ขอบคุณทุกๆ คนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ คุณ ริมแม่โขง, คุณแอนนี่ annie <harmonica>, คุณนัน turtle_cheesecake, น้องดาว Lady Star 919, คุณลิ ลายลิขิต, คุณ สมาชิกหมายเลข 3415748, คุณ สายป่านสีชมพู, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตทุกคะแนนด้วยค่ะ
บทแรก - บทที่ 1
http://ppantip.com/topic/35638204
บทที่ 2 - บทที่ 3
http://ppantip.com/topic/35648626
บทที่ 4
http://ppantip.com/topic/35655325
บทที่ 5
http://ppantip.com/topic/35665748
บทที่ 6
http://ppantip.com/topic/35669708
บทที่ 7
http://ppantip.com/topic/35673616
บทที่ 8
ร่างใหญ่โตในเงามืดเข้าประชิดรวดเร็วเสียจนหญิงสาวตั้งหลักไม่ทัน พอรู้แน่ว่าเป็นใครก็อ่อนเปลี้ยไปทั้งตัว ความวิตกกังวลที่ค้างคาอยู่ในใจมานาน...ตลอดเวลานับแต่ญี่ปุ่นยกกองทหารเข้าพระนครเลยก็ว่าได้ เมื่อมาประกอบกับหวาดระแวงสภาพรอบตัวในเวลานี้ อีกทั้งเกือบสิบปีที่รับภาระหนักอึ้ง ต้องดูแลบ้านช่องและผู้คนในครอบครัวแทนสามี ทั้งหมดนั้นเหมือนจะทับถมลงมาพร้อมกัน เพิ่งตระหนักเอาก็ตอนนี้เองว่าได้แบกทั้งหมดไว้กับตัวเพียงผู้เดียวมานานเพียงไร
ร่างน้อยพับลงในอ้อมแขนแกร่งเมื่อเขาเข้ามาโอบเอาไว้ทั้งตัว ครางชื่อซึ่งตราตรึงอยู่ในหัวใจมานานกว่าสิบปี…ชื่อซึ่งฝังแนบแน่นอยู่ที่นั่นมาชั่วชีวิตก็ว่าได้
"คุณราม..."
เมื่อรู้สึกถึงความอบอุ่นมั่นคงที่โหยหามาแสนนาน ไอรีนปล่อยโฮด้วยยั้งไว้ไม่อยู่อีกแล้ว ราวทำนบที่สกัดกั้นกระแสอารมณ์ไว้เนิ่นนานได้พังทลายลงชั่วพริบตา สองมือยึดแผ่นหลังของเขาไว้มั่น
รามลูบไล้ศีรษะเล็กๆ ที่แนบอยู่กับอก แม้มองเห็นไม่ชัดเจนสักเท่าไรนักในเมื่อรอบตัวมืดสนิท มีเพียงแสงจากตะเกียงลานซึ่งทาสีดำไว้เกือบทั้งหมดดวงเดียวเท่านั้น หากก็รู้สึกได้ไม่ยากถึงเส้นผมนุ่มมือที่สั้นผิดปกติ ผิวละมุนที่สัมผัสท่อนแขนเย็นชื้น จึงคลี่ผ้าขนหนูซึ่งเจ้าของบ้านให้มาออกคลุมไหล่ให้อย่างนุ่มนวล รู้ดีว่าควรปลอบอย่างไร
"อากาศเย็นอย่างนี้ อาบน้ำค่ำๆ มืดๆ ไข้จับเอาง่ายๆ ไม่รู้หรอกหรือ" สุ้มเสียงนั้นแฝงความเอ็นดูเปี่ยมล้น หาใช่ตำหนิ หากเป็นการเย้าแหย่เสียละมากกว่า รู้ว่าวิธีนี้ได้ผลเสมอ
ไอรีนซุกหน้ากับแผ่นอกกว้างของสามี ยิ้มออกมาได้ทั้งน้ำตา ตระหนักอยู่ลึกๆ ว่าเมื่ออยู่กับเขาเธอกลับแสดงความอ่อนแอได้อีกครั้ง ไม่จำเป็นต้องทำตัวเข้มแข็งตลอดเวลาเพื่อให้ใครต่อใครถือเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวอีกต่อไป
ร่ำไห้จนแทบไม่เหลือน้ำตาอีกแล้ว จึงผละห่างออกมานิดหนึ่ง
"คุณรามเปียกหมดแล้วค่ะ" ถ้อยคำเหล่านั้นยังคงปนเสียงถอนสะอื้นเมื่อดึงชายผ้าขนหนูขึ้นซับน้ำตา
"เปียกก็จะเป็นไรไป ก็เปียกด้วยกันอย่างนี้แหละ" รามก้มลงหาจนใกล้ "อาบน้ำเสร็จหรือยังละนี่"
คุณหญิงวัยสาวอุบๆ อิบๆ คำตอบ "เสร็จแล้วค่ะ"
แสร้งดึงผ้าขนหนูบริเวณไหล่ให้กระชับขึ้นเมื่อเห็นว่าเขากำลังจ้องอย่างเพ่งพินิจ พอเดาได้ว่ากำลังมองอะไร
แม้จะมืด แต่ผมของภรรยาสั้นขนาดนี้ ทำไมเจ้าคุณหนุ่มจะดูไม่ออก
“ใครตัดผมให้” เสียงห้าวนุ่มนวล อ่อนโยน
เธอแตะผมตัวเองราวสำนึกผิด “ตัดเองค่ะ”
“ตัดทำไม”
กระอึกกระอักเลยทีเดียวเมื่อเจอคำถามนั้นเข้า
“ดิ...ดิฉันคิดว่าต้องขึ้นรถไฟมาคนเดียว มาถึงแล้วก็ไม่แน่ใจว่าจะได้พบคุณรามเลยหรือเปล่า ไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง...ในเวลาอย่างนี้ ก็เลย...”
“ก็เลยตัดผมให้เหมือนผู้ชาย” เขาต่อให้ก่อนที่เธอจะจบประโยค เข้าใจอยู่หรอกว่าทำไม
“คุณรามคงไม่ว่ากระไร อีกไม่นานก็ยาวเหมือนเดิมนะคะ” คำสารภาพผิดวนเวียนอยู่เพียงริมฝีปาก
คำตอบคือริมฝีปากอบอุ่นทาบลงบนผมตัดสั้นจนแทบติดหนังศีรษะนั้น แล้วไล้เรื่อยลงมาที่แก้มนวล
“จะให้ฉันว่าอะไรล่ะ” เสียงห้าวๆ กระซิบอยู่ริมหู รวบร่างน้อยเข้าหาตัวอีกครั้ง เข้าใจดีว่าหญิงสาวเสี่ยงเพียงไรที่มาตามหาเขาในสถานการณ์เช่นนี้
คราวนี้เธอพยายามผลักอกเขาให้ออกห่างเมื่อรู้สึกถึงความชื้นบนเสื้อที่เขาสวม แน่ใจว่ามาจากทั้งน้ำตาและจากหยดน้ำบนตัวเธอ
"ดิฉันเปียกค่ะคุณราม คุณพลอยเปียกไปด้วยแล้ว"
รามหัวเราะหึๆ ในลำคออย่างอารมณ์ดี
"ถ้าอยากเปียกบ้างล่ะ จะเป็นไรไหม"
หากก็ยอมปล่อยแต่โดยดี
"ถ้าคุณเปียกเหมือนดิฉัน อากาศเย็นอย่างนี้ ไข้จับเอาง่ายๆ นะคะ" ประโยคหลังเริ่มกล้าพอที่จะยอกย้อนด้วยคำพูดของเขาเอง
รามปล่อยหัวเราะชอบอกชอบใจ
“ช่างย้อนนัก” เสียงห้าวสะท้อนความรู้สึกลึกซึ้งเต็มเปี่ยม “ผลัดผ้าเสียดีไหม”
ผ้าถุงผืนใหม่ ลายพร้อยด้วยลวดลายดอกไม้หลากสียื่นมาตรงหน้า ราวเขารู้ว่าเธอไม่ได้เอาผ้าถุงสำหรับผลัดเปลี่ยนติดมือลงมาด้วย
กระเป๋าปัดที่ใช้ใส่เสื้อผ้ามาจากบ้านมีขนาดเล็ก ไอรีนจึงมีผ้าถุงผืนนี้มาเพียงผืนเดียว ตั้งใจว่าอาบน้ำเสร็จก็จะบิดชายให้หมาด แล้วกลับขึ้นเรือนทั้งเปียกๆ อย่างนี้ แต่เมื่อเขาเอามาให้ด้วยตัวเอง ก็จำต้องรับมาทั้งที่เกรงใจ ผู้ชายอย่างคุณรามไม่ควรต้องเป็นคนเอาผ้าถุงมาให้ภรรยาผลัดอย่างนี้ เธอถูกสอนมาหนักหนาว่าไม่เหมาะสม
หากกระนั้นก็ยังแอบพึงพอใจอยู่เงียบๆ มีความรู้สึกประหนึ่งตัวกลับเป็นเด็กสาว...อ่อนทั้งวัยและประสบการณ์ผ่านโลก...เด็กสาวซึ่งเคยมีเขาคอยปกป้องดูแล นานแค่ไหนแล้วที่ห่างเหินความรู้สึกเช่นนี้ แปดปีที่แล้ว เมื่อครั้งที่เขาเข้าร่วมกับฝ่ายซึ่งถูกเรียกในภายหลังว่ากบฏ และถูกจับไปคุมขังนั้น เธอยังเรียกว่าเพิ่งจะเต็มสาวก็ว่าได้
น่าแปลก ตลอดเวลาแปดปีที่ห่างกัน มีอะไรอยากถามเขาและอยากบอกเขามากเหลือเกิน เรื่องที่อยากปรึกษาก็หลายเรื่อง ที่อยากระบายให้ได้รับรู้ก็มาก หากพอเขามายืนอยู่ตรงหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตั้งใจว่าจะทำ ตั้งใจว่าจะบอก กลับลืมเลือนไปจนหมดสิ้น อากัปกิริยาเอาใจใส่ คำพูดที่แสดงชัดถึงความเอ็นดูซึ่งเขามีให้ไม่เคยแปรเปลี่ยนนั้น ทำให้รู้สึกประหนึ่งว่าไม่เคยห่างกันนานขนาดนี้ ประหนึ่งว่าเขาออกจากบ้านเพื่อขึ้นรถไฟไปอยุธยาเมื่อวานนี้เอง
…และวันนี้เขาก็กลับมาแล้ว
“ผ้าถุงของแม่ย้วยหรือคะ”
“ฮื่อ...ของแม่ย้วย ขอยืมเขามาให้”
รามบอกตามตรง ยังไม่วายพินิจพิจารณาผู้เป็นภรรยาอยู่อย่างนั้นเอง
แม้รอบด้านจะไม่สว่าง หากคุณหญิงวัยสาวก็ยังขัดเขิน มิใช่เพียงเพราะห่างเหินกันถึงแปดปีเท่านั้นหรอก แต่เธอไม่เคยผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าเขาหรือใครๆ มาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว
"คุณรามหันไปทางโน้นก่อนสิคะ" ไม่บอกเปล่า นิ้วชี้ไปทางด้านหลังของเขาประกอบด้วย
รามหัวเราะหึๆ ในลำคอ “ก็ได้”
ร่างทั้งสูงทั้งหนายอมหมุนตัวหันหลังให้แต่โดยดี
“หิวไหม แม่ย้วยกำลังจัดสำรับให้" เขาถามทั้งที่ยังหันหลังให้อย่างนั้น
ไอรีนคลี่ผ้าถุงที่ได้มาสวมทางศีรษะ มองแผ่นหลังกว้างอย่างระมัดระวัง เสื้อมัสกรีสีขาวที่เขาสวมสว่างโพลนตาอยู่ในความมืด
"ยังไม่หิวเลยค่ะ เมื่อบ่ายตอนที่มาถึงที่นี่แม่ย้วยก็จัดสำรับให้"
รามเหลียวหลังมาดูนิดหนึ่ง เห็นว่าภรรยาผลัดผ้าเรียบร้อยแล้ว และกำลังพับทบผ้าถุงผืนที่เปียกน้ำ จึงก้มลงหยิบตะเกียงลานขึ้นมาถือไว้
"อย่างไรก็กินเสียหน่อยเถอะนะ ฉลองศรัทธาแม่ย้วยเขาเสียหน่อย กินเสร็จแล้วเราจะได้ไปกันเลย"
คนเป็นภรรยาเงยหน้าขึ้นมอง มือที่กำลังจะบิดผ้าชะงักไปอึดใจหนึ่ง
"ไปไหนคะ"
"ลังกาวีอย่างไรเล่า เธอจะไปหาฉันที่ลังกาวีมิใช่รึ เห็นสง่าบอกว่าอย่างนั้น"
คำตอบตามมาทันควัน ก่อนที่เขาจะจบประโยคหลังเสียด้วยซ้ำ
"ค่ะ ดิฉันตั้งใจจะไปหาคุณรามที่ลังกาวี"
ตั้งใจไว้แล้วว่านับแต่นี้ไป ไม่ว่าเขาไปไหน เธอจะตามไปด้วย ไม่ว่าเขาอยู่ที่ไหน เธอจะตามไปอยู่ที่นั่น บ้านที่แท้จริงของเธอคือตัวเขานี่แหละ
"บ้านที่ฉันอยู่ที่ลังกาวีไม่สะดวกสบายสักเท่าไรหรอกนะ"
รามออกตัว สบนัยน์ตาใส...เปล่งประกายระยิบระยับราวจะแข่งกับดวงดาว ไล้หลังมือไปตามแนวแก้มบาง...กระจ่างนวลในความสลัวราง เมื่อได้ยินคำตอบ
"ไม่ว่าคุณรามอยู่ที่ไหน ไม่ว่าที่นั่นจะเป็นอย่างไร ดิฉันจะไปอยู่ด้วยค่ะ"
ใครว่าผู้หญิงไม่มีโอกาสได้เลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง เธอกำลังเลือกอยู่นี่อย่างไรเล่า เลือกที่จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ข้างหลัง ทั้งสมบัติพัสถานเหลือคณานับ ทั้งบ้านและเรือกสวนไร่นานับร้อยไร่ แล้วดั้นด้นมาหาชายผู้เคยเป็นทั้งหลักยึดมั่นคง และไม้ใหญ่ให้เงาร่มเย็นนับแต่ย่างเข้าสู่วัยสาวเลยทีเดียว
รามยิ้มอย่างพึงพอใจ รวบร่างน้อยมาแนบอกอีกครั้ง
"ฉันก็อยากให้เป็นอย่างนั้น"
ความตั้งใจที่จะถามถึงความเป็นไปทางบ้านนั้นไม่มีความสำคัญในขณะนี้ ที่จริงอยากถามถึงน้องสาว อยากถามถึงผู้คนที่บ้าน ถามถึงผลของสงครามที่มีต่อประเทศชาติ คิดเสมอว่าปล่อยภาระให้ภรรยาดูแลบ้านมานานเพียงพอแล้ว
หากทว่าเวลานี้ยังไม่อยากยกเอาเรื่องอื่นขึ้นมาพูดถึงให้เป็นกังวลกันอีก ยังมีเวลาพูดคุยกันอีกมาก
เมื่อกลับขึ้นเรือน ก็เห็นว่านางย้วยจัดสำรับอาหารไว้ให้เรียบร้อย นายเสงี่ยมซึ่งเป็นคนไปส่งข่าวคราวเกี่ยวกับภรรยาถึงลังกาวีก็ยังคงอยู่
รามถือตะเกียงเดินนำขึ้นบันไดมาก่อน แต่ก็ยังไม่วายเป็นห่วงภรรยาซึ่งตามมาข้างหลัง ชูตะเกียงขึ้นสูงเพื่อส่องทางให้ พลางออกปากเตือน
"ระวังบันไดขั้นนี้หน่อยนะ มันลื่น" พยักพเยิดลงบนแผ่นไม้แคบๆ ที่ตัวเพิ่งผ่านขึ้นมา
ไอรีนก้มลงดูตามสายตาสามี แล้วลอบยิ้มกับตัวเอง แน่ใจว่าเขาคงไม่เห็นเพราะมืดเกินไป ก็ถ้าห่วงนัก ทำไมไม่ให้เธอเป็นคนถือตะเกียงเองเล่า
ในฝั่งฝัน (บทที่ 8)
ขอบคุณ คุณ ริมแม่โขง, คุณแอนนี่ annie <harmonica>, คุณนัน turtle_cheesecake, น้องดาว Lady Star 919, คุณลิ ลายลิขิต, คุณ สมาชิกหมายเลข 3415748, คุณ สายป่านสีชมพู, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตทุกคะแนนด้วยค่ะ
บทแรก - บทที่ 1 http://ppantip.com/topic/35638204
บทที่ 2 - บทที่ 3 http://ppantip.com/topic/35648626
บทที่ 4 http://ppantip.com/topic/35655325
บทที่ 5 http://ppantip.com/topic/35665748
บทที่ 6 http://ppantip.com/topic/35669708
บทที่ 7 http://ppantip.com/topic/35673616
ร่างใหญ่โตในเงามืดเข้าประชิดรวดเร็วเสียจนหญิงสาวตั้งหลักไม่ทัน พอรู้แน่ว่าเป็นใครก็อ่อนเปลี้ยไปทั้งตัว ความวิตกกังวลที่ค้างคาอยู่ในใจมานาน...ตลอดเวลานับแต่ญี่ปุ่นยกกองทหารเข้าพระนครเลยก็ว่าได้ เมื่อมาประกอบกับหวาดระแวงสภาพรอบตัวในเวลานี้ อีกทั้งเกือบสิบปีที่รับภาระหนักอึ้ง ต้องดูแลบ้านช่องและผู้คนในครอบครัวแทนสามี ทั้งหมดนั้นเหมือนจะทับถมลงมาพร้อมกัน เพิ่งตระหนักเอาก็ตอนนี้เองว่าได้แบกทั้งหมดไว้กับตัวเพียงผู้เดียวมานานเพียงไร
ร่างน้อยพับลงในอ้อมแขนแกร่งเมื่อเขาเข้ามาโอบเอาไว้ทั้งตัว ครางชื่อซึ่งตราตรึงอยู่ในหัวใจมานานกว่าสิบปี…ชื่อซึ่งฝังแนบแน่นอยู่ที่นั่นมาชั่วชีวิตก็ว่าได้
"คุณราม..."
เมื่อรู้สึกถึงความอบอุ่นมั่นคงที่โหยหามาแสนนาน ไอรีนปล่อยโฮด้วยยั้งไว้ไม่อยู่อีกแล้ว ราวทำนบที่สกัดกั้นกระแสอารมณ์ไว้เนิ่นนานได้พังทลายลงชั่วพริบตา สองมือยึดแผ่นหลังของเขาไว้มั่น
รามลูบไล้ศีรษะเล็กๆ ที่แนบอยู่กับอก แม้มองเห็นไม่ชัดเจนสักเท่าไรนักในเมื่อรอบตัวมืดสนิท มีเพียงแสงจากตะเกียงลานซึ่งทาสีดำไว้เกือบทั้งหมดดวงเดียวเท่านั้น หากก็รู้สึกได้ไม่ยากถึงเส้นผมนุ่มมือที่สั้นผิดปกติ ผิวละมุนที่สัมผัสท่อนแขนเย็นชื้น จึงคลี่ผ้าขนหนูซึ่งเจ้าของบ้านให้มาออกคลุมไหล่ให้อย่างนุ่มนวล รู้ดีว่าควรปลอบอย่างไร
"อากาศเย็นอย่างนี้ อาบน้ำค่ำๆ มืดๆ ไข้จับเอาง่ายๆ ไม่รู้หรอกหรือ" สุ้มเสียงนั้นแฝงความเอ็นดูเปี่ยมล้น หาใช่ตำหนิ หากเป็นการเย้าแหย่เสียละมากกว่า รู้ว่าวิธีนี้ได้ผลเสมอ
ไอรีนซุกหน้ากับแผ่นอกกว้างของสามี ยิ้มออกมาได้ทั้งน้ำตา ตระหนักอยู่ลึกๆ ว่าเมื่ออยู่กับเขาเธอกลับแสดงความอ่อนแอได้อีกครั้ง ไม่จำเป็นต้องทำตัวเข้มแข็งตลอดเวลาเพื่อให้ใครต่อใครถือเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวอีกต่อไป
ร่ำไห้จนแทบไม่เหลือน้ำตาอีกแล้ว จึงผละห่างออกมานิดหนึ่ง
"คุณรามเปียกหมดแล้วค่ะ" ถ้อยคำเหล่านั้นยังคงปนเสียงถอนสะอื้นเมื่อดึงชายผ้าขนหนูขึ้นซับน้ำตา
"เปียกก็จะเป็นไรไป ก็เปียกด้วยกันอย่างนี้แหละ" รามก้มลงหาจนใกล้ "อาบน้ำเสร็จหรือยังละนี่"
คุณหญิงวัยสาวอุบๆ อิบๆ คำตอบ "เสร็จแล้วค่ะ"
แสร้งดึงผ้าขนหนูบริเวณไหล่ให้กระชับขึ้นเมื่อเห็นว่าเขากำลังจ้องอย่างเพ่งพินิจ พอเดาได้ว่ากำลังมองอะไร
แม้จะมืด แต่ผมของภรรยาสั้นขนาดนี้ ทำไมเจ้าคุณหนุ่มจะดูไม่ออก
“ใครตัดผมให้” เสียงห้าวนุ่มนวล อ่อนโยน
เธอแตะผมตัวเองราวสำนึกผิด “ตัดเองค่ะ”
“ตัดทำไม”
กระอึกกระอักเลยทีเดียวเมื่อเจอคำถามนั้นเข้า
“ดิ...ดิฉันคิดว่าต้องขึ้นรถไฟมาคนเดียว มาถึงแล้วก็ไม่แน่ใจว่าจะได้พบคุณรามเลยหรือเปล่า ไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง...ในเวลาอย่างนี้ ก็เลย...”
“ก็เลยตัดผมให้เหมือนผู้ชาย” เขาต่อให้ก่อนที่เธอจะจบประโยค เข้าใจอยู่หรอกว่าทำไม
“คุณรามคงไม่ว่ากระไร อีกไม่นานก็ยาวเหมือนเดิมนะคะ” คำสารภาพผิดวนเวียนอยู่เพียงริมฝีปาก
คำตอบคือริมฝีปากอบอุ่นทาบลงบนผมตัดสั้นจนแทบติดหนังศีรษะนั้น แล้วไล้เรื่อยลงมาที่แก้มนวล
“จะให้ฉันว่าอะไรล่ะ” เสียงห้าวๆ กระซิบอยู่ริมหู รวบร่างน้อยเข้าหาตัวอีกครั้ง เข้าใจดีว่าหญิงสาวเสี่ยงเพียงไรที่มาตามหาเขาในสถานการณ์เช่นนี้
คราวนี้เธอพยายามผลักอกเขาให้ออกห่างเมื่อรู้สึกถึงความชื้นบนเสื้อที่เขาสวม แน่ใจว่ามาจากทั้งน้ำตาและจากหยดน้ำบนตัวเธอ
"ดิฉันเปียกค่ะคุณราม คุณพลอยเปียกไปด้วยแล้ว"
รามหัวเราะหึๆ ในลำคออย่างอารมณ์ดี
"ถ้าอยากเปียกบ้างล่ะ จะเป็นไรไหม"
หากก็ยอมปล่อยแต่โดยดี
"ถ้าคุณเปียกเหมือนดิฉัน อากาศเย็นอย่างนี้ ไข้จับเอาง่ายๆ นะคะ" ประโยคหลังเริ่มกล้าพอที่จะยอกย้อนด้วยคำพูดของเขาเอง
รามปล่อยหัวเราะชอบอกชอบใจ
“ช่างย้อนนัก” เสียงห้าวสะท้อนความรู้สึกลึกซึ้งเต็มเปี่ยม “ผลัดผ้าเสียดีไหม”
ผ้าถุงผืนใหม่ ลายพร้อยด้วยลวดลายดอกไม้หลากสียื่นมาตรงหน้า ราวเขารู้ว่าเธอไม่ได้เอาผ้าถุงสำหรับผลัดเปลี่ยนติดมือลงมาด้วย
กระเป๋าปัดที่ใช้ใส่เสื้อผ้ามาจากบ้านมีขนาดเล็ก ไอรีนจึงมีผ้าถุงผืนนี้มาเพียงผืนเดียว ตั้งใจว่าอาบน้ำเสร็จก็จะบิดชายให้หมาด แล้วกลับขึ้นเรือนทั้งเปียกๆ อย่างนี้ แต่เมื่อเขาเอามาให้ด้วยตัวเอง ก็จำต้องรับมาทั้งที่เกรงใจ ผู้ชายอย่างคุณรามไม่ควรต้องเป็นคนเอาผ้าถุงมาให้ภรรยาผลัดอย่างนี้ เธอถูกสอนมาหนักหนาว่าไม่เหมาะสม
หากกระนั้นก็ยังแอบพึงพอใจอยู่เงียบๆ มีความรู้สึกประหนึ่งตัวกลับเป็นเด็กสาว...อ่อนทั้งวัยและประสบการณ์ผ่านโลก...เด็กสาวซึ่งเคยมีเขาคอยปกป้องดูแล นานแค่ไหนแล้วที่ห่างเหินความรู้สึกเช่นนี้ แปดปีที่แล้ว เมื่อครั้งที่เขาเข้าร่วมกับฝ่ายซึ่งถูกเรียกในภายหลังว่ากบฏ และถูกจับไปคุมขังนั้น เธอยังเรียกว่าเพิ่งจะเต็มสาวก็ว่าได้
น่าแปลก ตลอดเวลาแปดปีที่ห่างกัน มีอะไรอยากถามเขาและอยากบอกเขามากเหลือเกิน เรื่องที่อยากปรึกษาก็หลายเรื่อง ที่อยากระบายให้ได้รับรู้ก็มาก หากพอเขามายืนอยู่ตรงหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตั้งใจว่าจะทำ ตั้งใจว่าจะบอก กลับลืมเลือนไปจนหมดสิ้น อากัปกิริยาเอาใจใส่ คำพูดที่แสดงชัดถึงความเอ็นดูซึ่งเขามีให้ไม่เคยแปรเปลี่ยนนั้น ทำให้รู้สึกประหนึ่งว่าไม่เคยห่างกันนานขนาดนี้ ประหนึ่งว่าเขาออกจากบ้านเพื่อขึ้นรถไฟไปอยุธยาเมื่อวานนี้เอง
…และวันนี้เขาก็กลับมาแล้ว
“ผ้าถุงของแม่ย้วยหรือคะ”
“ฮื่อ...ของแม่ย้วย ขอยืมเขามาให้”
รามบอกตามตรง ยังไม่วายพินิจพิจารณาผู้เป็นภรรยาอยู่อย่างนั้นเอง
แม้รอบด้านจะไม่สว่าง หากคุณหญิงวัยสาวก็ยังขัดเขิน มิใช่เพียงเพราะห่างเหินกันถึงแปดปีเท่านั้นหรอก แต่เธอไม่เคยผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าเขาหรือใครๆ มาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว
"คุณรามหันไปทางโน้นก่อนสิคะ" ไม่บอกเปล่า นิ้วชี้ไปทางด้านหลังของเขาประกอบด้วย
รามหัวเราะหึๆ ในลำคอ “ก็ได้”
ร่างทั้งสูงทั้งหนายอมหมุนตัวหันหลังให้แต่โดยดี
“หิวไหม แม่ย้วยกำลังจัดสำรับให้" เขาถามทั้งที่ยังหันหลังให้อย่างนั้น
ไอรีนคลี่ผ้าถุงที่ได้มาสวมทางศีรษะ มองแผ่นหลังกว้างอย่างระมัดระวัง เสื้อมัสกรีสีขาวที่เขาสวมสว่างโพลนตาอยู่ในความมืด
"ยังไม่หิวเลยค่ะ เมื่อบ่ายตอนที่มาถึงที่นี่แม่ย้วยก็จัดสำรับให้"
รามเหลียวหลังมาดูนิดหนึ่ง เห็นว่าภรรยาผลัดผ้าเรียบร้อยแล้ว และกำลังพับทบผ้าถุงผืนที่เปียกน้ำ จึงก้มลงหยิบตะเกียงลานขึ้นมาถือไว้
"อย่างไรก็กินเสียหน่อยเถอะนะ ฉลองศรัทธาแม่ย้วยเขาเสียหน่อย กินเสร็จแล้วเราจะได้ไปกันเลย"
คนเป็นภรรยาเงยหน้าขึ้นมอง มือที่กำลังจะบิดผ้าชะงักไปอึดใจหนึ่ง
"ไปไหนคะ"
"ลังกาวีอย่างไรเล่า เธอจะไปหาฉันที่ลังกาวีมิใช่รึ เห็นสง่าบอกว่าอย่างนั้น"
คำตอบตามมาทันควัน ก่อนที่เขาจะจบประโยคหลังเสียด้วยซ้ำ
"ค่ะ ดิฉันตั้งใจจะไปหาคุณรามที่ลังกาวี"
ตั้งใจไว้แล้วว่านับแต่นี้ไป ไม่ว่าเขาไปไหน เธอจะตามไปด้วย ไม่ว่าเขาอยู่ที่ไหน เธอจะตามไปอยู่ที่นั่น บ้านที่แท้จริงของเธอคือตัวเขานี่แหละ
"บ้านที่ฉันอยู่ที่ลังกาวีไม่สะดวกสบายสักเท่าไรหรอกนะ"
รามออกตัว สบนัยน์ตาใส...เปล่งประกายระยิบระยับราวจะแข่งกับดวงดาว ไล้หลังมือไปตามแนวแก้มบาง...กระจ่างนวลในความสลัวราง เมื่อได้ยินคำตอบ
"ไม่ว่าคุณรามอยู่ที่ไหน ไม่ว่าที่นั่นจะเป็นอย่างไร ดิฉันจะไปอยู่ด้วยค่ะ"
ใครว่าผู้หญิงไม่มีโอกาสได้เลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง เธอกำลังเลือกอยู่นี่อย่างไรเล่า เลือกที่จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ข้างหลัง ทั้งสมบัติพัสถานเหลือคณานับ ทั้งบ้านและเรือกสวนไร่นานับร้อยไร่ แล้วดั้นด้นมาหาชายผู้เคยเป็นทั้งหลักยึดมั่นคง และไม้ใหญ่ให้เงาร่มเย็นนับแต่ย่างเข้าสู่วัยสาวเลยทีเดียว
รามยิ้มอย่างพึงพอใจ รวบร่างน้อยมาแนบอกอีกครั้ง
"ฉันก็อยากให้เป็นอย่างนั้น"
ความตั้งใจที่จะถามถึงความเป็นไปทางบ้านนั้นไม่มีความสำคัญในขณะนี้ ที่จริงอยากถามถึงน้องสาว อยากถามถึงผู้คนที่บ้าน ถามถึงผลของสงครามที่มีต่อประเทศชาติ คิดเสมอว่าปล่อยภาระให้ภรรยาดูแลบ้านมานานเพียงพอแล้ว
หากทว่าเวลานี้ยังไม่อยากยกเอาเรื่องอื่นขึ้นมาพูดถึงให้เป็นกังวลกันอีก ยังมีเวลาพูดคุยกันอีกมาก
เมื่อกลับขึ้นเรือน ก็เห็นว่านางย้วยจัดสำรับอาหารไว้ให้เรียบร้อย นายเสงี่ยมซึ่งเป็นคนไปส่งข่าวคราวเกี่ยวกับภรรยาถึงลังกาวีก็ยังคงอยู่
รามถือตะเกียงเดินนำขึ้นบันไดมาก่อน แต่ก็ยังไม่วายเป็นห่วงภรรยาซึ่งตามมาข้างหลัง ชูตะเกียงขึ้นสูงเพื่อส่องทางให้ พลางออกปากเตือน
"ระวังบันไดขั้นนี้หน่อยนะ มันลื่น" พยักพเยิดลงบนแผ่นไม้แคบๆ ที่ตัวเพิ่งผ่านขึ้นมา
ไอรีนก้มลงดูตามสายตาสามี แล้วลอบยิ้มกับตัวเอง แน่ใจว่าเขาคงไม่เห็นเพราะมืดเกินไป ก็ถ้าห่วงนัก ทำไมไม่ให้เธอเป็นคนถือตะเกียงเองเล่า