ขอบคุณทุกๆ คนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ คุณ ริมแม่โขง, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณดาว Lady Star 919 คุณ, สายป่านสีชมพู, จารย์จี Psycho man
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ
บทก่อนๆ ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้บทนำ - บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/35375611
บทที่ ๒ - บทที่ ๓ http://ppantip.com/topic/35379337
บทที่ ๔ http://ppantip.com/topic/35383294
บทที่ ๕ http://ppantip.com/topic/35386265
บทที่ ๖ http://ppantip.com/topic/35389519
บทที่ ๗ http://ppantip.com/topic/35392675
บทที่ ๘ http://ppantip.com/topic/35400069
บทที่ ๙ http://ppantip.com/topic/35407698
บทที่ ๑๐ http://ppantip.com/topic/35411784
บทที่ ๑๑ http://ppantip.com/topic/35422278
บทที่ ๑๒ http://ppantip.com/topic/35430211
บทที่ ๑๓ http://ppantip.com/topic/35437896
บทที่ ๑๔ http://ppantip.com/topic/35447627
บทที่ ๑๕ http://ppantip.com/topic/35454229
บทที่ ๑๖ http://ppantip.com/topic/35460996
บทที่ ๑๗ http://ppantip.com/topic/35467701
บทที่ ๑๘ http://ppantip.com/topic/35478177
บทที่ ๑๙ http://ppantip.com/topic/35484261
บทที่ ๒๐ http://ppantip.com/topic/35490729
บทที่ ๒๑ http://ppantip.com/topic/35500221
บทที่ ๒๓ http://ppantip.com/topic/35507830
บทที่ ๒๓
"ค่อยยังชั่วแล้วหรือ"
ไม่บ่อยครั้งนักหรอกที่คุณกนกจะพูดกับใครก่อน ญาติผู้น้องของคุณหญิงละออปกติเงียบขรึม หล่อนมักไม่ใคร่ทักทายใคร ไม่เป็นฝ่ายเริ่มคุยกับใคร มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ให้ความสนิทสนม คนแรกคือตัวคุณหญิงเอง อีกคนคือคุณราม...ผู้ซึ่งหล่อนเห็นมาแต่เล็กแต่น้อย
"สบายขึ้นมากแล้วค่ะคุณน้า"
ร่างบอบบาง...ซูบลงไปไม่น้อยหลังเจ็บป่วย...อยู่ในชุดซิ่นดำ เสื้อคอกลมแขนกระบอกสีเดียวกัน ทรุดตัวลงนั่งพับเพียบตรงหน้าคนสูงวัยกว่า ยังพอมีเวลาเหลืออยู่บ้างก่อนที่สามีจะกลับถึงบ้านและแขกเริ่มมาฟังสวด วันนี้สวดพระอภิธรรมวันสุดท้ายแล้ว เมื่อวานหลังจากขนเสื้อผ้าข้าวของเท่าที่จำเป็นมาเรือนไม้ริมคลองหลังนี้ เธอไม่ได้กลับไปร่วมงานศพคุณหญิงละออตามที่ตั้งใจ คุณรามบอกให้นอนพักเสียเพราะเห็นว่ายังไม่แข็งแรงพอ และอาการป่วยไข้ก็ยังมีให้เห็น แต่วันนี้ตั้งใจไว้แล้วว่าไม่ว่าเขาจะว่าอย่างไร ก็จะไปกราบศพคุณหญิงและจะอยู่ฟังสวดให้จนได้ ก็ในเมื่อเป็นวันสุดท้ายแล้วอย่างนี้
คุณกนกไม่เคยอยู่ว่าง ยิ่งสิ้นคุณหญิงผู้เป็นญาติสนิท หล่อนยิ่งหาโน่นนี่ทำมือไม่วางแม้สักนาทีเดียว หลังจัดเตรียมของว่างและเครื่องดื่มเลี้ยงแขกซึ่งจะมาฟังสวดและสั่งบ่าวไว้เรียบร้อยว่าต้องทำอย่างไรแล้ว หล่อนก็มานั่งจีบพลูให้ง่วนอยู่บนระเบียงเรือน พลูเหล่านี้มีแม่ค้ามารับไปขายที่ตลาดทุกวัน
นับแต่สิ้นคุณหญิงละออ ความเข้าอกเข้าใจระหว่างสองหญิงต่างวัยก็ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ความเข้าใจนั้นมาจากความรู้สึกที่ว่าต่างก็มีส่วนในการตายของคุณหญิง...ไม่ว่าจะด้วยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
คุณกนกโทษตัวเองว่าเป็นคนนำเอาโรคร้ายเข้ามาในบ้าน ก็ในเมื่อเห็นๆ กันอยู่ว่าหล่อนเป็นคนแรกที่ล้มป่วย แม้หมอเชพเพิร์ดจะบอกแล้วว่าโรคซึ่งยุงเป็นตัวนำและตัวแพร่เชื้อนี้จะมาจากไหนก็ได้ทั้งสิ้น ไม่ใช่โรคที่ติดต่อจากคนหนึ่งไปอีกคนโดยตรง แต่หล่อนก็ยังหายอมรับเช่นนั้นไม่ ยังคงคิดอยู่แต่ว่าถ้าไม่เริ่มเป็นมาเลเรียก่อน ญาติผู้พี่ก็คงไม่ล้มป่วยเช่นกัน
ส่วนไอรีนแน่ใจว่าถ้าไม่รีบพาคุณหญิงกลับกรุงเทพในเวลาที่ท่านอ่อนแอและมีอาการของโรครุนแรงถึงขั้นนั้นแล้ว ท่านคงมีโอกาสหาย การเดินทางที่สมบุกสมบันมีส่วนทำให้อาการของท่านทรุดลงอย่างรวดเร็ว และในเมื่อทั้งคุณกนกและตัวเธอเองหายจากโรคได้เมื่อมีหมอมาดูอาการและให้ยาทันเวลา คุณหญิงก็ควรมีโอกาสเช่นนั้นด้วยเหมือนกัน แต่นี่พอท่านยืนยันจะกลับบ้านในทันที แทนที่จะคอยให้หมอมารักษาเสียที่พระบาท เธอก็ไม่ได้คัดค้าน
ในเวลานี้หญิงกลางคนผู้นี้เปรียบเสมือนผู้ร่วมรับรู้และเข้าใจความทุกข์และสำนึกในความผิดที่ว่านั้น
"แล้วนี่จะไปฟังสวดล่ะหรือ"
"ค่ะ วันนี้สวดวันสุดท้ายแล้ว คุณรามคงไม่ว่าอะไร" ท้ายประโยคหลังค่อยๆ แผ่วหายไปด้วยไม่แน่ใจสักเท่าไรนัก
คุณกนกเหลืบตาขึ้นดูใบหน้าละมุนซึ่งเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นบ้างแล้วอย่างเอ็นดู สาวน้อยอยู่ในโอวาสของสามีและยกให้เขาเป็นผู้ตัดสินใจไปเสียทุกเรื่อง
"ถ้าอย่างนั้นน้าฝากพลูพวกนี้ไปด้วยก็แล้วกัน เผื่อที่เตรียมไว้จะไม่พอ"
งานสวดศพมักมีการเตรียมหมากพลูไว้ต้อนรับผู้มาฟังสวดซึ่งเป็นหญิง และเตรียมบุหรี่ไว้ให้ฝ่ายชายเสมอ
"น้าจะไปดูในครัวเสียหน่อย" หล่อนพูดพลางแบ่งพลูบางส่วนรวมเข้าไว้ด้วยกัน แล้วยื่นส่งให้
"ที่จริงหนูไปช่วยพ่อรามรับแขกก็ดีเหมือนกัน"
น้าสาวของรามทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น และคนฟังก็ไม่สะกิดใจใดๆ ไปเห็นสิ่งซึ่งหล่อนพยายามบอกเป็นนัยๆ ก็เมื่อถึงตึกหลังใหญ่แล้วนั่นแหละ
บริเวณห้องโถงไว้หีบศพมีผู้คนนั่งๆ ยืนๆ กันอยู่แล้วหลายคน เท่าที่มองผ่านๆ ล้วนเป็นคนรู้จักของสามีทั้งสิ้น ทุกอย่างเตรียมไว้สำหรับงานสวดเรียบร้อยแล้ว นับตั้งแต่อาสนะสงฆ์สี่รูป และที่นั่งสำหรับผู้มาฟังสวด ไม่เพียงเท่านั้น คุณกนกยังคุมบ่าวผู้หญิงจัดดอกไม้แต่งหน้าศพเสียใหม่ทั้งหมดอีกด้วย
หากทว่าหล่อนก็ไม่มาร่วมฟังสวดพระอภิธรรมเช่นเดิม ว่าไปแล้วคุณกนกไม่มาฟังสวดเลยแม้แต่คืนเดียว เมื่อใจหมกมุ่นอยู่แต่กับความรู้สึกผิดที่ว่าตัวเองเป็นสาเหตุให้ญาติผู้พี่ถึงแก่ชีวิตก่อนเวลาอันควร หล่อนจึงมักมานั่งเฝ้าศพหลังจากแขกกลับกันหมดแล้วแทน คุณหญิงละออและคุณกนกอยู่ด้วยกันมานานกว่าสามสิบปี หล่อนจึงพอใจที่จะเก็บความรู้สึกนั้นไว้กับตัวแต่เพียงผู้เดียว...ความรู้สึกที่ว่าหล่อนอยู่ตามลำพังกับพี่ผู้มีพระคุณโดยไม่มีใครอื่นรอบข้าง...อย่างน้อยๆ ก็อีกห้าสิบวันนับจากนี้ไป คุณกนกหวังแต่เพียงว่านั่นจะเป็นระยะเวลานานพอที่จะทำใจได้บ้าง
รามกลับถึงบ้านแล้วจริงๆ เขายังคงอยู่ในเครื่องแบบ และกำลังยืนคุยกับนายทหารสองคนที่ประตูด้านหน้า พอขึ้นตึก เข้าประตูหลังแล้วมองตรงไปก็เห็นได้ในทันที ที่ทำให้ไอรีนถึงกับชะงักงันก็เมื่อเห็นว่าข้างๆ เขามีผู้หญิงคนหนึ่งยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้วย หล่อนยืนอยู่ตรงนั้นราวกับเป็นภรรยาของเขา และกำลังต้อนรับแขกร่วมกับสามี ถ้านั่นเป็นคุณวิไล เธอคงไม่รู้สึกว่าแปลกประหลาดแต่อย่างใด แต่นี่ไม่ใช่ กลับเป็นผู้หญิงคนซึ่งไม่น่าจะหาญกล้าถึงเพียงนั้น และเขาก็ไม่ควรยอมให้หล่อนทำเช่นนั้น
"คุณหญิง..." เสียงทุ้มนุ่มนวลมาจากทางฝั่งซ้ายของห้อง
สาวน้อยละสายตาจากภาพไม่น่าดูเบื้องหน้า แล้วหันไปมอง เห็นร่างโปร่งในชุดเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายแบบผู้ดีอังกฤษเช่นที่เคยเห็น เขากำลังเดินตรงมาหา เมื่อครู่ก็ไม่ทันได้สังเกตเห็นเพราะผู้คนดูละลานไปหมด อีกทั้งภาพบาดตาดึงความสนใจทั้งหมดไปที่นั่นเพียงอย่างเดียว
"เจ้า..." สาวน้อยรีบสอดพลูในมือลงในเชี่ยนหมากซึ่งวางอยู่บนตั่งเตี้ยๆ ชิดผนัง แล้วประนมมือขึ้นไหว้ผู้สูงวัยกว่าอย่างนอบน้อม
เจ้าประวัติวงศ์ยิ้มเต็มดวงหน้า นัยน์ตาดำสนิทดูพราวระยับ เขาเป็นฝ่ายทักทายขึ้นก่อนอย่างสนิทสนม ราวกับรู้จักกันมานาน
"คุณหญิงหายดีแล้วหรือ"
ไอรีนยืนคอยจนเขามาถึงตัว
"ดีขึ้นมากแล้วค่ะ ไม่ทราบว่าเจ้าลงมากรุงเทพ"
แขกผู้สูงด้วยชาติกำเนิดนั่งลงบนเก้าอี้ซึ่งวางอยู่ชิดผนังโดยไม่มีใครเชิญ พาให้ 'คุณหญิง' ต้องลงนั่งตาม ร่างน้อยๆนั่งหมิ่นเหม่ที่ริมเก้าอี้ ยังไม่วายชายตาไปทางประตูหน้าอีกครั้ง พอเห็นว่าสามีหันมองตรงมาก็เมินเสีย
"เจ้าคุณส่งข่าวไปครับคุณหญิง น่าใจหายนะครับ กระทันหันเสียจริง"
ไอรีนทำได้เพียงโต้ตอบตามมารยาท จิตใจไม่ได้อยู่ที่คนตรงหน้า มันกำลังเต้นตูมตามราวกลองเพลกับสิ่งที่เห็น และรู้ด้วยว่า 'เขา' เห็นเธอแล้วเช่นกัน
"ค่ะ ท่านล้มป่วยเร็วมาก ดิฉันคิดไม่ถึงเลยจริงๆ"
"เห็นเจ้าคุณบอกว่าไปพระบาทกัน"
ราชนิกุลหนุ่มเรียกเธอว่า 'คุณหญิง' และรามว่า 'เจ้าคุณ' ได้อย่างถนัดปาก จับอากัปกิริยาผิดปกติของสาวน้อยได้แต่แรกเห็น จึงมองตามสายตาไปทางนั้นแวบหนึ่ง เห็นว่าร่างสูงใหญ่กำลังผละจากแขกซึ่งเพิ่งมาถึง
"ค่ะเจ้า คุณแม่เริ่มมีไข้ก่อนถึงพระบาท พอไปถึงไข้ก็ขึ้นสูง"
เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังแว่วมาให้ได้ยิน ไอรีนรู้ว่าเป็นใคร ก็จำได้แม้แต่เสียงฝีเท้าของเขา แต่ไม่ยอมหันไปมอง น้อยใจที่เขาปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นทำเหมือนเข้ามาแทนที่เธอ วันนี้คนออกเต็มบ้าน มาเห็นเข้าแบบนี้ จะคิดกันอย่างไร แล้วตัวเขาเองเล่า เขาคิดอย่างไร
แต่แล้วก็อดปรายตามองเสียหน่อยไม่ได้เมื่อเสียงฝีเท้ามาถึงตัว ร่างสูงมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ วางมือลงบนบ่าอย่างจงใจแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
"กำลังจะไปถามว่าเธอจะมาฟังสวดหรือเปล่า แล้วนี่เดินมาเองหรือ" เขาเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายก่อน
คำตอบสั้นนิดเดียว และคนตอบก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองคนถาม
"ค่ะ"
มือแข็งแรงที่บ่าบีบเบาๆ ยังไม่สังเกตเห็นท่าทีผิดปกตินั้น
"เจอหนังสือที่มองหาหรือเปล่าครับเจ้า"
"ยังดูไม่หมดเลย หนังสือของเจ้าคุณมากเหลือเกิน วันหลังคงต้องมาลองหาดูใหม่ คงไม่ว่าอะไรนะครับ"
"ตามสบายเลยครับเจ้า อยากได้หนังสืออะไร ให้ไอรีนช่วยหาสิครับ เมียผมเขาชอบอ่านหนังสือ ที่มีอยู่ในห้องหนังสือคงค้นมาอ่านหมดแล้วกระมัง" ประโยคหลังกลั้วเสียงหัวเราะ
คนนั่งฟังเงียบๆ สะกิดใจไม่น้อยกับคำว่า 'เมีย' ที่เขาใช้ ดูเหมือนจะเน้นคำนั้นเสียด้วย พอแหงนหน้าขึ้นมอง ก็สบตาคมลึกซึ่งกำลังก้มลงหาพอดี รอยยิ้มจางๆ ระบายอยู่ที่มุมปาก แต่พอเห็นสีหน้าไม่สู้ดีที่มองตอบกลับมา รอยยิ้มนั้นก็เลือนหายไป ด้วยไม่เข้าใจในทันทีว่าทำไม
"ถ้าอย่างนั้นก็ดีสิ อีกสักสองสามวันคงต้องมาใหม่ คงต้องขอให้คุณหญิงช่วยดูให้ หวังว่าคงไม่รบกวนจนเกินไป" เสียงทุ้มๆ ของเจ้าประวัติวงศ์แกว่งไปจนผิดปกติ กระแอมในลำคอเบาๆ ก่อนลุกยืน
สาวน้อยขยับจะลุกตาม แต่เมื่อสามียังคงยืนค้ำอยู่ตรงหน้า จึงต้องกลับนั่งลงดังเดิม จนเห็นความเคลื่อนไหวให้พลุกพล่านจากหางตา พระสงฆ์สี่รูปกำลังก้าวตามกันเข้ามาภายใน มีเปรื่องเดินนำ
รามบีบไหล่ภรรยาอีกครั้งก่อนปล่อยให้ลุกยืน ปากบอกชายหนุ่มวัยเดียวกันอย่างสุภาพ
"ตามสบายนะครับเจ้า"
ไอรีนยิ้มให้แขกผู้สูงด้วยชาติกำเนิดก่อนตามสามีไปช่วยนิมนต์พระให้เข้านั่งประจำที่บนอาสนะสงฆ์ แล้วตามติดไปลงนั่งพับเพียบทางด้านหลังที่หน้าพระประธาน ตาจับนิ่งอยู่กับไหล่กว้างผึ่งผาย เขากำลังจุดธูปเทียนเพื่อบูชาพระรัตนตรัย แล้วเหลียวมาหา พอเห็นว่าเธออยู่ใกล้ๆ ก็พยักหน้าให้เลื่อนตัวขึ้นมาเคียง พร้อมกับส่งธูปในมือให้
แขกซึ่งมาฟังสวดพระอภิธรรมวันสุดท้ายมีเพียงคนรู้จักคุ้นเคยและญาติพี่น้องที่สนิทกันจริงๆ เท่านั้น รามต้องการให้งานสวดวันนี้และการทำบุญเจ็ดวันในวันรุ่งขึ้นเป็นงานส่วนตัวกว่างานสวดหกวันที่ผ่านมา
บันทึกคุณหญิงไอรีน (บทที่ ๒๓)
ขอบคุณ คุณ ริมแม่โขง, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณดาว Lady Star 919 คุณ, สายป่านสีชมพู, จารย์จี Psycho man
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ
บทก่อนๆ ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
"ค่อยยังชั่วแล้วหรือ"
ไม่บ่อยครั้งนักหรอกที่คุณกนกจะพูดกับใครก่อน ญาติผู้น้องของคุณหญิงละออปกติเงียบขรึม หล่อนมักไม่ใคร่ทักทายใคร ไม่เป็นฝ่ายเริ่มคุยกับใคร มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ให้ความสนิทสนม คนแรกคือตัวคุณหญิงเอง อีกคนคือคุณราม...ผู้ซึ่งหล่อนเห็นมาแต่เล็กแต่น้อย
"สบายขึ้นมากแล้วค่ะคุณน้า"
ร่างบอบบาง...ซูบลงไปไม่น้อยหลังเจ็บป่วย...อยู่ในชุดซิ่นดำ เสื้อคอกลมแขนกระบอกสีเดียวกัน ทรุดตัวลงนั่งพับเพียบตรงหน้าคนสูงวัยกว่า ยังพอมีเวลาเหลืออยู่บ้างก่อนที่สามีจะกลับถึงบ้านและแขกเริ่มมาฟังสวด วันนี้สวดพระอภิธรรมวันสุดท้ายแล้ว เมื่อวานหลังจากขนเสื้อผ้าข้าวของเท่าที่จำเป็นมาเรือนไม้ริมคลองหลังนี้ เธอไม่ได้กลับไปร่วมงานศพคุณหญิงละออตามที่ตั้งใจ คุณรามบอกให้นอนพักเสียเพราะเห็นว่ายังไม่แข็งแรงพอ และอาการป่วยไข้ก็ยังมีให้เห็น แต่วันนี้ตั้งใจไว้แล้วว่าไม่ว่าเขาจะว่าอย่างไร ก็จะไปกราบศพคุณหญิงและจะอยู่ฟังสวดให้จนได้ ก็ในเมื่อเป็นวันสุดท้ายแล้วอย่างนี้
คุณกนกไม่เคยอยู่ว่าง ยิ่งสิ้นคุณหญิงผู้เป็นญาติสนิท หล่อนยิ่งหาโน่นนี่ทำมือไม่วางแม้สักนาทีเดียว หลังจัดเตรียมของว่างและเครื่องดื่มเลี้ยงแขกซึ่งจะมาฟังสวดและสั่งบ่าวไว้เรียบร้อยว่าต้องทำอย่างไรแล้ว หล่อนก็มานั่งจีบพลูให้ง่วนอยู่บนระเบียงเรือน พลูเหล่านี้มีแม่ค้ามารับไปขายที่ตลาดทุกวัน
นับแต่สิ้นคุณหญิงละออ ความเข้าอกเข้าใจระหว่างสองหญิงต่างวัยก็ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ความเข้าใจนั้นมาจากความรู้สึกที่ว่าต่างก็มีส่วนในการตายของคุณหญิง...ไม่ว่าจะด้วยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
คุณกนกโทษตัวเองว่าเป็นคนนำเอาโรคร้ายเข้ามาในบ้าน ก็ในเมื่อเห็นๆ กันอยู่ว่าหล่อนเป็นคนแรกที่ล้มป่วย แม้หมอเชพเพิร์ดจะบอกแล้วว่าโรคซึ่งยุงเป็นตัวนำและตัวแพร่เชื้อนี้จะมาจากไหนก็ได้ทั้งสิ้น ไม่ใช่โรคที่ติดต่อจากคนหนึ่งไปอีกคนโดยตรง แต่หล่อนก็ยังหายอมรับเช่นนั้นไม่ ยังคงคิดอยู่แต่ว่าถ้าไม่เริ่มเป็นมาเลเรียก่อน ญาติผู้พี่ก็คงไม่ล้มป่วยเช่นกัน
ส่วนไอรีนแน่ใจว่าถ้าไม่รีบพาคุณหญิงกลับกรุงเทพในเวลาที่ท่านอ่อนแอและมีอาการของโรครุนแรงถึงขั้นนั้นแล้ว ท่านคงมีโอกาสหาย การเดินทางที่สมบุกสมบันมีส่วนทำให้อาการของท่านทรุดลงอย่างรวดเร็ว และในเมื่อทั้งคุณกนกและตัวเธอเองหายจากโรคได้เมื่อมีหมอมาดูอาการและให้ยาทันเวลา คุณหญิงก็ควรมีโอกาสเช่นนั้นด้วยเหมือนกัน แต่นี่พอท่านยืนยันจะกลับบ้านในทันที แทนที่จะคอยให้หมอมารักษาเสียที่พระบาท เธอก็ไม่ได้คัดค้าน
ในเวลานี้หญิงกลางคนผู้นี้เปรียบเสมือนผู้ร่วมรับรู้และเข้าใจความทุกข์และสำนึกในความผิดที่ว่านั้น
"แล้วนี่จะไปฟังสวดล่ะหรือ"
"ค่ะ วันนี้สวดวันสุดท้ายแล้ว คุณรามคงไม่ว่าอะไร" ท้ายประโยคหลังค่อยๆ แผ่วหายไปด้วยไม่แน่ใจสักเท่าไรนัก
คุณกนกเหลืบตาขึ้นดูใบหน้าละมุนซึ่งเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นบ้างแล้วอย่างเอ็นดู สาวน้อยอยู่ในโอวาสของสามีและยกให้เขาเป็นผู้ตัดสินใจไปเสียทุกเรื่อง
"ถ้าอย่างนั้นน้าฝากพลูพวกนี้ไปด้วยก็แล้วกัน เผื่อที่เตรียมไว้จะไม่พอ"
งานสวดศพมักมีการเตรียมหมากพลูไว้ต้อนรับผู้มาฟังสวดซึ่งเป็นหญิง และเตรียมบุหรี่ไว้ให้ฝ่ายชายเสมอ
"น้าจะไปดูในครัวเสียหน่อย" หล่อนพูดพลางแบ่งพลูบางส่วนรวมเข้าไว้ด้วยกัน แล้วยื่นส่งให้
"ที่จริงหนูไปช่วยพ่อรามรับแขกก็ดีเหมือนกัน"
น้าสาวของรามทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น และคนฟังก็ไม่สะกิดใจใดๆ ไปเห็นสิ่งซึ่งหล่อนพยายามบอกเป็นนัยๆ ก็เมื่อถึงตึกหลังใหญ่แล้วนั่นแหละ
บริเวณห้องโถงไว้หีบศพมีผู้คนนั่งๆ ยืนๆ กันอยู่แล้วหลายคน เท่าที่มองผ่านๆ ล้วนเป็นคนรู้จักของสามีทั้งสิ้น ทุกอย่างเตรียมไว้สำหรับงานสวดเรียบร้อยแล้ว นับตั้งแต่อาสนะสงฆ์สี่รูป และที่นั่งสำหรับผู้มาฟังสวด ไม่เพียงเท่านั้น คุณกนกยังคุมบ่าวผู้หญิงจัดดอกไม้แต่งหน้าศพเสียใหม่ทั้งหมดอีกด้วย
หากทว่าหล่อนก็ไม่มาร่วมฟังสวดพระอภิธรรมเช่นเดิม ว่าไปแล้วคุณกนกไม่มาฟังสวดเลยแม้แต่คืนเดียว เมื่อใจหมกมุ่นอยู่แต่กับความรู้สึกผิดที่ว่าตัวเองเป็นสาเหตุให้ญาติผู้พี่ถึงแก่ชีวิตก่อนเวลาอันควร หล่อนจึงมักมานั่งเฝ้าศพหลังจากแขกกลับกันหมดแล้วแทน คุณหญิงละออและคุณกนกอยู่ด้วยกันมานานกว่าสามสิบปี หล่อนจึงพอใจที่จะเก็บความรู้สึกนั้นไว้กับตัวแต่เพียงผู้เดียว...ความรู้สึกที่ว่าหล่อนอยู่ตามลำพังกับพี่ผู้มีพระคุณโดยไม่มีใครอื่นรอบข้าง...อย่างน้อยๆ ก็อีกห้าสิบวันนับจากนี้ไป คุณกนกหวังแต่เพียงว่านั่นจะเป็นระยะเวลานานพอที่จะทำใจได้บ้าง
รามกลับถึงบ้านแล้วจริงๆ เขายังคงอยู่ในเครื่องแบบ และกำลังยืนคุยกับนายทหารสองคนที่ประตูด้านหน้า พอขึ้นตึก เข้าประตูหลังแล้วมองตรงไปก็เห็นได้ในทันที ที่ทำให้ไอรีนถึงกับชะงักงันก็เมื่อเห็นว่าข้างๆ เขามีผู้หญิงคนหนึ่งยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้วย หล่อนยืนอยู่ตรงนั้นราวกับเป็นภรรยาของเขา และกำลังต้อนรับแขกร่วมกับสามี ถ้านั่นเป็นคุณวิไล เธอคงไม่รู้สึกว่าแปลกประหลาดแต่อย่างใด แต่นี่ไม่ใช่ กลับเป็นผู้หญิงคนซึ่งไม่น่าจะหาญกล้าถึงเพียงนั้น และเขาก็ไม่ควรยอมให้หล่อนทำเช่นนั้น
"คุณหญิง..." เสียงทุ้มนุ่มนวลมาจากทางฝั่งซ้ายของห้อง
สาวน้อยละสายตาจากภาพไม่น่าดูเบื้องหน้า แล้วหันไปมอง เห็นร่างโปร่งในชุดเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายแบบผู้ดีอังกฤษเช่นที่เคยเห็น เขากำลังเดินตรงมาหา เมื่อครู่ก็ไม่ทันได้สังเกตเห็นเพราะผู้คนดูละลานไปหมด อีกทั้งภาพบาดตาดึงความสนใจทั้งหมดไปที่นั่นเพียงอย่างเดียว
"เจ้า..." สาวน้อยรีบสอดพลูในมือลงในเชี่ยนหมากซึ่งวางอยู่บนตั่งเตี้ยๆ ชิดผนัง แล้วประนมมือขึ้นไหว้ผู้สูงวัยกว่าอย่างนอบน้อม
เจ้าประวัติวงศ์ยิ้มเต็มดวงหน้า นัยน์ตาดำสนิทดูพราวระยับ เขาเป็นฝ่ายทักทายขึ้นก่อนอย่างสนิทสนม ราวกับรู้จักกันมานาน
"คุณหญิงหายดีแล้วหรือ"
ไอรีนยืนคอยจนเขามาถึงตัว
"ดีขึ้นมากแล้วค่ะ ไม่ทราบว่าเจ้าลงมากรุงเทพ"
แขกผู้สูงด้วยชาติกำเนิดนั่งลงบนเก้าอี้ซึ่งวางอยู่ชิดผนังโดยไม่มีใครเชิญ พาให้ 'คุณหญิง' ต้องลงนั่งตาม ร่างน้อยๆนั่งหมิ่นเหม่ที่ริมเก้าอี้ ยังไม่วายชายตาไปทางประตูหน้าอีกครั้ง พอเห็นว่าสามีหันมองตรงมาก็เมินเสีย
"เจ้าคุณส่งข่าวไปครับคุณหญิง น่าใจหายนะครับ กระทันหันเสียจริง"
ไอรีนทำได้เพียงโต้ตอบตามมารยาท จิตใจไม่ได้อยู่ที่คนตรงหน้า มันกำลังเต้นตูมตามราวกลองเพลกับสิ่งที่เห็น และรู้ด้วยว่า 'เขา' เห็นเธอแล้วเช่นกัน
"ค่ะ ท่านล้มป่วยเร็วมาก ดิฉันคิดไม่ถึงเลยจริงๆ"
"เห็นเจ้าคุณบอกว่าไปพระบาทกัน"
ราชนิกุลหนุ่มเรียกเธอว่า 'คุณหญิง' และรามว่า 'เจ้าคุณ' ได้อย่างถนัดปาก จับอากัปกิริยาผิดปกติของสาวน้อยได้แต่แรกเห็น จึงมองตามสายตาไปทางนั้นแวบหนึ่ง เห็นว่าร่างสูงใหญ่กำลังผละจากแขกซึ่งเพิ่งมาถึง
"ค่ะเจ้า คุณแม่เริ่มมีไข้ก่อนถึงพระบาท พอไปถึงไข้ก็ขึ้นสูง"
เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังแว่วมาให้ได้ยิน ไอรีนรู้ว่าเป็นใคร ก็จำได้แม้แต่เสียงฝีเท้าของเขา แต่ไม่ยอมหันไปมอง น้อยใจที่เขาปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นทำเหมือนเข้ามาแทนที่เธอ วันนี้คนออกเต็มบ้าน มาเห็นเข้าแบบนี้ จะคิดกันอย่างไร แล้วตัวเขาเองเล่า เขาคิดอย่างไร
แต่แล้วก็อดปรายตามองเสียหน่อยไม่ได้เมื่อเสียงฝีเท้ามาถึงตัว ร่างสูงมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ วางมือลงบนบ่าอย่างจงใจแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
"กำลังจะไปถามว่าเธอจะมาฟังสวดหรือเปล่า แล้วนี่เดินมาเองหรือ" เขาเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายก่อน
คำตอบสั้นนิดเดียว และคนตอบก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองคนถาม
"ค่ะ"
มือแข็งแรงที่บ่าบีบเบาๆ ยังไม่สังเกตเห็นท่าทีผิดปกตินั้น
"เจอหนังสือที่มองหาหรือเปล่าครับเจ้า"
"ยังดูไม่หมดเลย หนังสือของเจ้าคุณมากเหลือเกิน วันหลังคงต้องมาลองหาดูใหม่ คงไม่ว่าอะไรนะครับ"
"ตามสบายเลยครับเจ้า อยากได้หนังสืออะไร ให้ไอรีนช่วยหาสิครับ เมียผมเขาชอบอ่านหนังสือ ที่มีอยู่ในห้องหนังสือคงค้นมาอ่านหมดแล้วกระมัง" ประโยคหลังกลั้วเสียงหัวเราะ
คนนั่งฟังเงียบๆ สะกิดใจไม่น้อยกับคำว่า 'เมีย' ที่เขาใช้ ดูเหมือนจะเน้นคำนั้นเสียด้วย พอแหงนหน้าขึ้นมอง ก็สบตาคมลึกซึ่งกำลังก้มลงหาพอดี รอยยิ้มจางๆ ระบายอยู่ที่มุมปาก แต่พอเห็นสีหน้าไม่สู้ดีที่มองตอบกลับมา รอยยิ้มนั้นก็เลือนหายไป ด้วยไม่เข้าใจในทันทีว่าทำไม
"ถ้าอย่างนั้นก็ดีสิ อีกสักสองสามวันคงต้องมาใหม่ คงต้องขอให้คุณหญิงช่วยดูให้ หวังว่าคงไม่รบกวนจนเกินไป" เสียงทุ้มๆ ของเจ้าประวัติวงศ์แกว่งไปจนผิดปกติ กระแอมในลำคอเบาๆ ก่อนลุกยืน
สาวน้อยขยับจะลุกตาม แต่เมื่อสามียังคงยืนค้ำอยู่ตรงหน้า จึงต้องกลับนั่งลงดังเดิม จนเห็นความเคลื่อนไหวให้พลุกพล่านจากหางตา พระสงฆ์สี่รูปกำลังก้าวตามกันเข้ามาภายใน มีเปรื่องเดินนำ
รามบีบไหล่ภรรยาอีกครั้งก่อนปล่อยให้ลุกยืน ปากบอกชายหนุ่มวัยเดียวกันอย่างสุภาพ
"ตามสบายนะครับเจ้า"
ไอรีนยิ้มให้แขกผู้สูงด้วยชาติกำเนิดก่อนตามสามีไปช่วยนิมนต์พระให้เข้านั่งประจำที่บนอาสนะสงฆ์ แล้วตามติดไปลงนั่งพับเพียบทางด้านหลังที่หน้าพระประธาน ตาจับนิ่งอยู่กับไหล่กว้างผึ่งผาย เขากำลังจุดธูปเทียนเพื่อบูชาพระรัตนตรัย แล้วเหลียวมาหา พอเห็นว่าเธออยู่ใกล้ๆ ก็พยักหน้าให้เลื่อนตัวขึ้นมาเคียง พร้อมกับส่งธูปในมือให้
แขกซึ่งมาฟังสวดพระอภิธรรมวันสุดท้ายมีเพียงคนรู้จักคุ้นเคยและญาติพี่น้องที่สนิทกันจริงๆ เท่านั้น รามต้องการให้งานสวดวันนี้และการทำบุญเจ็ดวันในวันรุ่งขึ้นเป็นงานส่วนตัวกว่างานสวดหกวันที่ผ่านมา