ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ คุณดาว Lady Star 919, คุณสายป่านสีชมพู, จารย์จี GTW, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณป้าทุยบ้านทุ่ง
ขอบคุณคะแนนโหวตทุกคะแนนด้วยค่ะ
บทก่อนๆ ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บทนำ - บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/35375611
บทที่ ๒ - บทที่ ๓ http://ppantip.com/topic/35379337
บทที่ ๔ http://ppantip.com/topic/35383294
บทที่ ๕ http://ppantip.com/topic/35386265
บทที่ ๖ http://ppantip.com/topic/35389519
บทที่ ๗ http://ppantip.com/topic/35392675
บทที่ ๘ http://ppantip.com/topic/35400069
บทที่ ๙ http://ppantip.com/topic/35407698
บทที่ ๑๐ http://ppantip.com/topic/35411784
บทที่ ๑๑ http://ppantip.com/topic/35422278
บทที่ ๑๒ http://ppantip.com/topic/35430211
บทที่ ๑๓ http://ppantip.com/topic/35437896
บทที่ ๑๔ http://ppantip.com/topic/35447627
บทที่ ๑๕ http://ppantip.com/topic/35454229
บทที่ ๑๖ http://ppantip.com/topic/35460996
บทที่ ๑๗ http://ppantip.com/topic/35467701
บทที่ ๑๘ http://ppantip.com/topic/35478177
บทที่ ๑๙ http://ppantip.com/topic/35484261
บทที่ ๒๐ http://ppantip.com/topic/35490729
บทที่ ๒๑ http://ppantip.com/topic/35500221
บทที่ ๒๒
เพียงแตะเบาๆ ที่แขนรามก็รู้สึกถึงความผิดปกติ แขนกลมกลึงข้างนั้นร้อนระอุราวสุมไฟ เมื่อลองใช้หลังมือแตะที่หน้าผาก ก็เห็นว่าร้อนจัดพอกัน
"ไอรีน" จึงพยายามปลุก "ขึ้นไปนอนข้างบนเถอะ"
คำตอบมีเพียงเสียงครางแผ่วเครือจากริมฝีปากซึ่งกำลังแดงจัดด้วยพิษไข้...เช่นเดียวกับผิวแก้ม ร่างน้อยขดอยู่บนเก้าอี้ซึ่งลากมาวางไว้ข้างหน้าต่าง ศีรษะเอียงซบอยู่กับพนัก สองมือซุกไว้กับซอกคอ จากเก้าอี้ตัวนี้มองออกไปเห็นทางเดินรถหน้าตัวตึก รู้ได้โดยไม่ต้องมีใครบอกว่าสาวน้อยมานั่งคอยจนหลับไปเอง ลองทาบมือลงที่ซอกคอ ก็เห็นว่าชื้นเหงื่อและร้อนเสียยิ่งกว่าหน้าผาก ชายหนุ่มแน่ใจว่าภรรยากำลังมีไข้สูงเช่นเดียวกับมารดา ทำให้กังวลว่าอาจเป็นโรคเดียวกัน จึงลองปลุกอีกครั้ง คราวนี้เขย่าแขนเบาๆร่วมด้วย
"ไอรีน ตื่นเถอะ ขึ้นไปนอนข้างบน" ก้มลงกระซิบบอกอ่อนโยน
ในที่สุดนัยน์ตาสีน้ำตาลใสหรี่ลืม เรียกชื่อแผ่วโหยเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
"คุณราม..." พยายามขยับจะลุก แต่ก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อมึนไปหมดทั้งศีรษะ ปวดกระบอกตา และร้าวไปทั้งตัว
"ไม่สบายหรือเปล่าหือ" รามถามด้วยความห่วงใย
แต่สาวน้อยกลับไม่คำนึงถึงสภาพของตัวเอง เห็นใบหน้าหมองคล้ำของสามีก็สังหรณ์ใจ
"คุณแม่เป็นอย่างไรบ้างคะ"
เขาทรุดนั่งคุกเข่าข้างเดียวลงตรงหน้า ลูบหลังมืออยู่ไปมาราวจะถ่ายทอดความกังวลให้ได้รับรู้
"อาการท่านไม่ค่อยดี หมอให้นอนที่โรงพยาบาล น้ากนกอยู่เฝ้าท่านที่นั่น ฉันก็เลยกลับมาก่อน จะไปดูท่านได้อีกก็พรุ่งนี้เช้า นี่เธอก็ไม่สบายนะไอรีน ขึ้นไปนอนข้างบนเถอะ" บอกย้ำประโยคเดิมอีกครั้ง
สาวน้อยใช้มือยันที่วางแขน ขยับจะลุกยืน
"ท่านเป็นอะไรคะ"
แต่แล้วก็หน้ามืด ทรุดฮวบกลับลงบนเก้าอี้
รามตระหนกเมื่อเห็นภรรยามีอาการเช่นนั้น ผุดลุกจากท่านั่งกึ่งคุกเข่าแล้วเข้าประคองให้กลับเอนพิงพนักเก้าอี้
"เธอป่วยแน่ๆ นั่งอยู่ก่อนนะ อย่าเพิ่งลุกอีก จะเป็นลมล้มไปเสียเปล่าๆ ฉันจะบอกให้เปรื่องไปตามหมอเชพเพิร์ด"
สาวน้อยอ้าปากจะค้าน แต่เขาหมุนตัวก้าวอย่างเร่งรีบออกไปจากห้องเสียก่อนแล้ว
รามตรงไปที่ประตูหลังของตัวตึก ร้องเรียกบ่าววัยเริ่มหนุ่มให้ลั่นไปหมด
"สมบุญ"
ร่างผอมกงโก้โผล่พรวดพราดมาให้เห็นตะคุ่มๆ ในความมืด ส่งเสียงตะโกนตอบให้รู้มาแต่ไกล พร้อมกับวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา
"ขอรับ"
"บอกเปรื่องว่าให้เอาเรือเร็วไปตามหมอฝรั่งเดี๋ยวนี้ บอกหมอว่าคุณหญิงป่วยมาก" แต่แล้วก็คิดได้ ในเวลานี้บ้านหลังนี้มีคุณหญิงสองคน คนหนึ่ง 'หมอฝรั่ง' รู้อยู่แล้วว่าป่วยและอยู่ที่โรงพยาบาล ดังนั้นเพื่อความแน่นอนจึงเน้นให้ชัดเจนขึ้น "ฉันหมายถึงคุณหญิงเมียฉันนะสมบุญ"
"ขอรับ"
สมบุญวิ่งฝ่าความมืดหายลับไปทางเดิม
นายพันเอกหนุ่มก้าวยาวๆ กลับมาหาภรรยา เห็นว่าลุกยืนได้แล้ว ร่างบอบบางโงนเงนไปมาอยู่ข้างเก้าอี้ จึงตรงเข้าประคอง
"เธอมีไข้สูงอย่างนี้ อย่าเดินไปเองเลยนะ" เขาบอกเสียงอ่อนโยน แล้วรวบร่างเล็กๆ เบาหวิวเข้าไว้ในวงแขน แม้ฝ่ายถูกอุ้มจะพยายามขัดขืนก็หาสนใจไม่
"ดิฉันเดินขึ้นชั้นบนได้เองค่ะ" เสียงค้านนั้นอ่อนระโหย
"เธอขึ้นบันไดไม่ไหวหรอก ฉันว่าเธอมีไข้สูงมากนะ"
แต่สาวน้อยก็ยังไม่เชื่อว่าตัวเป็นอะไรมาก สรุปเอาเองว่าที่ได้หลับไปก็เพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง และอาการปวดร้าวไปทั้งตัวนี่ก็คงมาจากประสาทกำลังตึงเครียด ห่วงแม่สามีจนอยากร้องไห้เมื่อไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองว่าท่านเป็นอย่างไรบ้างแล้วในเวลานี้
"คุณแม่เป็นอะไรคะ คุณราม" เธอเหลือบขึ้นดูเขา เห็นใบหน้าคมคายกลับหมองยิ่งขึ้น
"หมอบอกว่าท่านเป็นมาเลเรีย แต่ต้องคอยดูอาการให้แน่อีกทีเพราะอาจไม่ใช่" รามตอบเสียงแหบแห้ง
คนถามใจหายเมื่อได้ยินเช่นนั้น พอรู้อยู่บ้างว่ามาเลเรียนั้นร้ายแรงเพียงไร ส่วนใหญ่ถ้าไม่ได้รับการรักษาทันเวลา คนป่วยมักจะเสียชีวิต นี่คุณหญิงเริ่มมีอาการมาสองวันกับคืนหนึ่งเต็มๆ แล้ว ท่านถึงมือหมอช้าไปหรือเปล่า คงเพราะเหตุนี้กระมังที่เขาดูหม่นหมองและเป็นกังวลเสียนัก สงสารเขาจับใจ ถ้าแม่ของเขาเป็นอะไรไป รู้ว่าจะไม่มีวันยกโทษให้ตัวเองเลย
"เป็นความผิดของดิฉันแท้ๆ" เสียงใสแผ่วหวิวเหมือนรำพึงรำพันกับตัวเอง
รามก้มดูใบหน้าแดงก่ำด้วยพิษไข้ซึ่งแนบอยู่กับแผ่นอกของตัว พินิจดูนัยน์ตา เห็นว่าอ่อนล้าเต็มที
"จะเป็นความผิดของเธอได้อย่างไรกัน"
"ดิฉันไม่ควรให้คุณแม่รีบกลับ ควรหาหมอแถวนั้นให้ไปดูท่านเสียก่อน"
รามค้านทันควัน "จะหาหมอแถวนั้นได้ที่ไหนกันเล่า อย่าคิดมากไปเลย เธอทำดีที่สุดแล้ว"
"พรุ่งนี้ขอดิฉันไปเยี่ยมคุณแม่ที่โรงพยาบาลได้ไหมคะ ดิฉันอยากไปเฝ้าท่านด้วย จะได้ไหมคะ"
คนเป็นสามีชะงักแค่เชิงบันไดเมื่อได้ยินคำถามเหล่านั้น กระชับร่างในอ้อมแขนให้แนบแน่นขึ้นอีกด้วยความตื้นตันใจ ดูเอาเถอะ ตัวไม่สบายขนาดนี้ยังมีใจเป็นห่วงคนอื่น
น้ำเสียงที่พูดด้วยจึงยิ่งนุ่มนวลขึ้นอีก
"อย่าเพิ่งเลย เธอเองก็กำลังป่วย ร่างกายกำลังอ่อนแอรู้ไหม ให้หายเสียก่อนเถอะ อย่าให้ฉันมีห่วงมากกว่านี้เลยนะ"
ประโยคหลังของเขาทำให้คนป่วยเงียบไปได้
ใครคนหนึ่งยืนอยู่ที่ขั้นบนสุดของบันได ไอรีนเหลือบตาขึ้นดู ใจหายเมื่อเห็นว่าเป็นคุณวิไล ไม่อยากให้หล่อนหรือใครมาเห็นตัวเองในสภาพเช่นนี้เลย พยายามบอกคนเป็นสามีแล้วว่าเดินขึ้นไปเองได้ แต่เขาไม่ยอมเชื่อ ยังขืนอุ้มมาจนได้
ใบหน้าหวานคมที่กำลังมองลงมานั้นเรียบเฉย เสียงที่ถามไม่สะท้อนความรู้สึกใดๆ ตามอง 'พี่สะใภ้' ในอ้อมแขนของพี่ชายเพียงแวบเดียว
"คุณแม่เป็นอย่างไรบ้างคะ พี่ราม"
แม้จะเป็นลูกภรรยารองของพระยาพลศรีภูมิปรีชา และแม้ไม่สนิทสนมและไม่เคยให้ความเคารพนับถือมารดาเลี้ยงเท่าที่ควร หากด้วยเหตุที่แม่แท้ๆ สิ้นชีวิตไปตั้งแต่ตัวยังอ่อนเยาว์ วิไลจึงถูกสอนให้เรียกคุณหญิงละออว่าแม่เสมอมา
"อาการของท่านไม่ค่อยดี" รามตอบคำถามนั้นในลักษณะเดิมอีกครั้งขณะก้าวขึ้นบันไดเมื่อหญิงสาวหลีกทางให้
"หมอที่ศิริราชก็เลยรับท่านไว้ จะได้มีหมอพยาบาลคอยเฝ้าดูอาการด้วย"
เมื่อขึ้นมาถึงชั้นบน ไอรีนจึงได้เห็นว่ามีใครอีกคนอยู่ที่นั่นด้วย แต่หล่อนยืนอยู่ในเงามืด...หน้าประตูห้อง นั่นยิ่งทำให้ขัดเขินหนักขึ้นอีก อับอายพออยู่แล้วที่คุณวิไลต้องมาเห็นตัวอยู่ในสภาพเช่นนี้ ดูราวอ่อนแอเสียจนสามีต้องอุ้มขึ้นตึก ตอนนี้ 'ผู้หญิงคนนั้น' มาเห็นเข้าอีกคน ยิ่งทำให้อยากหนีหายไปเสียให้ไกลๆ แต่เมื่อไปไหนไม่ได้ จึงเบือนหน้าเข้าหาแผ่นอกของสามีแล้วปิดตาเสีย จะได้ไม่ต้องรับรู้ ไม่ต้องเห็นว่าใครกำลังมองอย่างไร
ได้ยินเสียงห้าวๆ ดังอยู่ใกล้นิดเดียว
"นี่ไอรีนก็เหมือนจะมีไข้สูง พี่กลัวว่าจะเป็นอย่างคุณแม่"
คำพูดของเขายิ่งทำให้เหนื่อยใจ มันให้ความรู้สึกว่าตัวอ่อนแอเสียเหลือเกิน ในเวลานี้ทุกคนควรใส่ใจกับอาการเจ็บป่วยของคุณหญิงสูงวัยแต่เพียงผู้เดียว ไม่ควรจะต้องเป็นกังวลกับใครอื่นอีก จึงกระซิบบอกเขาเบาๆ พอให้ได้ยินกันเพียงสองคนเมื่อเขาพาเลยจากบริเวณบันไดมาพอสมควรแล้ว
"ดิฉันไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ คุณราม"
รามโต้กลับทันควัน "ไม่เป็นไรได้อย่างไร นี่แม้แต่ยืนเธอก็แทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว ไม่รู้ตัวบ้างเลยหรือ"
คนป่วยจึงจำต้องสงบปากสงบคำเสีย
แต่พอเขาผ่านเข้าห้องแต่งตัวก็ถามขึ้นอีก คราวนี้เพื่อขออนุญาต
"ดิฉันอาบน้ำก่อนได้ไหมคะ"
ไม่ได้เจอน้ำเลยมาสองวันกับอีกหนึ่งคืนเต็มๆ แล้ว วันก่อนที่นอนกันที่พระบาท ก็อาบน้ำกันไม่ได้เสียอีก พอถึงบ้านในสภาพซึ่งคุณหญิงป่วยหนักจนเพ้อ รามต้องรีบพาไปโรงพยาบาลโดยด่วนตามคำแนะนำของหมอ ใจจึงจดจ่ออยู่แต่ที่นั่น เฝ้าคอยเขากลับจนลืมเรื่องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไปเสียสิ้น นี่ใส่ซิ่นผ้าฝ้ายและเสื้อคอปาดชุดนี้มาสองวันเต็มแล้ว
"อย่าเลย เป็นไข้อยู่อย่างนี้ ให้หมอเชพเพิร์ดตรวจเสียก่อน หมอว่าอย่างไรก็ค่อยทำตามนั้น ฉันจะหาเสื้อมาเปลี่ยนให้ เธอใส่ชุดนี้มาสองวันแล้วใช่ไหม"
เสียงพูดห่วงหาอาทร จำเสื้อผ้าซึ่งภรรยาสวมใส่ในเช้าวันที่พาไปส่งขึ้นรถไฟที่สถานีหัวลำโพงได้ดี จนบัดนี้ก็ยังคงอยู่ในชุดเดิม
บันทึกคุณหญิงไอรีน (บทที่ ๒๒)
ขอบคุณ คุณดาว Lady Star 919, คุณสายป่านสีชมพู, จารย์จี GTW, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณป้าทุยบ้านทุ่ง
ขอบคุณคะแนนโหวตทุกคะแนนด้วยค่ะ
บทก่อนๆ ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เพียงแตะเบาๆ ที่แขนรามก็รู้สึกถึงความผิดปกติ แขนกลมกลึงข้างนั้นร้อนระอุราวสุมไฟ เมื่อลองใช้หลังมือแตะที่หน้าผาก ก็เห็นว่าร้อนจัดพอกัน
"ไอรีน" จึงพยายามปลุก "ขึ้นไปนอนข้างบนเถอะ"
คำตอบมีเพียงเสียงครางแผ่วเครือจากริมฝีปากซึ่งกำลังแดงจัดด้วยพิษไข้...เช่นเดียวกับผิวแก้ม ร่างน้อยขดอยู่บนเก้าอี้ซึ่งลากมาวางไว้ข้างหน้าต่าง ศีรษะเอียงซบอยู่กับพนัก สองมือซุกไว้กับซอกคอ จากเก้าอี้ตัวนี้มองออกไปเห็นทางเดินรถหน้าตัวตึก รู้ได้โดยไม่ต้องมีใครบอกว่าสาวน้อยมานั่งคอยจนหลับไปเอง ลองทาบมือลงที่ซอกคอ ก็เห็นว่าชื้นเหงื่อและร้อนเสียยิ่งกว่าหน้าผาก ชายหนุ่มแน่ใจว่าภรรยากำลังมีไข้สูงเช่นเดียวกับมารดา ทำให้กังวลว่าอาจเป็นโรคเดียวกัน จึงลองปลุกอีกครั้ง คราวนี้เขย่าแขนเบาๆร่วมด้วย
"ไอรีน ตื่นเถอะ ขึ้นไปนอนข้างบน" ก้มลงกระซิบบอกอ่อนโยน
ในที่สุดนัยน์ตาสีน้ำตาลใสหรี่ลืม เรียกชื่อแผ่วโหยเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
"คุณราม..." พยายามขยับจะลุก แต่ก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อมึนไปหมดทั้งศีรษะ ปวดกระบอกตา และร้าวไปทั้งตัว
"ไม่สบายหรือเปล่าหือ" รามถามด้วยความห่วงใย
แต่สาวน้อยกลับไม่คำนึงถึงสภาพของตัวเอง เห็นใบหน้าหมองคล้ำของสามีก็สังหรณ์ใจ
"คุณแม่เป็นอย่างไรบ้างคะ"
เขาทรุดนั่งคุกเข่าข้างเดียวลงตรงหน้า ลูบหลังมืออยู่ไปมาราวจะถ่ายทอดความกังวลให้ได้รับรู้
"อาการท่านไม่ค่อยดี หมอให้นอนที่โรงพยาบาล น้ากนกอยู่เฝ้าท่านที่นั่น ฉันก็เลยกลับมาก่อน จะไปดูท่านได้อีกก็พรุ่งนี้เช้า นี่เธอก็ไม่สบายนะไอรีน ขึ้นไปนอนข้างบนเถอะ" บอกย้ำประโยคเดิมอีกครั้ง
สาวน้อยใช้มือยันที่วางแขน ขยับจะลุกยืน
"ท่านเป็นอะไรคะ"
แต่แล้วก็หน้ามืด ทรุดฮวบกลับลงบนเก้าอี้
รามตระหนกเมื่อเห็นภรรยามีอาการเช่นนั้น ผุดลุกจากท่านั่งกึ่งคุกเข่าแล้วเข้าประคองให้กลับเอนพิงพนักเก้าอี้
"เธอป่วยแน่ๆ นั่งอยู่ก่อนนะ อย่าเพิ่งลุกอีก จะเป็นลมล้มไปเสียเปล่าๆ ฉันจะบอกให้เปรื่องไปตามหมอเชพเพิร์ด"
สาวน้อยอ้าปากจะค้าน แต่เขาหมุนตัวก้าวอย่างเร่งรีบออกไปจากห้องเสียก่อนแล้ว
รามตรงไปที่ประตูหลังของตัวตึก ร้องเรียกบ่าววัยเริ่มหนุ่มให้ลั่นไปหมด
"สมบุญ"
ร่างผอมกงโก้โผล่พรวดพราดมาให้เห็นตะคุ่มๆ ในความมืด ส่งเสียงตะโกนตอบให้รู้มาแต่ไกล พร้อมกับวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา
"ขอรับ"
"บอกเปรื่องว่าให้เอาเรือเร็วไปตามหมอฝรั่งเดี๋ยวนี้ บอกหมอว่าคุณหญิงป่วยมาก" แต่แล้วก็คิดได้ ในเวลานี้บ้านหลังนี้มีคุณหญิงสองคน คนหนึ่ง 'หมอฝรั่ง' รู้อยู่แล้วว่าป่วยและอยู่ที่โรงพยาบาล ดังนั้นเพื่อความแน่นอนจึงเน้นให้ชัดเจนขึ้น "ฉันหมายถึงคุณหญิงเมียฉันนะสมบุญ"
"ขอรับ"
สมบุญวิ่งฝ่าความมืดหายลับไปทางเดิม
นายพันเอกหนุ่มก้าวยาวๆ กลับมาหาภรรยา เห็นว่าลุกยืนได้แล้ว ร่างบอบบางโงนเงนไปมาอยู่ข้างเก้าอี้ จึงตรงเข้าประคอง
"เธอมีไข้สูงอย่างนี้ อย่าเดินไปเองเลยนะ" เขาบอกเสียงอ่อนโยน แล้วรวบร่างเล็กๆ เบาหวิวเข้าไว้ในวงแขน แม้ฝ่ายถูกอุ้มจะพยายามขัดขืนก็หาสนใจไม่
"ดิฉันเดินขึ้นชั้นบนได้เองค่ะ" เสียงค้านนั้นอ่อนระโหย
"เธอขึ้นบันไดไม่ไหวหรอก ฉันว่าเธอมีไข้สูงมากนะ"
แต่สาวน้อยก็ยังไม่เชื่อว่าตัวเป็นอะไรมาก สรุปเอาเองว่าที่ได้หลับไปก็เพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง และอาการปวดร้าวไปทั้งตัวนี่ก็คงมาจากประสาทกำลังตึงเครียด ห่วงแม่สามีจนอยากร้องไห้เมื่อไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองว่าท่านเป็นอย่างไรบ้างแล้วในเวลานี้
"คุณแม่เป็นอะไรคะ คุณราม" เธอเหลือบขึ้นดูเขา เห็นใบหน้าคมคายกลับหมองยิ่งขึ้น
"หมอบอกว่าท่านเป็นมาเลเรีย แต่ต้องคอยดูอาการให้แน่อีกทีเพราะอาจไม่ใช่" รามตอบเสียงแหบแห้ง
คนถามใจหายเมื่อได้ยินเช่นนั้น พอรู้อยู่บ้างว่ามาเลเรียนั้นร้ายแรงเพียงไร ส่วนใหญ่ถ้าไม่ได้รับการรักษาทันเวลา คนป่วยมักจะเสียชีวิต นี่คุณหญิงเริ่มมีอาการมาสองวันกับคืนหนึ่งเต็มๆ แล้ว ท่านถึงมือหมอช้าไปหรือเปล่า คงเพราะเหตุนี้กระมังที่เขาดูหม่นหมองและเป็นกังวลเสียนัก สงสารเขาจับใจ ถ้าแม่ของเขาเป็นอะไรไป รู้ว่าจะไม่มีวันยกโทษให้ตัวเองเลย
"เป็นความผิดของดิฉันแท้ๆ" เสียงใสแผ่วหวิวเหมือนรำพึงรำพันกับตัวเอง
รามก้มดูใบหน้าแดงก่ำด้วยพิษไข้ซึ่งแนบอยู่กับแผ่นอกของตัว พินิจดูนัยน์ตา เห็นว่าอ่อนล้าเต็มที
"จะเป็นความผิดของเธอได้อย่างไรกัน"
"ดิฉันไม่ควรให้คุณแม่รีบกลับ ควรหาหมอแถวนั้นให้ไปดูท่านเสียก่อน"
รามค้านทันควัน "จะหาหมอแถวนั้นได้ที่ไหนกันเล่า อย่าคิดมากไปเลย เธอทำดีที่สุดแล้ว"
"พรุ่งนี้ขอดิฉันไปเยี่ยมคุณแม่ที่โรงพยาบาลได้ไหมคะ ดิฉันอยากไปเฝ้าท่านด้วย จะได้ไหมคะ"
คนเป็นสามีชะงักแค่เชิงบันไดเมื่อได้ยินคำถามเหล่านั้น กระชับร่างในอ้อมแขนให้แนบแน่นขึ้นอีกด้วยความตื้นตันใจ ดูเอาเถอะ ตัวไม่สบายขนาดนี้ยังมีใจเป็นห่วงคนอื่น
น้ำเสียงที่พูดด้วยจึงยิ่งนุ่มนวลขึ้นอีก
"อย่าเพิ่งเลย เธอเองก็กำลังป่วย ร่างกายกำลังอ่อนแอรู้ไหม ให้หายเสียก่อนเถอะ อย่าให้ฉันมีห่วงมากกว่านี้เลยนะ"
ประโยคหลังของเขาทำให้คนป่วยเงียบไปได้
ใครคนหนึ่งยืนอยู่ที่ขั้นบนสุดของบันได ไอรีนเหลือบตาขึ้นดู ใจหายเมื่อเห็นว่าเป็นคุณวิไล ไม่อยากให้หล่อนหรือใครมาเห็นตัวเองในสภาพเช่นนี้เลย พยายามบอกคนเป็นสามีแล้วว่าเดินขึ้นไปเองได้ แต่เขาไม่ยอมเชื่อ ยังขืนอุ้มมาจนได้
ใบหน้าหวานคมที่กำลังมองลงมานั้นเรียบเฉย เสียงที่ถามไม่สะท้อนความรู้สึกใดๆ ตามอง 'พี่สะใภ้' ในอ้อมแขนของพี่ชายเพียงแวบเดียว
"คุณแม่เป็นอย่างไรบ้างคะ พี่ราม"
แม้จะเป็นลูกภรรยารองของพระยาพลศรีภูมิปรีชา และแม้ไม่สนิทสนมและไม่เคยให้ความเคารพนับถือมารดาเลี้ยงเท่าที่ควร หากด้วยเหตุที่แม่แท้ๆ สิ้นชีวิตไปตั้งแต่ตัวยังอ่อนเยาว์ วิไลจึงถูกสอนให้เรียกคุณหญิงละออว่าแม่เสมอมา
"อาการของท่านไม่ค่อยดี" รามตอบคำถามนั้นในลักษณะเดิมอีกครั้งขณะก้าวขึ้นบันไดเมื่อหญิงสาวหลีกทางให้
"หมอที่ศิริราชก็เลยรับท่านไว้ จะได้มีหมอพยาบาลคอยเฝ้าดูอาการด้วย"
เมื่อขึ้นมาถึงชั้นบน ไอรีนจึงได้เห็นว่ามีใครอีกคนอยู่ที่นั่นด้วย แต่หล่อนยืนอยู่ในเงามืด...หน้าประตูห้อง นั่นยิ่งทำให้ขัดเขินหนักขึ้นอีก อับอายพออยู่แล้วที่คุณวิไลต้องมาเห็นตัวอยู่ในสภาพเช่นนี้ ดูราวอ่อนแอเสียจนสามีต้องอุ้มขึ้นตึก ตอนนี้ 'ผู้หญิงคนนั้น' มาเห็นเข้าอีกคน ยิ่งทำให้อยากหนีหายไปเสียให้ไกลๆ แต่เมื่อไปไหนไม่ได้ จึงเบือนหน้าเข้าหาแผ่นอกของสามีแล้วปิดตาเสีย จะได้ไม่ต้องรับรู้ ไม่ต้องเห็นว่าใครกำลังมองอย่างไร
ได้ยินเสียงห้าวๆ ดังอยู่ใกล้นิดเดียว
"นี่ไอรีนก็เหมือนจะมีไข้สูง พี่กลัวว่าจะเป็นอย่างคุณแม่"
คำพูดของเขายิ่งทำให้เหนื่อยใจ มันให้ความรู้สึกว่าตัวอ่อนแอเสียเหลือเกิน ในเวลานี้ทุกคนควรใส่ใจกับอาการเจ็บป่วยของคุณหญิงสูงวัยแต่เพียงผู้เดียว ไม่ควรจะต้องเป็นกังวลกับใครอื่นอีก จึงกระซิบบอกเขาเบาๆ พอให้ได้ยินกันเพียงสองคนเมื่อเขาพาเลยจากบริเวณบันไดมาพอสมควรแล้ว
"ดิฉันไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ คุณราม"
รามโต้กลับทันควัน "ไม่เป็นไรได้อย่างไร นี่แม้แต่ยืนเธอก็แทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว ไม่รู้ตัวบ้างเลยหรือ"
คนป่วยจึงจำต้องสงบปากสงบคำเสีย
แต่พอเขาผ่านเข้าห้องแต่งตัวก็ถามขึ้นอีก คราวนี้เพื่อขออนุญาต
"ดิฉันอาบน้ำก่อนได้ไหมคะ"
ไม่ได้เจอน้ำเลยมาสองวันกับอีกหนึ่งคืนเต็มๆ แล้ว วันก่อนที่นอนกันที่พระบาท ก็อาบน้ำกันไม่ได้เสียอีก พอถึงบ้านในสภาพซึ่งคุณหญิงป่วยหนักจนเพ้อ รามต้องรีบพาไปโรงพยาบาลโดยด่วนตามคำแนะนำของหมอ ใจจึงจดจ่ออยู่แต่ที่นั่น เฝ้าคอยเขากลับจนลืมเรื่องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไปเสียสิ้น นี่ใส่ซิ่นผ้าฝ้ายและเสื้อคอปาดชุดนี้มาสองวันเต็มแล้ว
"อย่าเลย เป็นไข้อยู่อย่างนี้ ให้หมอเชพเพิร์ดตรวจเสียก่อน หมอว่าอย่างไรก็ค่อยทำตามนั้น ฉันจะหาเสื้อมาเปลี่ยนให้ เธอใส่ชุดนี้มาสองวันแล้วใช่ไหม"
เสียงพูดห่วงหาอาทร จำเสื้อผ้าซึ่งภรรยาสวมใส่ในเช้าวันที่พาไปส่งขึ้นรถไฟที่สถานีหัวลำโพงได้ดี จนบัดนี้ก็ยังคงอยู่ในชุดเดิม