บริษัททำแบบนี้กับพนักงานก็ได้ด้วยหรอออ

กระทู้คำถาม
ก่อนอื่นต้องขอชี้แจงก่อนนะว่าการที่เราตั้งกระทู้นี้เพื่ออยากสอบถามทุกคน ว่าบริษัทสามารถทำแบบนี้กับพนักงานที่เขาพยายามจะบีบให้ออกหลายต่อหลายครั้ง เพียงเพราะว่าผู้บริหารไม่ชอบหน้า (แบบนี้ก็ได้ด้วยหรออออ)

อันดับแรก
เราเข้ามาเริ่มงานบริษัทที่ทำเกี่ยวกับห้องพักให้เช่าในช่วงต้นปี 2016 ที่ผ่านมา ที่บ่อวิน ศรีราชา จ.ชลบุรี ติดกับโรงเรียนมารีวิทย์โดย GM ตอนนั้นให้เราและพี่อีก 2 คน มาทำงานด้วยกันเนื่องจากเป็นบริษัทเปิดใหม่ พนง.ก็ยังมีไม่มากพอ ซึ่งเรามาทำงานในตำแหน่งการตลาดร่วมกับทีมฝ่ายขายอีก 3 คน ส่วนตัวเราเป็นคนตรงๆ รู้สึกยังไง ถึงจะเก็บท่าทางได้ แต่สีหน้าเรามักจะไม่เป็นใจด้วยเท่าไหร่ (นี่คือข้อเสียของเรา) การที่มีพนง. ไม่มาก ทำให้พนง.แต่ละคนต้องทำงานส่วนอื่นๆ เพิ่มจากหน้าที่ของตัวเอง และก็เราไม่ได้เป็นคนทำงานเก่งอะไรมากมาย แต่เราเป็นคนที่อยากทำงานที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง

ฝ่ายไหนทำงานช้า เราและพี่อีกคนก็ต้องรับงานของฝ่ายนั้นมาทำ
- CRM นางมาจากเมืองนอก ฐานะที่บ้านรวย แต่ทำงานไม่เป็นเลย เคยแต่สอนคนนั้นคนนี้แต่งานตัวเองแก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้เลย และตอนนี้ก็ย้ายไปอยู่หน้าฟร้อน และชอบโทษคนนั้นคนนี้ โทษลูกน้อง ทำให้ลูกน้องต้องไปปรึกษาคนอื่น พอตัวเองรู้ก็บอกว่า ข้ามหน้าข้ามตา ไม่พอใจ ไปฟ้องฝ่ายบุคคลให้เอาออกเลย (ไหวป่ะ?)

- ฝ่ายบุคคลที่ไม่ค่อยจะเป็นกลางสักเท่าไหร่ ทำงานช้า พอทำงานช้า งานส่วนนี้ก็ตกมาเราและพี่อีกคน (คือ งานที่อยู่ในมือก็จะไม่ทันแล้ววว 55)

- ฝ่ายจัดซื้อ ฝ่ายจัดซื้อที่นี่ มีแค่คนเดียว เพราะฉะนั้นการสั่งซื้อของ เช็คของ ทุกอย่างจะอยู่ที่พี่คนนี้คนเดียว ทำให้บางอย่างล่าช้า เราและพี่อีกคนต้องช่วยกันสั่งซื้อของในกรณีที่มีการจัดงานของลูกค้า

ตัดมาถึงจุดพีคครั้งแรกของทีม GM คนนี้ มีเราและพี่ร่วมทีมอีก 4 คน
(บริษัทนี้มีผู้บริหาร 3 คน เราขอใช้ชื่อเรียกเป็นอักษรนะ A, B, C)

ผู้บริหาร B ให้ GM พิสูจน์ความสามารถของตัวเองเป็นภายใน 6 เดือน โดยต้องหาลูกค้า Long term มาเข้าพักให้ได้ 50 ห้อง แต่ทุกคนเชื่อมั๊ย ผ่านไปเพียง 2 เดือน คุณ B กลับบอกว่า GM ไม่มีผลงาน (คือ ลูกค้าที่เป็นชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะติดสัญญาที่ตนพักอยู่ ส่วนใหญ่ 1 ปี) ถึงไปติดต่อแล้วให้เขาย้ายออกมาพักกับเราเลยทันที มันทำไม่ได้อยู่แล้ว ตามพื้นฐานนิสัยคนญี่ปุ่น ใครเคยทำงานกับคนญี่ปุ่นน่าจะเข้าใจเป็นอย่างดี นอกจากจะฝากเอกสารเพื่อนำเสนอสำหรับปีถัดไปแทน แต่ที่ได้ยินมาอีกคือ หาก GM คนนี้ผ่านโปร การให้ออกหลังจากนั้นมันจะเป็นเรื่องยาก และมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ทำให้คุณ B อ้างว่า GM ไม่มีผลงาน เป้าหมายยังได้ไม่มากพอ แต่คือคุณให้เขาทำตำแหน่ง GM แต่ไม่ได้ให้อำนาจการตัดสินใจอะไรเลย มันโอเคป่ะ? สรุปคือ ให้ GM ออก พร้อมทีม แต่ผู้บริหาร C ขอเราและพี่อีก 2 คนหนึ่งไว้ แต่พี่อีกคนเขาบอกเบื่อพี่เซลอีกคน (ขอเรียกว่าพี่ที่ถูกเบือว่า S นะ) เขาเลยออกไปพร้อมกับ GM เลย ทั้งๆที่คุณ C อยากให้พี่คนนี้อยู่เพราะเขาทำงานดี มีความพยายาม แต่คุณ B คือหัวรั้น ก็คนมันไม่เอาอ่ะ

พี่ S ทำงานเอกสารไม่ได้เรื่อง และชอบไปรับปากลูกค้าบลาๆ พอทำไม่ได้ ก็จะว่าลูกค้าพูดไม่รู้เรื่อง และยังชอบแทงข้างหลังเพื่อนร่วมงาน คือถ้าโลกนี้จะแตก คนที่รอดคือ พี่ S นี่แหละ (ด้วยท่าทางแบ๊วๆ ไสยๆ ย้ำ ไสยๆ)

ช่วงที่ GM ออก คุณ B เรียกทุกคนขึ้นไปให้กำลังใจ ว่าโอเคนะ มีอะไรก็บอกพี่ได้นะ เขาก็เรียกเราไปนะ แต่เราไม่ไป คือ จะไปเพื่ออะไร? แค่เรียกไปบอกว่า GM ไม่อยู่แล้ว เราจะมีรายได้เข้ามาเยอะเหมือนสาขาเดิม แต่คือ คุณมองอะไรพลาดไปหรือเปล่า ที่นี่ชลบุรีนะ คู่แข่งคุณก็เยอะขนาดนี้ ที่พักคุณก็ไม่ได้เลิศเลออะไรเบอร์นั้น แค่ทางเข้ายังไม่มีการปรับปรุงให้มันน่าเข้าเลย ฝนตกทีน้ำท่วมนอง คือพอเราบอกว่า ทางเข้ามันเป็นหน้าตาของบริษัท คุณ B ก็บอกว่า ไม่เป็นไร ค่อยๆทำไป คือไร? การติดป้ายโฆษณา จะให้ใส่ everything ลงไปในป้าย คือ_ึง บ้าไปหรือเปล่า ป้ายก็อยู่ตรงโค้ง ใครจะอ่านทัน ป้ายก็มีเป็นร้อย ที่ตั้งบริษัทก็เป็นแอ่ง โรงเรียนยังดูใหญ่และน่าสนใจกว่าอีก ง่ายๆคือ อะไรที่เป็นส่วนที่ช่วยให้ขายห้องได้ เขากลับไม่ทำ แต่ไปเน้นว่า วันนี้ฝ่ายขายออกไปพบลูกค้ากี่บริษัท บริษัทใหม่กี่บริษัท ต้องเข้าพบบริษัทใหม่เยอะๆนะ เฮ้ยย อันนั้นเขาก็ต้องทำอยู่แล้วป่ะ ลูกค้าเข้ามา first impression ก็ไม่ได้ละ   เราก็ไม่ค่อยจะพอใจคุณ B เท่าไหร่ เอกสารเสนอเซ็นต์ที่เรานำเสนอไป คือ ให้พักไว้ก่อน เราก็รอไปสิ ทำงานอื่นก็ติด คุณจะไม่เซ็นต์อนุมัติบอกมาสิ จะได้ไปทำอย่างอื่น ทำให้งานเราส่วนอื่นมันล่าช้าไปอีก และด้วยความที่เราเก็บสีหน้าไม่อยู่ ทำให้คุณ B รู้ว่าเรารู้สึกยังไง ยิ่งพอมีคุณ C เข้ามา และขอให้เราทำงานต่อ เขาก็ยิ่งไม่พอใจ

ตัดมาที่การเอาทีม GM ออกทำให้คนที่ต้องดูแลงานฟังก์ชั่นขาด เพราะพี่ S ต้องออกไปหาลูกค้า เราเลยรับอาสารับผิดชอบในส่วนนี้ โดยที่เราก็ไม่เคยทำมันมาก่อนหรอก แต่ก็คิดว่ามันก็ไม่น่าจะยากเกินไป เพราะเรามีพี่ๆ ที่เคยทำด้านนี้มา เราน่าจะขอคำปรึกษาพี่ๆเขาได้ เลยรับมาโดยมีข้อแม้ว่า เราจะไม่รับงานที่เซลได้ทำการปิดงานกับลูกค้าไปแล้ว หากถึงวันงานของลูกค้ารายนั้น เซลคนที่ดูแลอยู่ต้องมาดูแลลูกค้าเอง ทุกคนรู้มั๊ย ว่าเรามาทำงานฟังก์ชั่น ไม่มีใครมาสอนอะไรเราเลย เราต้องใช้เวลาศึกษาและทำความเข้าใจ 3 วันเต็มๆ และทำเอกสารเสนอลูกค้าใหม่หมดทุกอย่าง เพราะพี่ S นางสอนไรไม่ได้เลย พอเรามาทำ ลูกค้าที่ได้ติดต่อกับพี่ S ไว้ เกือบจะ 80 % บอกว่านางเป็นเซลที่คุยไม่รู้เรื่อง แล้วเราต้องโดนลูกค้าด่า เพราะนาง!! เรานี่นับ 1 ถึง 100 เป็นร้อยๆรอบอ่ะ พอเราถามเกี่ยวกับลูกค้านาง นางจำได้แค่ไหนก็จะบอก พอนึกได้ก็จะบอก แต่คือตอนนั้น เราโดนลูกค้าด่าไปแล้วอ่ะ ว่าพวกคุณไม่ต่องานกันหรือไง เรานี่อึ้งเลย พูดไรก็ไม่ได้ ไม่อยากให้ลูกค้าคิดว่า คุณทำไมต้องโทษคนอื่น อะไรประมาณนี้  ทำให้เรามีเหวี่ยงพี่ S ไปบ้าง จนนางไม่กล้ามาบอกรายละเอียดงานตัวอื่นกับเรา แต่ไปบอกกับพี่อีกคนแล้วให้มาบอกเรา เรายิ่งโมโห เพราะเขาต้องรับสารและส่งสารต่อ เราก็กลัวจะรับสารไม่ครบ (ใครที่เคยทำงานฟังก์ชั่น จะรู้ว่ามันมีรายละเอียดเยอะ) เราเลยถามไปว่าแล้วทำไมพี่เขาไม่มาคุยเอง พี่ส่งสารบอกว่า พี่ S ไม่กล้ากลัวเรา เฮ้อ! แต่เราดันทำได้ และคุณ C บอกว่าเราทำได้ดี ประสานงานกับคนในองค์กรได้ดี กระจายงานได้ชัดเจน สรุปรายละเอียดกับลูกค้าได้ดี คุณ C จึงให้อำนาจการตัดสินใจเรื่องราคากับเรา (แอบบอกว่าเราค่อยข้างจะเคี่ยวนิดนึง) วันหนึ่งๆ เรารับลูกค้า walk in 2-3 บริษัท ไม่นับรวมกับลูกค้า call in เข้ามา ทำให้พี่ S เขาก็ไม่ค่อยจะพอใจนักหรอก เราก็เห็นเขาชอบไปคุยกับคุณ B นะ แต่ต้องยอมรับว่าคุณ B เขาปกป้องทีมเขาที่ชอบเข้าหาเขา ชอบคนปากหวาน แต่เราไม่ใช่ไง เราชอบเข้าหาคุณ C มากกว่าเพราะเด็ดขาดชัดเจน ตรงๆ ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่ชอบก็บอกไม่ชอบ ลูกค้าบางคน พี่ S จะชอบบอกว่า ดีนะที่เราได้ดูแลลูกค้าคนนี้ พี่จะบอกว่าลูกค้าคนนี้นะ เรื่องมาก เราได้ยินเราเลยตอบกลับไปว่า ก็ไม่นะคะ ลูกค้าน่ารัก แค่ชัดเจนกับเขา หนูก็เห็นว่าลูกค้าค่อยข้างจะเกรงใจหนูด้วยซ้ำ .. นั่นยิ่งทำให้เขาไม่พอใจ เรารู้นะ แต่คือ มือไม่พายก็อย่าเอาเท้าราน้ำสิ

ตัดมาที่มีเซลใหม่มา

แหละนี่คือจุดเปลี่ยนครั้งที่ 2 เราได้มาดูการตลาดเต็มตัว และเขาก็ให้เวลาพิสูจน์ 1 เดือน ช่วงที่เราดูงานฟังก์ชั่น เราก็ไม่ค่อยมีเวลาได้หยุดหรอก ไม่ได้กลับบ้านหาพ่อแม่ เราเลยถือโอกาสที่เซลมาใหม่นี่ กลับบ้านโดยเอาวันที่เราสะสมจากการทำงานวันหยุด มาแลก รวมเสาร์-อาทิตย์ ทั้งหมด 9 วัน (ต้องบอกก่อนนะที่เราหยุดเยอะขนาดนั้น เพราะพ่อเราป่วยหนักด้วย) ช่วงที่เรากลับบ้านพี่ๆ ที่ทำงานก็บอกว่า คุณ B พยายามจ้องเล่นเราทุกอย่าง ถามว่าเราผ่านโปรยัง ใครประเมิน (ถ้าทำงานเกิน 120 วัน เรายังไม่ประเมิน เขาก็ถือว่าบริษัทให้ผ่านโปรหรือเปล่า?) พี่คนที่โดนถามเลยตอบไปว่า ประเมินแล้วครับ ผมกับคุณ C เป็นคนประเมิน คุณ B ก็เอ้าหรอๆๆ แล้วใครให้เราหยุด พี่เขาก็บอกว่า คุณ C เขาก็ยิ่งไม่พอใจ เพราะเหมือนว่า เขาไม่ได้เป็นคนสำคัญ เขาไม่รู้เรื่อง พอหลังจากกลับมาจากบ้าน เราก็ลุยงานตลาดเต็มที่ ผ่านไป 2 สัปดาห์ คุณ B และคุณ C รวมทั้งฝ่ายบุคคลคนปัจจุบัน ประชุมหารือกัน คือประมาณว่า คุณ B ยังไงก็จะเอาเราออก คุณ C ถามว่า คุณต้องแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวให้ออกนะ (เรื่องส่วนตัวที่ว่า คือเขาไม่ชอบเรา และเราก็พยายามค้นหาว่า ทำไมเขาต้องไม่ชอบเราขนาดนั้น แค่เพราะเราไม่ขึ้นตรงกับเขา หรอ? เพราะคุณ C บอกเองว่า การตลาดและเซลผมจะดูแลเอง) คุณ C ก็แย้งไปว่า คุณ S เขาก็ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันเลยนะ งั้นคุณ S ก็ต้องประเมินไม่ผ่าน ไม่มีผลงานเหมือนกัน ผมไม่รู้หรอกนะ ว่าคุณกับคุณ S มีอะไรลึกซึ้งกันหรือเปล่า แต่มันก็ต้องแยกให้ออกนะ คุณ B ทำไงละ ปกป้องหัวชนฝาสิครับ ยังกับว่านั่นเมียอีก (อุ๊ป! แมวพิมพ์) ตัดไปๆ สรุปคือ คุณ B ให้ฝ่ายบุคคลมาแจ้งเราว่า เราไม่มีผลงาน ให้ออกทันที!! พร้อมเซ็นต์ลาออก !!!! ภายในวันนั้น  ณ ตอนนั้นเรามีอายุงาน 6 เดือน เราก็อยากจบเลยเซ็นต์ๆ และคิดว่าอย่ามาอะไรกันอีกกก


หลังจากที่เราออกจากบริษัทนี้ไปแล้ว

แต่เราก็ยังต้องไปรับ-ส่งพี่สาวอยู่ดี โดยในวันที่ต้องรอพี่สาว เราก็จะไปรอที่ร้านกาแฟ โดยใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้น พร้อมเสื้อคลุม หลายครั้งที่เจอแต่เราก็คือแบบเฉยๆ ไม่อยากรู้จัก แต่ครั้งล่าสุดก่อนจะเกิดเรื่อง เราไม่ได้มีความนับถือคุณ B เลย เขาไม่ชอบใครก็พยายามจะบีบให้ออก (ก่อนหน้าเรามีพี่ที่อยู่ห้องอาหารโดนไปละ 1 คน)  ทำให้เขาไม่พอใจ สั่งคนหน้าฟร้อนท์บอกว่าถ้าเราเข้าบริษัทให้ไล่ออกไปเลย เพราะเหตุผลว่าเราแต่งตัวไม่เรียบร้อยยยย

มาถึงวันที่เกิดเรื่องที่เราต้องมารับพี่เราเหมือนเดิม นายหนวด ก็รีบจ้ำอ้าวมาหาเรา คงคิดว่าตัวเองเจ๋งอ่ะ สั่งไรก็ได้ (ด้วยความที่ทุกคนเห็นเราเป็นคนร่าเริง ยิ้มง่าย เหมือนจะหัวอ่อน) แต่อย่าลืมนะเราคือผู้ถูกกระทำแต่แรก เพราะงั้นเราไม่ยอมหรอก เริ่มสนทนาโดยเรียกเราออกไปคุยว่า

H : นายไม่ให้เธอเข้ามาที่นี่นะ ถ้าจะมารับให้ไปรับกันที่หน้าบริษัท
เรา : ทำไมอ่ะคะ
H : ก็เธอแต่งตัวแบบนี้ ไม่สุภาพ
เรา : เดี๋ยวนะคะ นี่วัดหรือโรงแรมค่ะ ถึงใส่มาก็ไม่ได้ไปเดินข้างในนี่ค่ะ อยู่แค่ร้านกาแฟ อีกอย่างออกไปแล้ว ฉันก็ถือว่า ฉันเป็นลูกค้า
H : ไม่ใช่ เธอเคยทำงานที่นี่ แล้วจะมาแต่งตัวแบบนี้ไม่ได้ ไม่ให้เกียรติสถานที่
เรา : งั้นลูกค้าคนอื่นที่เขามากินข้าว มาพัก ที่แต่งขาสั้น เสื้อโชว์ก็ไล่ออกไปสิคะ
H : โรงแรมเราเลือกลูกค้า
เรา : เลือกลูกค้า? เจริญล่ะ ทำไมค่ะ บีบให้ออกก็ออกให้แล้วไง เซ็นต์ออกให้ด้วย นึกว่าจะหมดเวรหมดกรรม เป็นอะไรกับฉันมากป่ะคะ
H : คนดีๆเขาไม่เอาออกกันหรอก
เรา : นึกในใจ (เ_ี้ย ทั้งนั้น เลียกันเข้าไป) และตอบไปว่า หรอค่ะ ดีๆกันทั้งนั้นเลยเนอะที่อยู๋ ทำไมค่ะ นายพี่มีปัญหาส่วนตัวอะไรหรือเปล่า ให้นายมาคุยกับฉันก็ได้นะ
H : นี่เธอกำลังระรานที่นี่นะ (ระหว่างนั้น จะดึงแขนเรา)
เรา : อย่ามาแตะเนื้อต้องตัวฉันนะ (พร้อมพูดน้ำเสียงโมโห อีกฝ่ายก็ปากสั่น ประมาณว่าโกรธเหมือนกัน) และอย่ามาชี้หน้าฉัน
H : งั้นพี่จะเรียก รปภ. มาจับเราออกไปนะ
เรา : เชิญค่ะ เรามาเยอะๆ จะได้คุยครั้งเดียว (มันก็อึ้ง ต้องบอกก่อนว่าเราไม่เคยมีอาการแบบนี้)
H : งั้นอย่าคิดนะว่าจะเอารถออกไปได้
เรา : ก็ลองดูสิค่ะ ว่าจะเอารถออกไปได้มั๊ญ (คนเห็นเหตุการณ์เต็มหน้าฟร้อนท์) มันจะอะไรหนักหนา พร้อมพูดลอยๆไปว่า ใครเห็นลูกค้าใส่ขาสั้น เสื้อยืดแบบนี้ บอกไปเลยว่า ที่นี่ไม่ต้อนรับ เขาเลือกผู้ดีมาพักกัน (สตาร์บัคฉันก็ใส่แบบนี้ ยังเข้าได้เลย- คิดในใจ)
H : หยุดนะ มันไม่เหมือนกัน บริษัทมีสิทธิ์ที่จะเลือกลูกค้า แล้วมารับใครนะ xxx ใช่มั๊ย
(มันก็รีบโทรเรียก บลาๆ เดินวุ่นเชียวแหละ)
เรา : พอพี่เรามา ก็ให้พี่เรารีบดึงเราขึ้นรถ เราก็เลยขับรถออกไปแบบหัวเสีย..

และวันต่อมาเขาก็ออกประกาศห้ามพนงที่ออกไปแล้วเข้าบริษัท โดยให้พนง.ทุกคนเซ็นต์ มันใช่หรอ?
*เราโพสรูปจดหมายไม่ได้อ่าา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่