What goes up must go higher!
มาเจอกันต่อกับเซคชั่นนี้ที่ผมทำขึ้นมาสำหรับเหล่า beginner ที่เพิ่งเริ่มเรียนภาษาอังกฤษเลย
นี่เป็นกระทู้ที่สองแล้ว ใครยังไม่ได้อ่านตอนแรกอย่าลืมไปเข้าไปอ่านด้วยล่ะ
"อยากเก่งภาษาอังกฤษต้องทำอย่างไร?"
ตอบสั้น ๆ คือฝึกฝน
ตอบยาว ๆ คือ...
1.
อ่านให้ออก
อย่างที่ย้ำไว้ในกระทู้ที่แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในการอ่านภาษาอังกฤษคือเสียงสระ (vowel sounds) และตัวสะกดของมัน
เช่น สระเอ (หรือ เอ้) จะสามารถถูกสะกดได้ด้วย
-
a_e (late, make)
-
ai, ay (aim, play)
-
ei, ey (eight, hey)
-
ea (break, great)
(ตัวอย่างจากกระทู้ที่แล้ว)
เราเรียกตัวสะกดเหล่านี้ว่า
spelling variations ดังนั้นนอกจากต้องจำเสียงสระในภาษาอังกฤษทั้ง 20 เสียงให้ครบแล้ว เรายังต้องจำเหล่า spelling variations พวกนี้ให้ครบด้วย (แต่ไม่ได้บอกว่า 'ท่องจำ' ให้ครบภายในวันเดียว จงศึกษาซ้ำ ๆ (ด้วยวิธีการที่หลากหลาย) จนกว่าจะจำได้!)
สรุปเรื่องเสียงสระให้ก่อนเลย จริง ๆ มันมีกี่เสียงกันแน่!
- ในสำเนียงอังกฤษ (RP - Received Pronunciation) มีอยู่ 20 เสียง
- สำเนียงอเมริกัน (GE - General American) มีอยู่ 14 - 16 เสียง
- เสียงสำเนียงออสเตรเลีย (AE - Australian English) มีอยู่ 20 - 21 เสียง
ส่วนเสียงพยัญชนะ (Consonat sounds) มีอยู่เท่ากันในทุกสำเนียงคือ 24 เสียง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ในตอนที่แล้วเราเจอไปแล้ว 10 สระ เป็นคู่เสียงสระสั้น-ยาว
กระทู้นี้มาดูสระที่ไม่มีคู่บ้าง
1.1
สระแอะ (หรือแอ้)
สามารถสะกดด้วย
a - c
at, s
ad, t
ap, gr
ab, j
azz
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้สัญลักษณ์โฟเนติคคือ /æ/
มีชื่อทางโฟเนติคว่า The near-open front unrounded vowel หรือ The near-low front unrounded vowel (บางครั้งตัดคำว่า near ออก)
ดูเหมือนเป็นสระง่าย ๆ ไม่มีปัญหาอะไร แต่สิ่งที่สร้างความปวดหัวให้เราก็คือคำเหล่านี้
"
Class, fast, bath, last etc." ที่คนเถียงกันว่ามันต้องออกเสียงด้วย
สระแอะหรือ
สระอา?
ง่าย ๆ คือ ถ้าเราอยากฝึกสำเนียงให้เหมือนคนอังกฤษ (UK) ก็ออกเสียงโดยใช้สระอา
ถ้าไม่ จะเอาแบบอเมริกัน (US) ก็ออกเสียงด้วยสระแอะไป
อีกข้อสงสัยคือ เราควรจะออกเสียง a แบบสั้น (แอะ) หรือแบบยาว (แอ) ดี
เพราะ
Cat เหมือนจะใช้สระเสียงสั้น (แคะทฺ) ส่วน
Sad เหมือนจะเป็นเสียงยาว (แซ้ดฺ)
คำตอบอยู่พยัญชนะที่ตามมา!
หากพยัญชนะที่ตามเป็นแบบ
voiceless ได้แก่
-p, -t, -k, -s, -f จะออกเสียงสระ a แบบสั้นหน่อย (แอ่ะ)
เช่น Cap, sat, hack, ass, staff (คนอังกฤษอ่านว่า สฺต้าฟฺ) etc.
หากพยัญชนะที่ตามมาเป็นแบบ
voiced ได้แก่
-b, -d, -g, -z, -v ก็จะออกเสียงสระ a ยาวหน่อย (แอ้)
เช่น Cab, sad, brag, as (as ตัวนี้ลงท้ายด้วยเสียง z นะ), have etc.
เข้าใจนะ! a เป็นได้ทั้งสระแอะและแอ จะสั้นจะยาวก็อยู่ที่พยัญชนะตามหลัง
1.2
สระอ้า (หรืออา)
สามารถสะกดด้วย
ar - c
ard, d
ark, h
ard,
arctic
a (สำเนียง UK) - tom
ato, f
ast, p
ath
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้สัญลักษณ์โฟเนติคคือ /ɑː/ หรือ /ɑːr/ ในสำเนียงอเมริกัน เพราะต้องออกเสียงตัว r ด้วย
ชื่อทางโฟเนติคคือ The open back unrounded vowel หรือ The low back unrounded vowel
และยังมีตัวสะกดที่ไม่เข้าพวกเท่าไหร่ได้แก่
-ear เช่นในคำว่า h
eart และ
-er เช่นในคำว่า s
ergeant (
ซ้า-เจิ่นทฺ)
แต่เราไม่ค่อยเจอหรอก
1.3
สระอะ
สามารถสะกดด้วย
u - c
ut, l
ust, b
ut, t
ub
ove - l
ove (ใช้แล้วครับคำนี้อ่านว่า ลัฟฺ), d
ove, gl
ove, sh
ove, ab
ove (เออะ-บัฟฺ)
ough - t
ough, en
ough, r
ough
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้สัญลักษณ์ทางโฟเนติคคือ /ʌ/
มีชื่อทางโฟเนติคว่า The near-open central vowel หรือ the near-low central vowel
จบไปอีก 3 เสียง เสียงสระที่เหลือจะเป็น Diphthong หรือ 'สระผสม' แล้ว มันจะเริ่มยากหน่อย
แต่ตอนนี้แค่ทบทวนและจำเสียงในกระทู้นี้และกระทู้ก่อนหน้าให้ได้ก็ถือว่าดีมาก ๆ แล้วครับ
_______________
2.
แกรมมาร์สำคัญที่ควรรู้ไว้
ครั้งที่แล้วเราเรียนเรื่อง Verb to be และ Word order ไป จัดว่าเป็นหัวใจสำคัญของไวยากรณ์อังกฤษเลย
มาดูอีกเรื่องที่สำคัญต่อผู้เริ่มต้นไม่แพ้กันนั่นก็คือ Adjective และ Adverb!
มีใจความสำคัญ (แบบสั้น ๆ ง่าย ๆ) ดังนี้
2.1
Adjective (คำคุณศัพท์)
Adjective คือ คำที่เอาไว้ขยายความหมายให้กับคำนาม (Describing word) เช่น
stupid (โง่),
old (แก่),
open (เปิดอยู่),
two-storey (สองชั้น),
untidy (ไม่เป็นระเบียบ)
มักจะวางไว้สองตำแหน่งคือ 1) หน้าคำนาม และ 2) หลัง verb to be
หน้าคำนาม เช่น
A
stupid idea (ความคิดที่โง่เขลา)
An
old man (ชายชรา)
The
open door (ประตูที่เปิดอยู่)
A
two-storey building (ตึกสองชั้น)
An
untidy room (ห้องที่ยุ่งเหยิง)
หรือวางไว้หลัง verb to be (is, am, are) เช่น
You are not
stupid.
This book is
old.
This room is
untidy.
The library is
two-storey high.
2.2
Adverb (กริยาวิเศษณ์)
Adverb คือ คำที่เพิ่มความหมาย (Modifying word) ให้กับคำกริยา (ตามชื่อเลย ad+verb)
ส่วนมาก Adverb มักจะลงท้ายด้วย –ly (แต่ก็ไม่ทุกตัวนะ) เช่น Clearly, slowly, quite etc.
Adverb จะวางไว้ข้างหลังกริยาที่มันขยาย
เช่น
She
spoke clearly. (เธอพูดอย่างชัดเจน)
He's
walking home slowly. (เขาเดินกลับบ้านอย่างช้า ๆ)
My friend's beginning to
act strangely. (เพื่อนฉันมันเริ่มทำตัวแปลก ๆ)
Sarah
smiled happily when she heard the news. (เธอยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อได้ยินข่าว)
และยังใช้เพิ่มความหมายให้กับ adjective ได้อีกด้วยนะ เอาวางไว้ข้างหน้า adjective เลย
เช่น
Absolutely fantastic (โคตรสุดยอด) /
Very hard (ยากมาก) /
Clearly visible (เห็นได้อย่างชัดเจน) /
Extremely wonderful (วิเศษสุด ๆ)
ตัวอย่างในประโยค
She was
extremely clear about the rules. (เธอพูดเรื่องกฎไว้อย่างชัดเจนมาก)
The storm can be
clearly visible from this storey. (พายุสามารถถูกมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากชั้นนี้)
The exam was
bloody difficult! (ข้อสอบแม่*งโคตรยากเลย)
และก็ยังใช้เพิ่มความหมายให้ adverb ด้วยกันได้อีก ส่วนมากจะเป็นคำว่า quite และ very
เช่น
She spoke
quite clearly. (เธอพูดค่อนข้างชัดเจน)
He walks
very slowly. (เขาเดินค่อนข้างช้า)
เอาสองเรื่องนี้ไปทบทวนและศึกษาเพิ่มเติมนะ พอเข้าใจมันได้ดีแล้วชีวิตการเรียนภาษาอังกฤษจะง่ายขึ้นเยอะ!
_______________
3.
ฝึกฟังและเก็บคำศัพท์
ตอนที่แล้วผมให้ Conversation ในยูทูปไปฝึกฟัง มีใครทำตามกันบ้าง
และไม่ใช่ว่าฝึกวันสองวันจะเก่งนะ ต้องฝึกเป็นเดือน!
กระทู้นี้มาฝึกกับวิดีโอแบบอื่นหน่อย เพราะบางคนอาจคิดว่า Conversation มันน่าเบื่อไป
มาดูช่องยูทูปดี ๆ ที่เอาไว้ฝึก Listening กันบ้าง (มีซับไทเทิลให้หมดเลย ไม่ต้องกลัวว่าจะฟังไม่ออก)
1.
The School of Life (
https://www.youtube.com/channel/UC7IcJI8PUf5Z3zKxnZvTBog)
ช่องยูทูปที่เต็มไปด้วยบทเรียนชีวิตและปรัชญาต่าง ๆ ใครเป็นคนที่ชอบพัฒนาระดับจิตใจห้ามพลาดเลย (สำเนียง UK)
2.
Casually Explained (
https://www.youtube.com/channel/UCr3cBLTYmIK9kY0F_OdFWFQ)
เป็นช่องยูทูปที่จะมาอธิบายคอนเซปต์ต่าง ๆ หรือไอเดียต่าง ๆ ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร นอกจากนี้ยังมีเรื่องวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจอีกมากมาย ประกอบกับรูปวาดแบบน่ารัก ๆ ด้วย (สำเนียง US)
3.
SciShow (
https://www.youtube.com/channel/UCZYTClx2T1of7BRZ86-8fow)
อันนี้เป็นช่องวิทยาศาสตร์แบบจัดเต็มเลย แต่ไม่ได้น่าเบื่อเหมือนในห้องเรียนนะ มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจทั้งนั้น! (สำเนียง US)
4.
ASAPScience (
https://www.youtube.com/channel/UCC552Sd-3nyi_tk2BudLUzA)
วิทยาศาตร์ให้อีกแล้ววว ฮ่า ๆ บังเอิญผมเป็นคนชอบดูแต่อะไรแนวนี้ อันนี้เป็นการอธิบายวิทยาศาสตร์แบบง่าย ๆ และแน่นอนว่ามันไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิดเลย เพราะเต็มไปด้วยเรื่องปั่น ๆ กวน ๆ (เช่น ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อน?) (สำเนียง US)
_______________
จบกันไปกับตอนที่สอง เอาจริงถ้าอ่านทั้งสองกระทู้นี้และเข้าใจทั้งหมด (และจำได้ด้วย) ภาษาอังกฤษน่าจะเริ่มง่ายขึ้นแล้วนะ
แต่ก็นะ มันยากตรงที่ต้องจำให้ได้นี่แหละ
และวิธีจำมันก็ไม่ได้มีแค่การ 'อ่านซ้ำ ๆ' นะเพื่อน! ผมไม่เคยบอกแค่นั้นเลย ผมบอกว่าต้องอ่านซ้ำ ๆ และเอาไปฝึกฝน!
ไม่มีวิธีไหนที่สำคัญหรือดีกว่า มันต้องทำควบคู่กัน
'ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่างในวันนี้ รู้มากกว่าเมื่อวานนี้ก็พอ'
รู้ภาษาอังกฤษมากขึ้นทุกวันที่:
www.facebook.com/MyFathersAnEnglishMan (Page:
พ่อผมเป็นคนอังกฤษ)
Stay knowledge-hungry
JGC.
Read also:
- [How to] ภาษาอังกฤษเริ่มจากศูนย์ ต้องเริ่มตรงไหนมาดู! (Part 1) (
https://ppantip.com/topic/36952690)
เครดิตรูปภาพ:
'Union Jack Mosaic' is a piece of digital artwork by Jane Rix. (Pixels.com)
[How to] ภาษาอังกฤษเริ่มจากศูนย์ ต้องเริ่มตรงไหนมาดู! (Part 2)
มาเจอกันต่อกับเซคชั่นนี้ที่ผมทำขึ้นมาสำหรับเหล่า beginner ที่เพิ่งเริ่มเรียนภาษาอังกฤษเลย
นี่เป็นกระทู้ที่สองแล้ว ใครยังไม่ได้อ่านตอนแรกอย่าลืมไปเข้าไปอ่านด้วยล่ะ
"อยากเก่งภาษาอังกฤษต้องทำอย่างไร?"
ตอบสั้น ๆ คือฝึกฝน
ตอบยาว ๆ คือ...
1. อ่านให้ออก
อย่างที่ย้ำไว้ในกระทู้ที่แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในการอ่านภาษาอังกฤษคือเสียงสระ (vowel sounds) และตัวสะกดของมัน
เช่น สระเอ (หรือ เอ้) จะสามารถถูกสะกดได้ด้วย
- a_e (late, make)
- ai, ay (aim, play)
- ei, ey (eight, hey)
- ea (break, great)
(ตัวอย่างจากกระทู้ที่แล้ว)
เราเรียกตัวสะกดเหล่านี้ว่า spelling variations ดังนั้นนอกจากต้องจำเสียงสระในภาษาอังกฤษทั้ง 20 เสียงให้ครบแล้ว เรายังต้องจำเหล่า spelling variations พวกนี้ให้ครบด้วย (แต่ไม่ได้บอกว่า 'ท่องจำ' ให้ครบภายในวันเดียว จงศึกษาซ้ำ ๆ (ด้วยวิธีการที่หลากหลาย) จนกว่าจะจำได้!)
สรุปเรื่องเสียงสระให้ก่อนเลย จริง ๆ มันมีกี่เสียงกันแน่!
- ในสำเนียงอังกฤษ (RP - Received Pronunciation) มีอยู่ 20 เสียง
- สำเนียงอเมริกัน (GE - General American) มีอยู่ 14 - 16 เสียง
- เสียงสำเนียงออสเตรเลีย (AE - Australian English) มีอยู่ 20 - 21 เสียง
ส่วนเสียงพยัญชนะ (Consonat sounds) มีอยู่เท่ากันในทุกสำเนียงคือ 24 เสียง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ในตอนที่แล้วเราเจอไปแล้ว 10 สระ เป็นคู่เสียงสระสั้น-ยาว
กระทู้นี้มาดูสระที่ไม่มีคู่บ้าง
1.1 สระแอะ (หรือแอ้)
สามารถสะกดด้วย
a - cat, sad, tap, grab, jazz
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ดูเหมือนเป็นสระง่าย ๆ ไม่มีปัญหาอะไร แต่สิ่งที่สร้างความปวดหัวให้เราก็คือคำเหล่านี้
"Class, fast, bath, last etc." ที่คนเถียงกันว่ามันต้องออกเสียงด้วยสระแอะหรือสระอา?
ง่าย ๆ คือ ถ้าเราอยากฝึกสำเนียงให้เหมือนคนอังกฤษ (UK) ก็ออกเสียงโดยใช้สระอา
ถ้าไม่ จะเอาแบบอเมริกัน (US) ก็ออกเสียงด้วยสระแอะไป
อีกข้อสงสัยคือ เราควรจะออกเสียง a แบบสั้น (แอะ) หรือแบบยาว (แอ) ดี
เพราะ Cat เหมือนจะใช้สระเสียงสั้น (แคะทฺ) ส่วน Sad เหมือนจะเป็นเสียงยาว (แซ้ดฺ)
คำตอบอยู่พยัญชนะที่ตามมา!
หากพยัญชนะที่ตามเป็นแบบ voiceless ได้แก่ -p, -t, -k, -s, -f จะออกเสียงสระ a แบบสั้นหน่อย (แอ่ะ)
เช่น Cap, sat, hack, ass, staff (คนอังกฤษอ่านว่า สฺต้าฟฺ) etc.
หากพยัญชนะที่ตามมาเป็นแบบ voiced ได้แก่ -b, -d, -g, -z, -v ก็จะออกเสียงสระ a ยาวหน่อย (แอ้)
เช่น Cab, sad, brag, as (as ตัวนี้ลงท้ายด้วยเสียง z นะ), have etc.
เข้าใจนะ! a เป็นได้ทั้งสระแอะและแอ จะสั้นจะยาวก็อยู่ที่พยัญชนะตามหลัง
1.2 สระอ้า (หรืออา)
สามารถสะกดด้วย
ar - card, dark, hard, arctic
a (สำเนียง UK) - tomato, fast, path
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
และยังมีตัวสะกดที่ไม่เข้าพวกเท่าไหร่ได้แก่ -ear เช่นในคำว่า heart และ -er เช่นในคำว่า sergeant (ซ้า-เจิ่นทฺ)
แต่เราไม่ค่อยเจอหรอก
1.3 สระอะ
สามารถสะกดด้วย
u - cut, lust, but, tub
ove - love (ใช้แล้วครับคำนี้อ่านว่า ลัฟฺ), dove, glove, shove, above (เออะ-บัฟฺ)
ough - tough, enough, rough
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จบไปอีก 3 เสียง เสียงสระที่เหลือจะเป็น Diphthong หรือ 'สระผสม' แล้ว มันจะเริ่มยากหน่อย
แต่ตอนนี้แค่ทบทวนและจำเสียงในกระทู้นี้และกระทู้ก่อนหน้าให้ได้ก็ถือว่าดีมาก ๆ แล้วครับ
_______________
2. แกรมมาร์สำคัญที่ควรรู้ไว้
ครั้งที่แล้วเราเรียนเรื่อง Verb to be และ Word order ไป จัดว่าเป็นหัวใจสำคัญของไวยากรณ์อังกฤษเลย
มาดูอีกเรื่องที่สำคัญต่อผู้เริ่มต้นไม่แพ้กันนั่นก็คือ Adjective และ Adverb!
มีใจความสำคัญ (แบบสั้น ๆ ง่าย ๆ) ดังนี้
2.1 Adjective (คำคุณศัพท์)
Adjective คือ คำที่เอาไว้ขยายความหมายให้กับคำนาม (Describing word) เช่น stupid (โง่), old (แก่), open (เปิดอยู่), two-storey (สองชั้น), untidy (ไม่เป็นระเบียบ)
มักจะวางไว้สองตำแหน่งคือ 1) หน้าคำนาม และ 2) หลัง verb to be
หน้าคำนาม เช่น
A stupid idea (ความคิดที่โง่เขลา)
An old man (ชายชรา)
The open door (ประตูที่เปิดอยู่)
A two-storey building (ตึกสองชั้น)
An untidy room (ห้องที่ยุ่งเหยิง)
หรือวางไว้หลัง verb to be (is, am, are) เช่น
You are not stupid.
This book is old.
This room is untidy.
The library is two-storey high.
2.2 Adverb (กริยาวิเศษณ์)
Adverb คือ คำที่เพิ่มความหมาย (Modifying word) ให้กับคำกริยา (ตามชื่อเลย ad+verb)
ส่วนมาก Adverb มักจะลงท้ายด้วย –ly (แต่ก็ไม่ทุกตัวนะ) เช่น Clearly, slowly, quite etc.
Adverb จะวางไว้ข้างหลังกริยาที่มันขยาย
เช่น
She spoke clearly. (เธอพูดอย่างชัดเจน)
He's walking home slowly. (เขาเดินกลับบ้านอย่างช้า ๆ)
My friend's beginning to act strangely. (เพื่อนฉันมันเริ่มทำตัวแปลก ๆ)
Sarah smiled happily when she heard the news. (เธอยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อได้ยินข่าว)
และยังใช้เพิ่มความหมายให้กับ adjective ได้อีกด้วยนะ เอาวางไว้ข้างหน้า adjective เลย
เช่น Absolutely fantastic (โคตรสุดยอด) / Very hard (ยากมาก) / Clearly visible (เห็นได้อย่างชัดเจน) / Extremely wonderful (วิเศษสุด ๆ)
ตัวอย่างในประโยค
She was extremely clear about the rules. (เธอพูดเรื่องกฎไว้อย่างชัดเจนมาก)
The storm can be clearly visible from this storey. (พายุสามารถถูกมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากชั้นนี้)
The exam was bloody difficult! (ข้อสอบแม่*งโคตรยากเลย)
และก็ยังใช้เพิ่มความหมายให้ adverb ด้วยกันได้อีก ส่วนมากจะเป็นคำว่า quite และ very
เช่น
She spoke quite clearly. (เธอพูดค่อนข้างชัดเจน)
He walks very slowly. (เขาเดินค่อนข้างช้า)
เอาสองเรื่องนี้ไปทบทวนและศึกษาเพิ่มเติมนะ พอเข้าใจมันได้ดีแล้วชีวิตการเรียนภาษาอังกฤษจะง่ายขึ้นเยอะ!
_______________
3. ฝึกฟังและเก็บคำศัพท์
ตอนที่แล้วผมให้ Conversation ในยูทูปไปฝึกฟัง มีใครทำตามกันบ้าง
และไม่ใช่ว่าฝึกวันสองวันจะเก่งนะ ต้องฝึกเป็นเดือน!
กระทู้นี้มาฝึกกับวิดีโอแบบอื่นหน่อย เพราะบางคนอาจคิดว่า Conversation มันน่าเบื่อไป
มาดูช่องยูทูปดี ๆ ที่เอาไว้ฝึก Listening กันบ้าง (มีซับไทเทิลให้หมดเลย ไม่ต้องกลัวว่าจะฟังไม่ออก)
1. The School of Life (https://www.youtube.com/channel/UC7IcJI8PUf5Z3zKxnZvTBog)
ช่องยูทูปที่เต็มไปด้วยบทเรียนชีวิตและปรัชญาต่าง ๆ ใครเป็นคนที่ชอบพัฒนาระดับจิตใจห้ามพลาดเลย (สำเนียง UK)
2. Casually Explained (https://www.youtube.com/channel/UCr3cBLTYmIK9kY0F_OdFWFQ)
เป็นช่องยูทูปที่จะมาอธิบายคอนเซปต์ต่าง ๆ หรือไอเดียต่าง ๆ ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร นอกจากนี้ยังมีเรื่องวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจอีกมากมาย ประกอบกับรูปวาดแบบน่ารัก ๆ ด้วย (สำเนียง US)
3. SciShow (https://www.youtube.com/channel/UCZYTClx2T1of7BRZ86-8fow)
อันนี้เป็นช่องวิทยาศาสตร์แบบจัดเต็มเลย แต่ไม่ได้น่าเบื่อเหมือนในห้องเรียนนะ มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจทั้งนั้น! (สำเนียง US)
4. ASAPScience (https://www.youtube.com/channel/UCC552Sd-3nyi_tk2BudLUzA)
วิทยาศาตร์ให้อีกแล้ววว ฮ่า ๆ บังเอิญผมเป็นคนชอบดูแต่อะไรแนวนี้ อันนี้เป็นการอธิบายวิทยาศาสตร์แบบง่าย ๆ และแน่นอนว่ามันไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิดเลย เพราะเต็มไปด้วยเรื่องปั่น ๆ กวน ๆ (เช่น ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อน?) (สำเนียง US)
_______________
จบกันไปกับตอนที่สอง เอาจริงถ้าอ่านทั้งสองกระทู้นี้และเข้าใจทั้งหมด (และจำได้ด้วย) ภาษาอังกฤษน่าจะเริ่มง่ายขึ้นแล้วนะ
แต่ก็นะ มันยากตรงที่ต้องจำให้ได้นี่แหละ
และวิธีจำมันก็ไม่ได้มีแค่การ 'อ่านซ้ำ ๆ' นะเพื่อน! ผมไม่เคยบอกแค่นั้นเลย ผมบอกว่าต้องอ่านซ้ำ ๆ และเอาไปฝึกฝน!
ไม่มีวิธีไหนที่สำคัญหรือดีกว่า มันต้องทำควบคู่กัน
'ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่างในวันนี้ รู้มากกว่าเมื่อวานนี้ก็พอ'
รู้ภาษาอังกฤษมากขึ้นทุกวันที่: www.facebook.com/MyFathersAnEnglishMan (Page: พ่อผมเป็นคนอังกฤษ)
Stay knowledge-hungry
JGC.
Read also:
- [How to] ภาษาอังกฤษเริ่มจากศูนย์ ต้องเริ่มตรงไหนมาดู! (Part 1) (https://ppantip.com/topic/36952690)
เครดิตรูปภาพ:
'Union Jack Mosaic' is a piece of digital artwork by Jane Rix. (Pixels.com)