปยาก พูดยังไงก็ไม่ยอมไป (อ้าวเฮ้ย!)... จขกท.คิดว่าคนขับมานคงฮั้วกับคิวรถ ประเภทพาลูกค้ามาให้กินหัวคิวต่อเพราะจริงๆทางก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ซึ่งก็คงจะจริงอย่างที่จขกท.คิดเพราะขากลับจองรถ taxi ไว้กับ agency ยังมารับได้ถึงหน้าโรงแรมเลย...หึๆๆ โดนลุงแขกเล่นตั้งแต่มาถึงเลยสินะ
สุดท้ายหลังจากลงเดินพักนึงก็ต้องขึ้น auto rickshaw เนื่องจากลากกระเป๋าเดินไม่ไหว (แต่ไม่ยอมขึ้นคิวตรงที่ลุง taxi ขี้โกงพามาส่งนะ โกรธมาน) สรุปโดนค่า taxi ไป 650 รูปี รวมกับค่า auto อีก 50 รูปีก็มาถึงโรงแรมได้แบบมึนๆ
โรงแรมที่จขกท.พักชื่อ Jagat Niwas Palace Hotel เป็นโรงแรมอยู่ใกล้วังและสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆมาก และที่สำคัญคือมีห้องพักริมน้ำไว้สำหรับดูวิวริมทะเลสาบ Pichola ด้วยล่ะ ^^
จขกท.ขอบอกตรงๆว่าก่อนมาก็ไม่ได้คาดหวังว่าเมืองนี้จะสวยตามที่หนังสือรีวิวบอกนะ ยิ่งเจอแขกโกงค่ารถหรือแม้แต่ทางที่ลากกระเป๋ามานี่มานแนวๆเมืองอินเดียต่างจังหวัดทั่วๆไปเลยคือค่อนข้างวุ่นวาย ทั้งรถทั้งวัว (และขี้วัวประปราย แต่ไม่ได้นัวมากเหมือน Jodhpur) แต่พอถึงห้องแล้วเปิดหน้าต่างดูวิวเท่านั้นล่ะ
"โอ้โหหหห+++! ที่นี่มานสวยเกินไปแล้วนะ!"
สวยจริงจังเหมือนไม่ได้อยู่อินเดียเลย ประมาณว่าทะเลสาบ-ภูเขา-วังโบราณรวมอยู่ในที่เดียว ตอนเช้าแสงส่องหาฝั่งภูเขาและทะเลสาบ ในขณะที่ช่วงเย็นแสงจะส่องเข้าหาฝั่งพระราชวังริมน้ำโรแมนติกมากกก สำหรับท่านใดที่สนใจมาเที่ยว Udaipur ที่พักริมน้ำมีพอสมควรซึ่งส่วนตัวจขกท.แนะนำให้เลือกที่ติดน้ำ ถึงราคาอาจจะสูงนิดนึงแต่ก็ถือว่าไม่มากถ้าเทียบกับที่พักที่ไทยหรือเมืองใหญ่ๆอย่างเดลีหรือมุมไบ เหมือนจ่ายเงินซื้อประสบการณ์ที่หาไม่ได้ในเมืองทั่วๆไปนะ
ราชาสถานสไตล์ที่ Bagore-ki Haveli
หลังจากชื่นชมกับวิวที่พัก แผนการณ์ต่อไปแนวๆว่าเป็น "a Must" นอกเหนือจากการไปเที่ยวพระราชวังคือการไปชมการแสดงพื้นเมืองของราชาสถานที่ Bagore-ki Haveli พิพิธภัณฑ์และเวทีการแสดงตั้งอยู่ริมท่าน้ำทีชื่อว่า Ganguar Ghat ซึ่งอยู่ห่างที่พักประมาณ 400 เมตร
ชื่อการแสดงพื้นเมืองอาจจะไม่น่าตื่นเต้น แต่เชื่อเถอะว่าที่นี่ไม่ธรรมดา การแสดงจะประกอบด้วยการเต้น การเชิดหุ่นกระบอก และการแสดงอื่นๆ ทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง โดยปกติจะมีรอบเดียวคือ 19:00-20:00 แต่ถ้าฤดูการท่องเที่ยวจะมีการเพิ่มรอบ 20:00-21:00 อีกรอบด้วย โดยที่ถ้าต้องการจองตั๋วจะต้องรีบไปต่อคิวแต่เนิ่นๆเพราะแถวจะยาวมากกกก (ไม่นับพวกแขกที่พยายามแทรกคิวให้อารมณ์เสียอีกบางส่วน) ประมาณว่าตั๋วเริ่มขาย 18:15 แต่คิวยาวตั้งแต่ห้าโมงกว่าๆแล้ว ราคาตั๋วอยู่ที่ 300 รูปีต่อคน ถ้าจะถ่ายรูปเก็บเพิ่มอีก 250 รูปี
สำหรับอาหารค่ำ จขกท.ทานที่ร้านอาหารด้านบนของโรงแรม Jagat Niwas ราคาจะสูงกว่าร้านทั่วๆไป (ราคาต่อจาน 200-400 รูปีหรือประมาณ 100-250 บาท รสชาติอร่อยสมกับที่เป็นร้านแนะนำ Lonely Planet)