บันทึกคุณหญิงไอรีน (บทที่ ๒๖)

ขอบคุณทุกๆ คนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ น้องดาว Lady Star 919, คุณโอ เขมปัณณ์, จารย์จี GTW, คุณ สายป่านสีชมพู, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณแอนนี่ annie <harmonica>

ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ

บทก่อนๆ ค่ะ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ชวนคุยนิดนึงค่ะ อยากบอกว่าจำได้ขึ้นใจเลยค่ะว่าตอนเขียนเรื่องนี้ บทนี้เป็นบทที่เจ็บปวดที่สุด สำหรับคนที่ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้กับตัวเอง ยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดของผู้หญิงที่ต้องเจอกับเรื่องแบบนี้เลยค่ะ สงสัยคุณนันกับจารย์จีคงยิ่งเกลียดรามหนักขึ้นอีกแน่ๆ เลยงานนี้


บทที่ ๒๖



    แสงไฟหน้าหม้อรถส่องเป็นลำเข้ามาภายในบริเวณบ้านพร้อมๆ กับรถคันหรูสีดำเคลื่อนเชื่องช้ามาหยุดเทียบบันไดหน้าตึก เจ้าของบ้านออกมาคอยก่อนหน้าแล้ว ร่างสูงใหญ่ยืนตระหง่านอยู่บนขั้นบนสุดของบันได ข้างประตูทั้งสองด้านมีโคมไฟดวงเล็กๆ ตามไว้พอให้ได้เห็นหน้ากัน

    หญิงสาวซึ่งนั่งคู่มาตอนหน้าของรถแทบไม่คอยให้จอดสนิท เปิดประตูก้าวลงมาเสียก่อนที่จะมีใครเปิดให้อีกครั้ง รู้ว่าถ้า 'เขา' เห็นอากัปกิริยาเอาอกเอาใจที่คนขับหนุ่มแสดงมาตลอดเย็นและค่ำวันนี้ เขาต้องไม่ชอบใจอย่างแน่นอน แค่สีหน้าเคร่งเครียดเท่าที่เห็นก็เดาได้แล้วว่ากำลังคิดอย่างไรที่เห็นเธอนั่งมาตอนหน้าคู่กับเจ้าประวัติวงศ์เช่นนี้

คนขับซึ่งนั่งคู่มาตลอดทางก้าวตามลงมาพร้อมกับหญิงสาวซึ่งอยู่ทางตอนหลังของรถ

    “ละครเลิกนานแล้ว เจ้าคุณ" เสียงทุ้มๆ ร่าเริงยิ่งนัก "แต่ไปกินบะหมี่กันที่เยาวยื่น ก็เลยกลับเสียดึก เจ้าคุณคงคอยแย่”

    คนพูดลดสายตาลงดูเครื่องแบบสีกากีบนร่างใหญ่ล่ำสันก็พอบอกได้ คงคอยเมียเสียจนไม่คิดแม้แต่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย

    นายพันเอกหนุ่มยิ้มเพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์ขุ่นมัวเมื่อครู่

    "ครับเจ้า เห็นว่าดึกแล้วก็เลยเป็นห่วง เชิญเจ้าข้างในก่อนไหมครับ"

    ราชนิกุลหนุ่มโบกมือไปมา
    
    "ไม่ล่ะครับ…เจ้าคุณ ดึกแล้ว ผมคงต้องรีบกลับ" เขาหัวเราะเบาๆ อย่างคนอารมณ์ดี ผละกลับไปที่ประตูรถ แต่ชะงักเมื่อนึกอะไรขึ้นได้

    "อ้อ! เจ้าคุณ...เมื่อครู่ที่คุยกัน ผมก็เลยได้รู้ว่าคุณหญิงเป็นลูกสาวของคุณนายรัทริชจ์"

    สามีของ 'ลูกสาวคุณนายรัทริชจ์' เหลียวมองภรรยาซึ่งเลี่ยงมายืนเยื้องไปทางเบื้องหลังแวบหนึ่ง

    "เจ้ารู้จักแม่ของไอรีนหรือครับ"

    "รู้จักมิสเตอร์รัทริชจ์ครับเจ้าคุณ ติดต่อค้าขายกันมาได้พักใหญ่แล้ว เคยพบตัวเขาก็เมื่อสักปีมาแล้วกระมัง ตอนที่เขาขึ้นไปเชียงใหม่"

    รามคาดไม่ถึง อะไรจะบังเอิญได้ถึงขนาดนี้ แต่เมื่อมาคิดดูอีกที เจ้าประวัติวงศ์ได้สัมปทานตัดไม้และค้าไม้ ในเวลาเดียวกันบริษัทซึ่งนายรัทริชจ์เป็นตัวแทนประจำอยู่ที่สิงคโปร์นั้นรับไม้มาผลิตเป็นเครื่องเรือนเพื่อส่งต่อไปขายที่อังกฤษ และในเมื่อบริษัทซึ่งได้สัมปทานตัดไม้ในกรุงสยามมีก็เพียงไม่กี่บริษัท ส่วนใหญ่เป็นของคนต่างชาติที่เป็นเสมือนคู่แข่งกันอยู่แล้ว บริษัทของอังกฤษซึ่งเพิ่งขยายสาขามาทางแถบตะวันออกย่อมพอใจจะหาคู่ค้าซึ่งเป็นคนไทยมากกว่า

    ราชนิกุลหนุ่มชายตามาทางคุณหญิงสาวน้อย ใบหน้างามกระจ่างนวลอยู่ในความสลัวรางของยามค่ำคืน

    "เมื่อครู่คุณหญิงบอกว่าก่อนขึ้นเชียงใหม่ เจ้าคุณกับคุณหญิงก็ได้พบเขาด้วยเหมือนกันใช่ไหม"

    "ครับ ไอรีนก็เพิ่งได้พบแม่คราวนั้นเหมือนกัน" รามตอบแทนภรรยา

    หากคนถามก็ยังต้องการได้ยินจากปากของเจ้าตัวมากกว่า

    "อย่างนั้นหรือครับคุณหญิง"

    เธอจึงจำต้องตอบรับแต่โดยดี

    "ค่ะ เจ้า"

    นั่นเท่ากับเปิดทางให้ฝ่ายนั้นสานต่อไปอีกนิด

    "บังเอิญดีจริง คราวหน้าถ้ามิสเตอร์รัทริชจ์ขึ้นไปเชียงใหม่อีก ผมจะให้ไปพักที่คุ้ม คนกันเองแท้ๆ ครั้งก่อนที่เขาไปติดต่อเรื่องไม้ น่าเสียดายที่ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าเป็นใคร คุณหญิงด้วยนะครับ ขึ้นเหนือเมื่อไรไปพักที่คุ้มของผมได้เสมอ"

    รามหันมองภรรยาอีกครั้ง แล้วตอบแทนให้อีก

    "ครับเจ้า"

    คำเชิญชวนของเจ้าประวัติวงศ์ทำให้ไอรีนต้องลอบสังเกตปฏิกิริยาของสามี แต่ก็ไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ ใบหน้าคมคายซึ่งเห็นเพียงด้านข้างนั้นเรียบเฉย ริมฝีปากค่อนข้างบางเหยียดยิ้มน้อยๆเมื่อราชนิกุลหนุ่มบอกลา

    "คุณรามคอยอยู่หรือคะ" สาวน้อยเอ่ยปากถามเมื่อเดินตามกันไปที่เรือนไม้ริมคลอง

    "ก็คอยน่ะซี" คำตอบเหมือนไม่สบอารมณ์ แต่น้ำเสียงไม่มีร่องรอยโกรธขึ้งแต่อย่างใด

    "คุณรามรับผัดเผ็ดปลาดุกได้หรือเปล่าคะ" อีกฝ่ายจึงเปลี่ยนเรื่องเสีย ด้วยยังไม่หายข้องใจเรื่องนั้น

    ร่างสูงๆ ซึ่งเดินนำอยู่ข้างหน้าหยุดนิดหนึ่ง แล้วเหลียวหลังมาทางคนถาม ตอบพลางหัวเราะเบาๆ

    "ไม่รู้หรอก ไม่ได้ลองกินดู"

    "อ้าว!" เธออุทานเสียงหลง "ยายไวไม่ได้ผัดเผ็ดปลาดุกให้คุณรามหรอกหรือคะ ดิฉันเตรียมเครื่องไว้ให้แล้ว"

    ออกจะรู้สึกผิดที่มัวแต่ไปเที่ยวสนุกเสีย ปล่อยให้เขาคอยอยู่กับบ้าน ข้าวปลาก็คงไม่ได้รับประทาน

    "คงทำกระมัง แต่ฉันไม่ได้กิน"

    รามลอบยิ้มในความมืดเมื่อรู้ว่าเมียอุตส่าห์เป็นห่วง ขยับเข้ามาโอบไหล่ให้ออกเดินต่อ ทางเดินปูกระเบื้องระหว่างตึกหลังใหญ่กับเรือนไม้หลังเล็กนั้นเงียบสงบ สมบุญและบ่าวคนอื่นๆ เข้านอนกันไปนานแล้ว แสงไฟจากเรือนครัวซึ่งคุณกนกสั่งให้นางนาบแม่ครัวเปิดทิ้งไว้ส่องผ่านออกมาพอให้เห็นทางเดิน

    "คุณรามยังไม่ได้รับสำรับเย็นหรอกหรือคะ" เสียงถามคราวนี้เหมือนรำพึงกับตัวเองเสียมากกว่า

    "ฉันไม่หิว เธอก็ไม่อยู่ ก็เลยไม่ได้กิน" เขาบอกตามตรง ว่าไปแล้วพอเมียกลับถึงบ้าน และเลิกเป็นห่วงแล้ว ตอนนี้จึงรู้ว่ากำลังหิวข้าวเพียงไร

    "ว่าแต่ตอนนี้ชักจะหิวขึ้นมาแล้วซี มีอะไรเหลือให้กินบ้างก็ไม่รู้"

    เรือนครัวปลูกอยู่แยกไปทางขวามือตรงนั้นเอง

    "ดิฉันเข้าไปดูในเรือนครัวนะคะว่าพอจะทำอะไรให้คุณรามได้บ้าง"

    ชายหนุ่มกลับกระชับไหล่บอบบางเพื่อพาเดินต่อ

    "อย่าเลย ฉันไม่ได้หิวนักหรอก นี่ก็ดึกแล้ว ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้านอนเถอะ"

    แต่คนเป็นภรรยาก็ยังไม่เปลี่ยนใจ จะให้เขาเข้านอนทั้งๆ ที่หิวได้อย่างไร

    "คุณรามอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อเถอะค่ะ ดิฉันจะไปทำอะไรให้" เสียงใสเข้มงวดขึ้น คราวนี้ไม่บอกเปล่า ยังดันหลังล่ำสันเบาๆ ให้ล่วงหน้าไปก่อนอีกด้วย

    "ฉันมีเสื้อผ้าอยู่ที่นี่บ้างไหม" เขาเหลียวหลังกลับมาถาม

    "ดิฉันเตรียมไว้ให้แล้วค่ะ ถ้าคุณรามจะนอนที่เรือนคืนนี้"

    "ก็อย่างนั้นซี"

    ชายหนุ่มบอกแล้วหัวเราะเบาๆ แสร้งให้ฟังดูมีเลศนัย

    เมื่อไอรีนเข้าไปดูในครัว เห็นว่าถ้วยชามถูกเก็บล้างไว้เรียบร้อย อาหารซึ่งเตรียมไว้เป็นมื้อเย็นของสามีนั้นบ่าวคงรับประทานกันหมดแล้ว แต่ยังพอมีข้าวสวยหลงเหลืออยู่บ้าง จึงยกหม้อขึ้นตั้งไฟทำข้าวต้ม ฉีกเนื้อไก่ซึ่งต้มสุกแล้วใส่ลงไป

ข้อดีอย่างหนึ่งของรามซึ่งเธอเรียนรู้หลังจากที่กินอยู่กันมาร่วมปีคือเขาไม่เลือกเรื่องอาหาร ทำอะไรให้ เขารับประทานได้ทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเธอเป็นคนลงมือทำเอง เหมือนเช่นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย จัดอะไรไว้ให้ เขาก็ใส่อย่างนั้น ไม่เคยบ่น ไม่เคยเกี่ยงงอนเรื่องชีวิตความเป็นอยู่

    เมื่อยกเอาอาหารมาที่เรือนไม้ ก็เห็นเขายืนอยู่ที่ระเบียงก่อนหน้าแล้ว อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกางเกงแพร เสื้อผ้าป่านบางเบาซึ่งเธอเตรียมไว้ให้

    ได้ยินเสียงสวบสาบเมื่อภรรยาปูเสื่อลงกับพื้นไม้ รามเหลียวหลังมาดู

    "ที่จริงอาบน้ำที่ห้องน้ำข้างล่างนี่ก็สะดวกดีเหมือนกัน พรุ่งนี้เธอช่วยบอกให้สมบุญขนเสื้อผ้าของฉันมาไว้ที่นี่อีกก็แล้วกัน ฉันคงไม่ขึ้นไปแต่งตัวที่ตึกใหญ่อีกหรอก"

    นัยน์ตาสีน้ำตาลใสเหลือบขึ้นดูคนพูดแวบหนึ่ง รับคำแผ่วๆ ขณะคลี่ผ้าขาวปูทับลงบนเสื่อ แล้วย้ายถ้วยข้าวต้มและเครื่องปรุงจากถาดขึ้นวางให้

    "ที่ว่างตรงนั้น..." เขาว่าพยักพเยิดไปข้างเรือน "ฉันกำลังคิดว่าถ้าปลูกศาลาให้เธอได้ใช้เป็นที่อ่านหนังสือจะดีไหม ห้องหนังสือมืดเกินไป กลางวันบางทีก็ร้อน ข้างเรือนนี่ลมโกรกดี เธอคงชอบ"

    มือเล็กๆ ซึ่งกำลังย้ายแก้วน้ำจากถาดมาวางลงบนผ้าขาวชะงักไปนิดหนึ่ง

    "ที่นอนก็เหมือนกัน" เขายังไม่หมดเรื่องซึ่งต้องการปรึกษา "เธอจะต้องนอนที่นี่ต่อไปอีกตั้งสี่สิบกว่าวัน ฉันไม่อยากให้ต้องนอนกับพื้นไม้อย่างนั้น หาซื้อเตียงใหม่อีกสักหลังจะดีกว่า แล้วย้ายเตียงของคุณแม่ขึ้นไปเก็บไว้บนตึก ซื้อใหม่ทั้งชุดเลยทีเดียว ทั้งตู้ เตียง มันจะได้เข้าชุดกัน"

    ทั้งหมดนั้นไอรีนรู้ว่าไม่ใช่การขอความคิดเห็น แต่เป็นการตัดสินใจของเขามากกว่า จึงได้แต่รับฟังเงียบๆ มองตามร่างสูงใหญ่ซึ่งผละจากระเบียงมาลงนั่งขัดสมาธิหน้าถ้วยข้าวต้ม พอเห็นว่ามีข้าวต้มเพียงถ้วยเดียวก็เอ่ยปากถาม

    "เธอไม่กินด้วยหรือ"

    "ไม่ล่ะค่ะ ดิฉันอิ่มแล้ว"

    "อิ่มบะหมี่เยาวยื่นน่ะหรือ" คำพูดนั้นกลั้วหัวเราะ

    สาวน้อยยิ้มด้วยรู้ว่าเขาตั้งใจยั่วเย้า

    "ค่ะ"
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่