คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
อาการวูบเป็นอาการของสมถะ คือ ตกวูบแล้วก็สงบไปเป็นขั้น ๆ คือ จิตมันเคยอยู่ พอดึงมันมามันก็ชอบที่จะสงบ อันนี้จะไม่มีปัญญาประกอบมากนัก
ส่วนอันที่สอง คือ ตามกำหนดรู้อารมณ์ ... เมื่ออารมณ์ถูกรู้อยู่ เป็นปัจจุบันมันก็ตั้งอยู่ไม่ได้ สติเป็นกลางหรือเป็นปัจจุบันไม่หมุนตามอารมณ์ เข้าใจอารมณ์ประเภทต่าง ๆ แบบนี้มีปัญญาเข้ามาประกอบ .. ผู้ที่มีอินทรีย์แก่กล้าและพัฒนาไปเรื่อย ๆ ก็จากวิธีที่สองนี้แหละ พอเราเจออารมณ์ที่เคยยึดติด แม้จะเป็นอดีตที่ผ่านมานานนั่งเมื่อไหร่ก็มักจะคิดถึงเรื่องนี้ หรืออดีตกำลังเกิดขึ้นจากอายตนะ เมื่อเรารู้ด้วยปัจจุบันเป็นกลาง เห็นอาการดับไปโดยไม่พัวพัน อารมณ์เหล่านี้จะไม่เกิดกับเราอีก ภาพในอดีตที่นานแล้วที่ผุดขึ้นมาในสมาธิก็ดี เมื่อผ่านการรู้ถูกต้องแบบนี้ มันจะไม่ปรากฏอีก เหมือนว่าได้รู้แล้วว่ามันเป็นเพียงอาการการยึดติดในอดีตแค่นั้น เป็นแค่ภาพลวงไม่มีจริง รู้แล้วดับไป ความสงบที่ได้จากวิธีนี้อาจจะไม่เหมือนแบบแรกหรือบางครั้งอาจจะเหมือนก็ได้ ที่ว่าอาจจะไม่เหมือนคือ มันจะไม่วูบวาบ ไม่ผาดโผน มันจะเป็นการสงบแบบธรรมดา คือ จิตว่างแบบธรรมชาติ ก็ปกติ ซึ่งมันทรงตัวของตัวเองได้ ไม่ได้กดข่มด้วยกำลังสมาธิอะไร ตัวนี้แหละ ทำให้มาก ความคิด อารมณ์ต่าง ๆ ที่จรเข้ามา ก็จะสั้นลง ละเอียดลง ความสลัดคืนก็จะทำได้ง่ายคล่องตัวมากขึ้น จนถึงจุด ๆ หนึ่ง....อาจจะเริ่มมีแสงที่เปลือกตา สะอาด(จากความคิด) สว่าง และสงบ ถึงจุดหนึ่งจะไม่มีเจตนาอะไรอีกแล้ว อารมณ์ต่างๆ ก็ไม่ต้องเข้าไปรู้แล้ว เพราะมันรู้และละวางเองอัตโนมัติ รวดเร็ว ด้วยเหตุเพราะกำลังสติปัญญาที่สะสมมา .. ผม สนับสนุนให้ทำต่อไปในแบบที่สองครับ ซึ่งแบบนี้อาจจะง่ายแต่บางคนจะทำไม่ได้ ถ้าสติมีน้อยไม่ได้ฝึกมา หรืออินทรีย์ไม่พอ จิตมักจะหลงคิด ไม่ก็ง่วงมาก
ส่วนอันที่สอง คือ ตามกำหนดรู้อารมณ์ ... เมื่ออารมณ์ถูกรู้อยู่ เป็นปัจจุบันมันก็ตั้งอยู่ไม่ได้ สติเป็นกลางหรือเป็นปัจจุบันไม่หมุนตามอารมณ์ เข้าใจอารมณ์ประเภทต่าง ๆ แบบนี้มีปัญญาเข้ามาประกอบ .. ผู้ที่มีอินทรีย์แก่กล้าและพัฒนาไปเรื่อย ๆ ก็จากวิธีที่สองนี้แหละ พอเราเจออารมณ์ที่เคยยึดติด แม้จะเป็นอดีตที่ผ่านมานานนั่งเมื่อไหร่ก็มักจะคิดถึงเรื่องนี้ หรืออดีตกำลังเกิดขึ้นจากอายตนะ เมื่อเรารู้ด้วยปัจจุบันเป็นกลาง เห็นอาการดับไปโดยไม่พัวพัน อารมณ์เหล่านี้จะไม่เกิดกับเราอีก ภาพในอดีตที่นานแล้วที่ผุดขึ้นมาในสมาธิก็ดี เมื่อผ่านการรู้ถูกต้องแบบนี้ มันจะไม่ปรากฏอีก เหมือนว่าได้รู้แล้วว่ามันเป็นเพียงอาการการยึดติดในอดีตแค่นั้น เป็นแค่ภาพลวงไม่มีจริง รู้แล้วดับไป ความสงบที่ได้จากวิธีนี้อาจจะไม่เหมือนแบบแรกหรือบางครั้งอาจจะเหมือนก็ได้ ที่ว่าอาจจะไม่เหมือนคือ มันจะไม่วูบวาบ ไม่ผาดโผน มันจะเป็นการสงบแบบธรรมดา คือ จิตว่างแบบธรรมชาติ ก็ปกติ ซึ่งมันทรงตัวของตัวเองได้ ไม่ได้กดข่มด้วยกำลังสมาธิอะไร ตัวนี้แหละ ทำให้มาก ความคิด อารมณ์ต่าง ๆ ที่จรเข้ามา ก็จะสั้นลง ละเอียดลง ความสลัดคืนก็จะทำได้ง่ายคล่องตัวมากขึ้น จนถึงจุด ๆ หนึ่ง....อาจจะเริ่มมีแสงที่เปลือกตา สะอาด(จากความคิด) สว่าง และสงบ ถึงจุดหนึ่งจะไม่มีเจตนาอะไรอีกแล้ว อารมณ์ต่างๆ ก็ไม่ต้องเข้าไปรู้แล้ว เพราะมันรู้และละวางเองอัตโนมัติ รวดเร็ว ด้วยเหตุเพราะกำลังสติปัญญาที่สะสมมา .. ผม สนับสนุนให้ทำต่อไปในแบบที่สองครับ ซึ่งแบบนี้อาจจะง่ายแต่บางคนจะทำไม่ได้ ถ้าสติมีน้อยไม่ได้ฝึกมา หรืออินทรีย์ไม่พอ จิตมักจะหลงคิด ไม่ก็ง่วงมาก
แสดงความคิดเห็น
การฝึกสมาธิ เมื่อมีลักษณะแบบนี้ควรจะพิจารณาอย่างไรดี
เมื่อรู้ว่าจิตไปอยู่กับเรื่องอื่นก็ดึงกลับมากำหนดรู้ใหม่อย่างเดิม ทุกครั้งที่ทำแบบนี้จะมีอาการเหมือนจิตวูป
ผมก็บอกไม่ถูกว่าวูบยังไง คล้ายๆเหมือนตกลงไปในหลุม แล้วใจก็กลับมาสงบอีกครั้ง
(อาการแบบนี้ไม่ใช่เป็นเฉพาะตอนนั่งสมาธิ แต่เป็นทุกครั้งเมื่อรู้ว่าตัวเองโกรธ ดีใจ หรือ เสียใจ)
ผมรู้สึกว่าการที่เรียกสติกลับมากำหนดรู้ที่ลมหายใจใหม่มันไม่ต่อเนื่อง
เลยลองเปลี่ยนวิธีใหม่ เมื่อหลุดจากลมหายใจไป ทันทีที่รู้ว่าหลุดก็พิจารณาสิ่งที่เพลินอยู่ว่าอะไร
พอลองทำแบบนี้แล้วมีความต่อเนื่อง ภาพที่เพลินอยู่ก็หายไป ดำๆ นิ่งๆ ก็พิจารณาต่อไป ว่ามันดำ ๆ นิ่งๆ
ถ้ามีอะไรใหม่เข้ามาก็พิจารณามันต่อไป
สิ่งที่ผมได้จากการรุ้ที่ลมหายใจ ผมเห็นมันไม่นิ่ง แต่รุ้ทันได้เร็วขึ้นเป็นลำดับ ก็เรียกกลับมาได้บ่อยและอยุ่กับลมหายใจได้นานขึ้น
สิ่งที่ผมได้จากการพิจารณาที่จิตมันเพลิน พอทันจิตพิจารณาลงไปภาพที่จิตนั้นปรุงแต่งอยู่ก็หายไป แล้วก็นิ่งมืด พอเรียกกลับมาที่ลมหายใจใหม่ก็รู้สึกไม่ติดขัดอะไร ไม่เหมือนวิธีแรกที่รู้ปุ๊ปดึงปั๊ป รุ้สึกวูป ยังไงบอกไม่ถูก
ผมจึงไม่แน่ใจว่า ผมทำถูก หรือ ผิด หรือ ควรจะแบบไหนดีครับ