จากอุบัติเหตุที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นในชีวิต ที่ หลายคนไม่เคยเชื่อว่า แค่อาการจามอย่างรุ่นแรงแล้วพลาดตกจากขอบเตียง ในครั้งนั้น ทำให้ผมถึงกับ เกือบเดินไม่ได้ เท้าทั้ง 2 ข้าง ไร้ความรู้สึกและไม่สามารถที่จะขยับได้ ส่วนหลังมีอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง ถึงกับต้องนอนนิ่งๆๆ ในขณะนั้น สมองคิดอะไรไม่ออก อดทนกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกระทันหัน ในเวลาก่อนที่ออกจากบ้านไปทำงานปกติ ต้องนอนนิ่งๆเพื่อให้ อาการเจ็บหลังลดลง ต้องคลานออกมาจากห้องลงจากชั้น 2 ลงมาชั้นล่าง ในสภาพเหมือน สุนัขโดยรถชน แล้วถึงมาของความช่วยเหลือจากแม่ และโทรหาเพื่อนที่ทำงานเอารถมารับไปส่งโรงพยาบาล ในช่วงเวลาสั้นๆๆนั้นแต่ความรู้สึกนั้นมันช่างยาวนานเหลือเกิน หลังจากนั้น หมอบอกให้กลับมานอนพักตัวที่บ้าน รักษาอาการหลังที่อักเสบ แต่อาการของขา เริ่มดีขึ้น แต่ก็ไม่เหมือนเดิม พอเดินได้เบาๆๆ โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาว อาการปวดหลังกำเริบหนักทุกวัน ถึงขนาดต้องนั่งหลับกันทีเดียว ส่วนขาจะมีอาการปวด และชา บริเวณน่อง ปัจจุบัณ อาการเหล่านั้นยังแวะมาเยี่ยมบ้าง แค่มาเตือนความทรงจำ และมาไม่นานไม่หายขาด
ในครั้งนั้น ทำให้มีเวลาที่จะศึกษาวิธีการต่างๆ เพื่อบรรเทาอาการที่เกิดขึ้น จนกระทั่งมาจบที่การออกกำลังกาย จากการวิ่ง เล่นเวท ว่ายน้ำ ตอนนั้น แค่เดินยังไม่ค่อยใหว แล้วจะต้องวิ่ง ยังคิดไม่ตก ก็เลย จึงเริ่มต้นจากการเดินตามสวนสาธารณะ เพื่อที่จะได้มีเพื่อน ไม่เหงา จนถึงร่างกายแข็งแรงขึ้นและ จึงเริ่มวิ่งบ้าง ครั้งแรกๆๆ 400 เมตร (ครึ่งรอบสวน ฯ) นี่หัวใจแทบหยุดเต้น เหนื่อยมาก ก็สะสม พลังไปเรื่อยๆ จนสามารถวิ่งรอบสวน ฯ ได้ 1 รอบ 800 เมตร เป็นเดือนเหมือนกันน่ะ ตอนนั้น คุยโม้ไปทั่วเลย 555
วันนั้นในอดีต จนถึงวันนี้ ผมผ่านงานวิ่งต่างๆบ้าง แต่ไม่เยอะเพราะที่ ลำปาง 1 ปี มีประมาณ 2-3 ครั้งเอง ส่วนใหญ่จะมีแค่ มินิ หลายปีผ่านไป จนมาถึง แอบลงฮาร์ฟแรกที่ ลำปาง งานแม่เมาะฮาร์ฟมินิมาราธอนปี 2559 เดือน สิงหาคม
และแอบสมัครฟลูแรกที่ งานเมืองไทยเชียงใหม่มาราธอน ปลายปี ในระหว่างนั้น ก็มีสมัครตามงานวิ่งต่างๆ อีกหลายที่ ทั้งในจังหวัดและ ต่างจังหวัด โดยไม่บอกใคร เพื่อเป็นการฝึกซ้อม เตรียมตัวสู่ฟลูแรก จนกระทั้งเดือนตุลาคม งานวิ่งต่างๆๆ ยกเลิกและเลื่อนรายการออกไป เกือบหมด ทำให้แผนการที่วางไว้ต้องเปลี่ยนแปลง (ต่อให้ยังมีผู้จัด ผมคงไปไม่ไหว จิตใจไม่แข็งแรงจนถึงทุกวันนี้)
ดังนั้นผมต้องตื่นแต่เช้า ตี 4 เพื่อออกมาซ้อมวิ่งทดแทน และทุกๆครั้งผมจะต้องมาที่ ลานคนเมือง 5 แยกหอนาฬิกา จ. ลำปาง เพื่อมากราบ พระบรมฉายาลักษณ์ ในหลวงในรัชกาลที่ 9 แล้วค่อยวิ่งต่อไป (บางวันก็ไม่วิ่งถือว่าเป็นวันพัก)
แล้วแต่ว่า ในวันนั้นมีเวลาแค่ใหน ถ้ามีมากเช่นในวันหยุดก็จะได้ 10-20 กม. เช่นวิ่งไปวัด ไปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ หรือไปถนนที่ไม่เคยไป
ซึ่งในระยะเวลาที่วิ่งบ้างเดินบ้าง ทำให้เห็นอะไรต่างๆที่ไม่เคยเห็น เพราะที่ผ่านมา เรา อาจจะขับรถเป็นส่วนใหญ่ จึงอาจที่พลาดเห็น
และในวันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคมนี้ วันแรกกับครั้งแรกที่ ลง วิ่ง มาราธอนระยะ 42.195 กม.ใน งาน เมืองไทยเชียงใหม่มาราธอน ไม่รู้เหมือนกันว่า ซ้อมที่ผ่านมา กับหลายหลายทฤษฎีที่ศึกษา นำมาปรับปรุง ให้เข้ากับตัวเองมากที่สุด ไม่เคยวิ่งนานเกิน 27 กม. ขึ้นไป , ไม่เคยวิ่งโซน 2ได้ นานเป็นชม. , ไม่เคยวิ่งรอบขาที่ สูง เกิน 170 โดยเฉลี่ย ,ค่า VO2 max ต่ำมาก ไม่ปกติ (555) วิ่งไปช้าๆเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ และ เหนือยก็พัก เดินได้ตำรวจไม่จับ แต่ที่พร้อมคือ ชุดวิ่ง(วิ่งความเร็วต่ำ แต่มั่นหน้าในแฟชั่นสูง) อุปกรณ์ ต่างๆ และ ใจกับพลังใจ
สุดท้ายแค่บอกว่า ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่ กำลังจะมีครั้งแรกในสนามนี้ หรือสนามอื่นๆ โดยจะไม่ยอมแพ้ ไม่ยอม DNF อยากให้มี ความทรงจำครั้งแรกดีงามเสมอไป เจอกันทักทายกันได้ ลากกันไปได้ อีกอย่าง คติในการวิ่งของผมคือ “เจอกล้องต้องไม่ตาย หน้าต้องยิ้ม”ครับ
ไว้เจอกันครับ
https://www.facebook.com/khunwisate
จากคนที่เกือบเดินไม่ได้ กำลังจะสู่ฟลูมาราธอนแรกในชีวิต
ในครั้งนั้น ทำให้มีเวลาที่จะศึกษาวิธีการต่างๆ เพื่อบรรเทาอาการที่เกิดขึ้น จนกระทั่งมาจบที่การออกกำลังกาย จากการวิ่ง เล่นเวท ว่ายน้ำ ตอนนั้น แค่เดินยังไม่ค่อยใหว แล้วจะต้องวิ่ง ยังคิดไม่ตก ก็เลย จึงเริ่มต้นจากการเดินตามสวนสาธารณะ เพื่อที่จะได้มีเพื่อน ไม่เหงา จนถึงร่างกายแข็งแรงขึ้นและ จึงเริ่มวิ่งบ้าง ครั้งแรกๆๆ 400 เมตร (ครึ่งรอบสวน ฯ) นี่หัวใจแทบหยุดเต้น เหนื่อยมาก ก็สะสม พลังไปเรื่อยๆ จนสามารถวิ่งรอบสวน ฯ ได้ 1 รอบ 800 เมตร เป็นเดือนเหมือนกันน่ะ ตอนนั้น คุยโม้ไปทั่วเลย 555
วันนั้นในอดีต จนถึงวันนี้ ผมผ่านงานวิ่งต่างๆบ้าง แต่ไม่เยอะเพราะที่ ลำปาง 1 ปี มีประมาณ 2-3 ครั้งเอง ส่วนใหญ่จะมีแค่ มินิ หลายปีผ่านไป จนมาถึง แอบลงฮาร์ฟแรกที่ ลำปาง งานแม่เมาะฮาร์ฟมินิมาราธอนปี 2559 เดือน สิงหาคม และแอบสมัครฟลูแรกที่ งานเมืองไทยเชียงใหม่มาราธอน ปลายปี ในระหว่างนั้น ก็มีสมัครตามงานวิ่งต่างๆ อีกหลายที่ ทั้งในจังหวัดและ ต่างจังหวัด โดยไม่บอกใคร เพื่อเป็นการฝึกซ้อม เตรียมตัวสู่ฟลูแรก จนกระทั้งเดือนตุลาคม งานวิ่งต่างๆๆ ยกเลิกและเลื่อนรายการออกไป เกือบหมด ทำให้แผนการที่วางไว้ต้องเปลี่ยนแปลง (ต่อให้ยังมีผู้จัด ผมคงไปไม่ไหว จิตใจไม่แข็งแรงจนถึงทุกวันนี้)
ดังนั้นผมต้องตื่นแต่เช้า ตี 4 เพื่อออกมาซ้อมวิ่งทดแทน และทุกๆครั้งผมจะต้องมาที่ ลานคนเมือง 5 แยกหอนาฬิกา จ. ลำปาง เพื่อมากราบ พระบรมฉายาลักษณ์ ในหลวงในรัชกาลที่ 9 แล้วค่อยวิ่งต่อไป (บางวันก็ไม่วิ่งถือว่าเป็นวันพัก) แล้วแต่ว่า ในวันนั้นมีเวลาแค่ใหน ถ้ามีมากเช่นในวันหยุดก็จะได้ 10-20 กม. เช่นวิ่งไปวัด ไปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ หรือไปถนนที่ไม่เคยไป ซึ่งในระยะเวลาที่วิ่งบ้างเดินบ้าง ทำให้เห็นอะไรต่างๆที่ไม่เคยเห็น เพราะที่ผ่านมา เรา อาจจะขับรถเป็นส่วนใหญ่ จึงอาจที่พลาดเห็น
และในวันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคมนี้ วันแรกกับครั้งแรกที่ ลง วิ่ง มาราธอนระยะ 42.195 กม.ใน งาน เมืองไทยเชียงใหม่มาราธอน ไม่รู้เหมือนกันว่า ซ้อมที่ผ่านมา กับหลายหลายทฤษฎีที่ศึกษา นำมาปรับปรุง ให้เข้ากับตัวเองมากที่สุด ไม่เคยวิ่งนานเกิน 27 กม. ขึ้นไป , ไม่เคยวิ่งโซน 2ได้ นานเป็นชม. , ไม่เคยวิ่งรอบขาที่ สูง เกิน 170 โดยเฉลี่ย ,ค่า VO2 max ต่ำมาก ไม่ปกติ (555) วิ่งไปช้าๆเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ และ เหนือยก็พัก เดินได้ตำรวจไม่จับ แต่ที่พร้อมคือ ชุดวิ่ง(วิ่งความเร็วต่ำ แต่มั่นหน้าในแฟชั่นสูง) อุปกรณ์ ต่างๆ และ ใจกับพลังใจ
สุดท้ายแค่บอกว่า ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่ กำลังจะมีครั้งแรกในสนามนี้ หรือสนามอื่นๆ โดยจะไม่ยอมแพ้ ไม่ยอม DNF อยากให้มี ความทรงจำครั้งแรกดีงามเสมอไป เจอกันทักทายกันได้ ลากกันไปได้ อีกอย่าง คติในการวิ่งของผมคือ “เจอกล้องต้องไม่ตาย หน้าต้องยิ้ม”ครับ
ไว้เจอกันครับ
https://www.facebook.com/khunwisate