Have you been up too much?!
เป็นไงกันบ้างครับ ยังฝึกฝนภาษาอังกฤษอยู่รึปล่าวว
กระทู้นี่จะรวมรวบเบสิคแกรมมาร์ที่คิดว่าทุกคนที่เรียนภาษาอังกฤษควรจะรู้และทำความเข้าใจไว้
เพราะเป็นพื้นฐานที่สำคัญมากเลยทีเดียว
ไปเริ่มกันเลย
ทำความรู้จักกับ
Words
ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษได้แบ่งคำออกเป็น 8 ชนิด (หรือที่เราเรียกว่า
Part of Speech นั่นเองครับ)
ได้แก่ Nouns, verbs, adjectives, adverbs, pronouns, prepositions, conjunctions และ determiners (ในที่นี่ขอละ Interjections หรือ คำอุทาน ไว้ก่อน)
ซึ่งเราจะแบ่งคำเหล่านี้ออกเป็นสองกลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 คือ
กลุ่มคำที่มีคำเกิดใหม่ทุกวัน ได้แก่ Nouns, verbs, adjectives, adverbs
ตัวอย่างคำที่เกิดใหม่เช่น ‘e-book’, ‘selfie’, ‘website’, ‘to google’, ‘to blog’, ‘to twitter’
กลุ่มที่ 2 คือ
กลุ่มคำที่ตายตัวและไม่สามารถจะสร้างคำใหม่ขึ้นมาได้ ได้แก่ Pronouns, prepositions, conjunctions, และ determiners พูดง่าย ๆ ว่ากลุ่มคำพวกนี้มีมาเพื่อให้ถูกหลักแกรมมาร์เฉย ๆ ไม่ใช่คำที่มีความหมายสำคัญอะไร
ในการใช้ภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นการพูด ฟัง อ่าน เขียน และแม้กระทั่งในการทำข้อสอบน เราจำเป็นต้องรู้ว่าคำไหนคือชนิดอะไร นอกจากมันจะช่วยให้เราใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องแล้ว มันยังช่วยให้เรามีลูกเล่นในการพูดหรือเขียนภาษาอังกฤษให้ไพเราะและถูกต้องเหมือนเจ้าของภาษาอีกด้วย
มาทำความรู้จักกับคำทั้ง 8 ชนิดนี้กันเลย
1.
Noun (คำนาม)
Noun คือ คำที่ใช้เรียกชื่อ (Naming word) ซึ่งใช้เรียก คน สัตว์ สถานที่ สิ่งของ และนามธรรม (abstract idea) ต่าง ๆ เช่น girl, cat, city, mountain, table, book, scent, pleasure, sorrow
แต่เมื่อเราใช้คำนามในการเรียก คน สัตว์ สถานที่ สิ่งของ และนามธรรมที่มีชื่อเฉพาะเจาะจง คำนามเหล่านี้จะกลายเป็น ‘Proper nouns’ หรือ คำนามเฉพาะ และพวกมันก็มักจะขึ้นต้นด้วยพยัญชนะตัวใหญ่ (
Capital letter) เสมอ
เช่น Jonathan, Catherine, Bangkok, London, Pacific Ocean, Mount Everest, St Paul’s Cathedral, Christmas, January, Impressionism
คำสำคัญ
*Proper noun
*Capital letter
2.
Verb (กริยา)
Verb คือ คำที่แสดงการกระทำหรือการเป็นอยู่ (Doing or being word) เช่น is, buy, give, laugh, make, run
เราอาจจะเรียนมาว่ากริยาต้องมีกรรมเสมอ แต่กริยาบางตัวก็ไม่จำเป็นต้องมี และกริยาบางตัวก็มีกรรมก็ได้หรือไม่มีก็ได้
กริยาที่สำคัญ ๆ ที่ควรรู้จักไว้คือ
Verb to be
Verb to do
Verb to have
กริยาที่ต้องตามหลังด้วย noun หรือ pronoun เสมอเราเรียกว่า
Transitive verb (ไม่ต้องไปจำชื่อไทยมันนะครับ)
ตัวอย่างเช่น
I
am a doctor.
She
bought a nice shirt.
He
made it.
กริยาที่ไม่ต้องตามหลังด้วย noun หรือ pronoun เราเรียกว่า
Intransitive verb
ตัวอย่างเช่น
She
laughs.
I
run.
They
sleep.
และเมื่อกริยาพวกนี้ถูกนำหน้าด้วย to เราจะเรียกมันว่า
Infinitive เช่น To be, to buy, to give, to laugh, to make
คำสำคัญ
*Transitive verb
*Intransitive verb
*Infinitive
3.
Adjective (คำคุณศัพท์)
Adjective คือ คำที่อธิบายลักษณะ (Describing word) เช่น stupid, old, open, two-storey, untidy
Adjective จะใช้ขยายคำนามเท่านั้น
เช่น
The
stupid idea. (ความคิดที่โง่เขลา)
The
old man. (ชายชรา)
The
open door. (ประตูที่เปิดอยู่)
A
two-storey building. (ตึกสองชั้น)
An
untidy room. (ห้องที่ยุ่งเหยิง)
หรือจะใช้ขยายคำนามโดยวางไว้หลัง verb to be (is, am, are) ก็ได้
เช่น
He is
stupid.
This book is
old.
This room is
untidy.
4.
Adverb (กริยาวิเศษณ์)
Adverb คือ คำที่เพิ่มความหมาย (Modifying word) ส่วนมาก Adverb มักจะลงท้ายด้วย –ly (แต่ก็ไม่ทุกตัวนะครับ) เช่น Clearly, slowly, quite
Adverb ใช้เพิ่มความหมายให้กับคำกริยา
เช่น
She spoke
clearly. (เธอพูดอย่างชัดเจน)
He walks
slowly. (เขาเดินช้า ๆ)
และยังใช้เพิ่มความหมายให้กับ adjective ได้อีกด้วย
เช่น
She was
extremely clear.
และก็ยังใช้เพิ่มความหมายให้ adverb ด้วยกันได้อีก (อะไรจะขนาดนั้น 555)
เช่น
She spoke
quite clearly. (เธอพูด
ค่อนข้างชัดเจน)
He walks
very slowly. (เขาเดิน
ค่อนข้างช้า)
5.
Pronoun (คำสรรพนาม)
Pronoun คือคำที่ใช้แทนที่ คำนาม ในภาษาอังกฤษ พอเราพูดคำนามไปแล้วในครั้งแรก หากจะพูดถึงคำนั้นอีก เราก็จะแทนมันด้วย Pronoun ครับ เพื่อหลีกเลี่ยงการพูดคำนามซ้ำ ๆ ซาก ๆ เช่น I met
John yesterday.
He bought me a drink. (ครั้งแรกใช้ John ครั้งต่อไปใช้ He)
ซึ่ง Pronoun มีอยู่หลายชนิดมาก ได้แก่
-
Personal Pronouns
เมื่อ Pronoun ทำหน้าที่เป็น ประธาน (Subject) ของประโยค เราเรียกมันว่า ‘
Subjective Personal Pronoun’ (I, you, we, they, he, she, it)
เช่น
I walked here.
You are right.
He sings well.
It is a good book.
We saw the film.
แต่เมื่อมันทำหน้าที่เป็น กรรม (object) เราเรียกมันว่า ‘
Objective Personal Pronoun’ (Me, you, him, her, it, us, them)
เช่น
He praised
me.
They like
you.
She wants
it.
He will meet
us here.
She called
them.
และเรายังสามารถใช้ pronoun เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของได้อีกด้วย ซึ่งเราเรียกว่า
‘Possessive Personal Pronoun’ (Mine, yours, his, hers, its, ours, theirs)
เช่น
It is
mine. (มันเป็นของฉัน)
This is
yours. (นี่ของคุณ)
Ours is the blue one. (ของเราคืออันสีน้ำเงิน)
Theirs will be arrived next week. (ของพวกเขาจะมาถึงในสัปดาห์หน้า)
แต่อย่าไปสับสนกับคำเหล่านี้กับ ‘
Possessive adjective’ นะ ได้แก่คำว่า my, your, his, her, its, their
Possessive adjective ต้องมีคำนามตามหลังเสมอ ในขณะที่ Possessive Personal Pronoun ไม่ต้องมี
เปรียบเทียบ
This is
my car.
กับ
This car is
mine.
คำสำคัญ
*Personal Pronouns
*Subjective Personal Pronoun
*Objective Personal Pronoun
*Possessive Personal Pronoun
*Possessive adjective
6.
Preposition (คำบุพบท)
Preposition คือคำ (หรือกลุ่มคำ) ที่ใช้บอกความสัมพันธ์ระหว่างคำนาม คำสรรพนาม และวลีหรือคำอื่น ๆ ในประโยค ความสัมพันธ์เหล่านี้ได้แก่ เวลา สถานที่ ทิศทางหรือระยะทาง หรือวิธีการ ได้แก่ across, along, at, beside, between, by, for, in, near, on, out of, under, up to, with
ตัวอย่างการใช้งาน
She walked
across the Fifth Avenue. (เดินข้าม)
He came
by train. (มาโดย)
She stayed
for a week. (อยู่เป็นเวลา)
He stood
near candles. (ยืนอยู่ใกล้)
They walked
down to the site. (เดินลงไป)
7.
Conjunction (คำสันธาน หรือ คำเชื่อม)
Conjunction คือคำที่ใช้เชื่อม คำ วลี หรือประโยค เข้าด้วยกัน แบ่งออกเป็น 3 ชนิด
Co-ordinating Conjunctions ได้แก่ and, but, for, nor, or, so, yet หรือที่เราแรกว่า FANBOYS นั่นเองครับ
ตัวอย่างการใช้งาน
We have invited men
and women.
The books arrived,
but they were damaged.
I wanted to arrive on tome
so I left before noon.
Subordinate Conjunctions เอาไว้สร้างประโยคแบบ subordinate clause (หรือประโยครอง – เดี๋ยวอ่านเรื่อง Clause ถัดไป) ได้แก่ after, although, as, because, before, even if, if, in case, in order that, now that, only if, since, though, unless, until, when, whereas, while
ตัวอย่างการใช้งาน
I will tell you
after she has gone.
The film was good
although it started late.
He loved going there
because it was peaceful.
I’ll go to London
even if the weather is bad.
Correlative Conjunctions คือ Conjunction ที่มาเป็นคู่ ได้แก่ Both…and, not only… but also, either…or, neither…nor, whether…or
ตัวอย่างการใช้งาน
Both Tim
and Nathalie were there.
Neither the warrior
nor the horse survived.
She gave
not only money,
but also her time.
คำสำคัญ
*Co-ordinating Conjunctions
*Subordinate Conjunctions
*Correlative Conjunctions
8.
Determiner
Determiner คือคำหน้าหน้านาม แบ่งออกได้ดังนี้
Definite article: The (แสดงความเฉพาะเจาะจง)
Indefinite article: A, an (คำนามทั่วไป)
Quantifiers: Few, many, some (แสดงให้เห็นถึงปริมาณ)
Possessive adjectives: my, your, his, her, its, our, their (แสดงความเป็นเจ้าของ)
Indefinite Articles (คำที่ใช้นำหน้าคำนามที่ไม่ชี้เฉพาะเจาะจง) ได้แก่ a และ an
การใช้ a และ an จะใช้คล้ายๆกันคือ ใช้นำหน้าคำนามนับได้ที่เป็นเอกพจน์ (มีอันเดียว คนเดียว สิ่งเดียว) และกล่าวถึงครั้งแรก ต่างกันที่ a จะนำหน้าคำนามที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ แต่ an จะนำหน้าคำนามที่ขึ้นต้นเสียงด้วยสระ (a, e, i, o, u) เสียงสระนะครับ ไม่ใช่แค่พยัญชนะที่เป็นสระ เพราะบางทีคำบางคำขึ้นต้นด้วยพยัญชระสระแต่ไม่ได้ออกเสียงสระเช่น University เราจึงต้องใช้ A university ไม่ใช่ An university นะครับ
a doctor, a book, a day, a lion, an hour, an old lady, an umbrella, etc.
เช่น
A teacher is teaching. (ครูกำลังสอนอยู่)
I am
an actor. (ฉันเป็นนักแสดง)
Definite Articles (คำที่ใช้นำหน้าคำนามที่ชี้เฉพาะเจาะจง) ได้แก่ the
การใช้ the จะใช้นำหน้าคำนามที่เป็นเอกพจน์ พหูพจน์ นับได้ และนับไม่ได้
ใช่แล้วครับการใช้ the สามารถใช้นำหน้าคำนามได้ทุกคำ เพียงแต่อาจจะต้องคำนึงถึงกฎเหล่านี้
1. ใช้กับคำนามที่เราต้องการจะชี้เฉพาะเจาะจง หรือถูกกล่าวถึงเป็นครั้งที่สอง (I saw
a dog.
The dog's name was Beat.)
2. ใช้กับคำนามที่ผู้พูดและผู้ฟังเข้าใจดีว่าหมายถึงสิ่งไหน อันไหน
เช่น May I close
the door?
ฉันขอปิดประตูได้ไหม (ซึ่งผู้พูดและพูดฟังไม่จำเป็นต้องบอกว่าบานไหน เพราะทั้งสองเข้าใจอยู่แล้ว)
3. ใช้กับคำนามที่มีอยู่สิ่งเดียว อันเดียว
เช่น the moon, the Pacific ocean
The sun rises in the east. (พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก)
4. ใช้นำหน้า ดิน ฟ้า น้ำ หรือธรรมชาติต่างๆ
เช่น the sky, the sea
อันนี้แค่กฎคร่าว ๆ นะครับ ผมเชื่อว่ามีคนอธิบายไว้เยอะมากแล้ว เพื่อน ๆ ลองไปหาอ่านกันได้นะครับ
ทั้งหมดนี้ถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการศึกษาไวยากรณ์อังกฤษเลยนะครับ อยากให้เพื่อน ๆ ลองเช็คตัวเองดูก่อนว่าเข้าใจคำพวกนี้ดีแล้วหรือยัง สิ่งที่สำคัญคืออย่าลืมไปศึกษาเพิ่มเติม ที่ผมไม่อยากเขียนให้มันยืดยาวเพราะว่ามีคนเก่ง ๆ หลายท่านได้เขียนอธิบายสิ่งเหล่านี้ไว้หมดแล้ว เพียงแค่เพื่อน ๆ เข้ากูเกิ้ลไปหาดูผมรับรองว่ามีเพียบ ยังไงก็อย่าลืมไปอ่านเพิ่มเติม
ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่างในวันนี้ แค่รู้มากขึ้นกว่าเมื่อวานนี้ก็พอ
รู้ภาษาอังกฤษมากขึ้นทุกวันที่:
Facebook.com/MyFathersAnEnglishMan/ (FB Page:
พ่อผมเป็นคนอังกฤษ)
Stay tune
JGC.
เช็คตัวเองด่วน! Basic Grammar ที่บอกเลยว่า ‘ถ้าไม่รู้ก็ไม่มีวันเก่งภาษาอังกฤษ’
เป็นไงกันบ้างครับ ยังฝึกฝนภาษาอังกฤษอยู่รึปล่าวว
กระทู้นี่จะรวมรวบเบสิคแกรมมาร์ที่คิดว่าทุกคนที่เรียนภาษาอังกฤษควรจะรู้และทำความเข้าใจไว้
เพราะเป็นพื้นฐานที่สำคัญมากเลยทีเดียว
ไปเริ่มกันเลย
ทำความรู้จักกับ Words
ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษได้แบ่งคำออกเป็น 8 ชนิด (หรือที่เราเรียกว่า Part of Speech นั่นเองครับ)
ได้แก่ Nouns, verbs, adjectives, adverbs, pronouns, prepositions, conjunctions และ determiners (ในที่นี่ขอละ Interjections หรือ คำอุทาน ไว้ก่อน)
ซึ่งเราจะแบ่งคำเหล่านี้ออกเป็นสองกลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 คือ กลุ่มคำที่มีคำเกิดใหม่ทุกวัน ได้แก่ Nouns, verbs, adjectives, adverbs
ตัวอย่างคำที่เกิดใหม่เช่น ‘e-book’, ‘selfie’, ‘website’, ‘to google’, ‘to blog’, ‘to twitter’
กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มคำที่ตายตัวและไม่สามารถจะสร้างคำใหม่ขึ้นมาได้ ได้แก่ Pronouns, prepositions, conjunctions, และ determiners พูดง่าย ๆ ว่ากลุ่มคำพวกนี้มีมาเพื่อให้ถูกหลักแกรมมาร์เฉย ๆ ไม่ใช่คำที่มีความหมายสำคัญอะไร
ในการใช้ภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นการพูด ฟัง อ่าน เขียน และแม้กระทั่งในการทำข้อสอบน เราจำเป็นต้องรู้ว่าคำไหนคือชนิดอะไร นอกจากมันจะช่วยให้เราใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องแล้ว มันยังช่วยให้เรามีลูกเล่นในการพูดหรือเขียนภาษาอังกฤษให้ไพเราะและถูกต้องเหมือนเจ้าของภาษาอีกด้วย
มาทำความรู้จักกับคำทั้ง 8 ชนิดนี้กันเลย
1. Noun (คำนาม)
Noun คือ คำที่ใช้เรียกชื่อ (Naming word) ซึ่งใช้เรียก คน สัตว์ สถานที่ สิ่งของ และนามธรรม (abstract idea) ต่าง ๆ เช่น girl, cat, city, mountain, table, book, scent, pleasure, sorrow
แต่เมื่อเราใช้คำนามในการเรียก คน สัตว์ สถานที่ สิ่งของ และนามธรรมที่มีชื่อเฉพาะเจาะจง คำนามเหล่านี้จะกลายเป็น ‘Proper nouns’ หรือ คำนามเฉพาะ และพวกมันก็มักจะขึ้นต้นด้วยพยัญชนะตัวใหญ่ (Capital letter) เสมอ
เช่น Jonathan, Catherine, Bangkok, London, Pacific Ocean, Mount Everest, St Paul’s Cathedral, Christmas, January, Impressionism
คำสำคัญ
*Proper noun
*Capital letter
2. Verb (กริยา)
Verb คือ คำที่แสดงการกระทำหรือการเป็นอยู่ (Doing or being word) เช่น is, buy, give, laugh, make, run
เราอาจจะเรียนมาว่ากริยาต้องมีกรรมเสมอ แต่กริยาบางตัวก็ไม่จำเป็นต้องมี และกริยาบางตัวก็มีกรรมก็ได้หรือไม่มีก็ได้
กริยาที่สำคัญ ๆ ที่ควรรู้จักไว้คือ
Verb to be
Verb to do
Verb to have
กริยาที่ต้องตามหลังด้วย noun หรือ pronoun เสมอเราเรียกว่า Transitive verb (ไม่ต้องไปจำชื่อไทยมันนะครับ)
ตัวอย่างเช่น
I am a doctor.
She bought a nice shirt.
He made it.
กริยาที่ไม่ต้องตามหลังด้วย noun หรือ pronoun เราเรียกว่า Intransitive verb
ตัวอย่างเช่น
She laughs.
I run.
They sleep.
และเมื่อกริยาพวกนี้ถูกนำหน้าด้วย to เราจะเรียกมันว่า Infinitive เช่น To be, to buy, to give, to laugh, to make
คำสำคัญ
*Transitive verb
*Intransitive verb
*Infinitive
3. Adjective (คำคุณศัพท์)
Adjective คือ คำที่อธิบายลักษณะ (Describing word) เช่น stupid, old, open, two-storey, untidy
Adjective จะใช้ขยายคำนามเท่านั้น
เช่น
The stupid idea. (ความคิดที่โง่เขลา)
The old man. (ชายชรา)
The open door. (ประตูที่เปิดอยู่)
A two-storey building. (ตึกสองชั้น)
An untidy room. (ห้องที่ยุ่งเหยิง)
หรือจะใช้ขยายคำนามโดยวางไว้หลัง verb to be (is, am, are) ก็ได้
เช่น
He is stupid.
This book is old.
This room is untidy.
4. Adverb (กริยาวิเศษณ์)
Adverb คือ คำที่เพิ่มความหมาย (Modifying word) ส่วนมาก Adverb มักจะลงท้ายด้วย –ly (แต่ก็ไม่ทุกตัวนะครับ) เช่น Clearly, slowly, quite
Adverb ใช้เพิ่มความหมายให้กับคำกริยา
เช่น
She spoke clearly. (เธอพูดอย่างชัดเจน)
He walks slowly. (เขาเดินช้า ๆ)
และยังใช้เพิ่มความหมายให้กับ adjective ได้อีกด้วย
เช่น
She was extremely clear.
และก็ยังใช้เพิ่มความหมายให้ adverb ด้วยกันได้อีก (อะไรจะขนาดนั้น 555)
เช่น
She spoke quite clearly. (เธอพูดค่อนข้างชัดเจน)
He walks very slowly. (เขาเดินค่อนข้างช้า)
5. Pronoun (คำสรรพนาม)
Pronoun คือคำที่ใช้แทนที่ คำนาม ในภาษาอังกฤษ พอเราพูดคำนามไปแล้วในครั้งแรก หากจะพูดถึงคำนั้นอีก เราก็จะแทนมันด้วย Pronoun ครับ เพื่อหลีกเลี่ยงการพูดคำนามซ้ำ ๆ ซาก ๆ เช่น I met John yesterday. He bought me a drink. (ครั้งแรกใช้ John ครั้งต่อไปใช้ He)
ซึ่ง Pronoun มีอยู่หลายชนิดมาก ได้แก่
- Personal Pronouns
เมื่อ Pronoun ทำหน้าที่เป็น ประธาน (Subject) ของประโยค เราเรียกมันว่า ‘Subjective Personal Pronoun’ (I, you, we, they, he, she, it)
เช่น
I walked here.
You are right.
He sings well.
It is a good book.
We saw the film.
แต่เมื่อมันทำหน้าที่เป็น กรรม (object) เราเรียกมันว่า ‘Objective Personal Pronoun’ (Me, you, him, her, it, us, them)
เช่น
He praised me.
They like you.
She wants it.
He will meet us here.
She called them.
และเรายังสามารถใช้ pronoun เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของได้อีกด้วย ซึ่งเราเรียกว่า ‘Possessive Personal Pronoun’ (Mine, yours, his, hers, its, ours, theirs)
เช่น
It is mine. (มันเป็นของฉัน)
This is yours. (นี่ของคุณ)
Ours is the blue one. (ของเราคืออันสีน้ำเงิน)
Theirs will be arrived next week. (ของพวกเขาจะมาถึงในสัปดาห์หน้า)
แต่อย่าไปสับสนกับคำเหล่านี้กับ ‘Possessive adjective’ นะ ได้แก่คำว่า my, your, his, her, its, their
Possessive adjective ต้องมีคำนามตามหลังเสมอ ในขณะที่ Possessive Personal Pronoun ไม่ต้องมี
เปรียบเทียบ
This is my car.
กับ
This car is mine.
คำสำคัญ
*Personal Pronouns
*Subjective Personal Pronoun
*Objective Personal Pronoun
*Possessive Personal Pronoun
*Possessive adjective
6. Preposition (คำบุพบท)
Preposition คือคำ (หรือกลุ่มคำ) ที่ใช้บอกความสัมพันธ์ระหว่างคำนาม คำสรรพนาม และวลีหรือคำอื่น ๆ ในประโยค ความสัมพันธ์เหล่านี้ได้แก่ เวลา สถานที่ ทิศทางหรือระยะทาง หรือวิธีการ ได้แก่ across, along, at, beside, between, by, for, in, near, on, out of, under, up to, with
ตัวอย่างการใช้งาน
She walked across the Fifth Avenue. (เดินข้าม)
He came by train. (มาโดย)
She stayed for a week. (อยู่เป็นเวลา)
He stood near candles. (ยืนอยู่ใกล้)
They walked down to the site. (เดินลงไป)
7. Conjunction (คำสันธาน หรือ คำเชื่อม)
Conjunction คือคำที่ใช้เชื่อม คำ วลี หรือประโยค เข้าด้วยกัน แบ่งออกเป็น 3 ชนิด
Co-ordinating Conjunctions ได้แก่ and, but, for, nor, or, so, yet หรือที่เราแรกว่า FANBOYS นั่นเองครับ
ตัวอย่างการใช้งาน
We have invited men and women.
The books arrived, but they were damaged.
I wanted to arrive on tome so I left before noon.
Subordinate Conjunctions เอาไว้สร้างประโยคแบบ subordinate clause (หรือประโยครอง – เดี๋ยวอ่านเรื่อง Clause ถัดไป) ได้แก่ after, although, as, because, before, even if, if, in case, in order that, now that, only if, since, though, unless, until, when, whereas, while
ตัวอย่างการใช้งาน
I will tell you after she has gone.
The film was good although it started late.
He loved going there because it was peaceful.
I’ll go to London even if the weather is bad.
Correlative Conjunctions คือ Conjunction ที่มาเป็นคู่ ได้แก่ Both…and, not only… but also, either…or, neither…nor, whether…or
ตัวอย่างการใช้งาน
Both Tim and Nathalie were there.
Neither the warrior nor the horse survived.
She gave not only money, but also her time.
คำสำคัญ
*Co-ordinating Conjunctions
*Subordinate Conjunctions
*Correlative Conjunctions
8. Determiner
Determiner คือคำหน้าหน้านาม แบ่งออกได้ดังนี้
Definite article: The (แสดงความเฉพาะเจาะจง)
Indefinite article: A, an (คำนามทั่วไป)
Quantifiers: Few, many, some (แสดงให้เห็นถึงปริมาณ)
Possessive adjectives: my, your, his, her, its, our, their (แสดงความเป็นเจ้าของ)
Indefinite Articles (คำที่ใช้นำหน้าคำนามที่ไม่ชี้เฉพาะเจาะจง) ได้แก่ a และ an
การใช้ a และ an จะใช้คล้ายๆกันคือ ใช้นำหน้าคำนามนับได้ที่เป็นเอกพจน์ (มีอันเดียว คนเดียว สิ่งเดียว) และกล่าวถึงครั้งแรก ต่างกันที่ a จะนำหน้าคำนามที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ แต่ an จะนำหน้าคำนามที่ขึ้นต้นเสียงด้วยสระ (a, e, i, o, u) เสียงสระนะครับ ไม่ใช่แค่พยัญชนะที่เป็นสระ เพราะบางทีคำบางคำขึ้นต้นด้วยพยัญชระสระแต่ไม่ได้ออกเสียงสระเช่น University เราจึงต้องใช้ A university ไม่ใช่ An university นะครับ
a doctor, a book, a day, a lion, an hour, an old lady, an umbrella, etc.
เช่น
A teacher is teaching. (ครูกำลังสอนอยู่)
I am an actor. (ฉันเป็นนักแสดง)
Definite Articles (คำที่ใช้นำหน้าคำนามที่ชี้เฉพาะเจาะจง) ได้แก่ the
การใช้ the จะใช้นำหน้าคำนามที่เป็นเอกพจน์ พหูพจน์ นับได้ และนับไม่ได้
ใช่แล้วครับการใช้ the สามารถใช้นำหน้าคำนามได้ทุกคำ เพียงแต่อาจจะต้องคำนึงถึงกฎเหล่านี้
1. ใช้กับคำนามที่เราต้องการจะชี้เฉพาะเจาะจง หรือถูกกล่าวถึงเป็นครั้งที่สอง (I saw a dog. The dog's name was Beat.)
2. ใช้กับคำนามที่ผู้พูดและผู้ฟังเข้าใจดีว่าหมายถึงสิ่งไหน อันไหน
เช่น May I close the door?
ฉันขอปิดประตูได้ไหม (ซึ่งผู้พูดและพูดฟังไม่จำเป็นต้องบอกว่าบานไหน เพราะทั้งสองเข้าใจอยู่แล้ว)
3. ใช้กับคำนามที่มีอยู่สิ่งเดียว อันเดียว
เช่น the moon, the Pacific ocean
The sun rises in the east. (พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก)
4. ใช้นำหน้า ดิน ฟ้า น้ำ หรือธรรมชาติต่างๆ
เช่น the sky, the sea
อันนี้แค่กฎคร่าว ๆ นะครับ ผมเชื่อว่ามีคนอธิบายไว้เยอะมากแล้ว เพื่อน ๆ ลองไปหาอ่านกันได้นะครับ
ทั้งหมดนี้ถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการศึกษาไวยากรณ์อังกฤษเลยนะครับ อยากให้เพื่อน ๆ ลองเช็คตัวเองดูก่อนว่าเข้าใจคำพวกนี้ดีแล้วหรือยัง สิ่งที่สำคัญคืออย่าลืมไปศึกษาเพิ่มเติม ที่ผมไม่อยากเขียนให้มันยืดยาวเพราะว่ามีคนเก่ง ๆ หลายท่านได้เขียนอธิบายสิ่งเหล่านี้ไว้หมดแล้ว เพียงแค่เพื่อน ๆ เข้ากูเกิ้ลไปหาดูผมรับรองว่ามีเพียบ ยังไงก็อย่าลืมไปอ่านเพิ่มเติม
ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่างในวันนี้ แค่รู้มากขึ้นกว่าเมื่อวานนี้ก็พอ
รู้ภาษาอังกฤษมากขึ้นทุกวันที่: Facebook.com/MyFathersAnEnglishMan/ (FB Page: พ่อผมเป็นคนอังกฤษ)
Stay tune
JGC.