ฟังอังกฤษให้ออกไม่ใช่เรื่องยาก! มาดูเทคนิคในการพัฒนา Listening skill แบบก้าวกระโดด!

What's up?!

วันนี้มาแชร์เทคนิคดี ๆ ที่จะช่วยให้สกิลการฟังของเราพัฒนาขึ้นแบบก้าวกระโดด

สำหรับใครที่กำลังหาวิธีฝึก listening skill ของตัวเองอยู่ ลองอ่านกระทู้นี้แล้วลองเอาไปทำตามดู รับรองว่าหูคมขึ้นแน่นอน!


1. หยุดคิด! แล้วฟังซะ

ผมเข้าใจว่าคำพูดนี้มันอาจฟังดูประหลาด ๆ ไปซะหน่อย หลายคนคงอยากจะค้าน แต่ลองฟังสิ่งที่ผมจะบอกก่อนครับ

เวลามีคนมาพูดกับคุณพร้อมกันสองคน สมองคุณพยายามจะฟังทั้งสองคนให้รู้เรื่องโดยการพยายามแยกเสียงสองเสียงที่ได้ยิน แยกข้อมูลสองข้อมูลที่ได้รับ

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่สมองเราถนัดเลย! เป็นเหตุผลที่เราฟังคนพูดพร้อมกันสองคนไม่รู้เรื่อง ทำให้มนุษย์เราตั้งกฎพื้นฐานขึ้นมาว่า “ให้พูดทีละคน”

เช่นเดียวกับเวลาเราฟังภาษาอังกฤษ หลายคนพยายามจะ'คิดตาม' พูดง่าย ๆ คือเราพยายาม ‘คุย’ กับตัวเองไปในหัวพร้อม ๆ ไปกับการฟัง ทำให้สมองต้องพยายามทำความเข้าใจทั้งสองบทสนทนา ทั้งสิ่งที่เรากำลังได้ยิน และสิ่งที่เรากำลังคิดกับตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่สมองเราไม่ถนัดเลยนะ!!

หยุดครับ! เราต้องหยุดนิสัยแบบนี้ จากนี้ไปเวลาฟังภาษาอังกฤษ เคลียร์สมองให้โล่ง ไม่ต้องคิดตาม ไม่ต้องคุยกับตัวเองในหัวไปด้วย ใช้หูของเราอย่างเดียว

ให้สมองของเราจดจ่ออยู่ที่การฟังเท่านั้น ไม่ต้องให้มันลำบากคิดตามไปด้วย ผมเข้าใจว่าวิธีนี้มันอาจจะขัดแย้งกับสิ่งที่เราถูกสอนกันมาทั้งชีวิตว่า ‘ฟังแล้วคิดตาม’ แต่นั่นไม่เวิร์คแน่นอน

เคยสังสัยไหมว่าทำไมอาจารย์สอนภาษาอังกฤษทั้งหลายถึงชอบแนะนำให้เราฟังบทสนทนาภาษาอังกฤษ หรือดูรายการภาษาอังกฤษทั้ง ๆ ที่เราไม่รู้เรื่องเพราะฟังไม่ออกก็ตาม เพราะเขาอยากให้เราหยุดคิดตามนั่นแหละ

เขาอยากให้เราใช้หูมากกว่าที่จะใช้สมองในการฟัง จำไว้ หยุดคิด! แล้วฟังซะ!!
______________________

2. ตั้งคำถาม

เมื่อเราฝึกฟังภาษาอังกฤษโดยใช้หูจนชินแล้ว สิ่งต่อไปที่เราต้องฝึกคือ ‘การตั้งคำถาม’ แต่นี่ไม่ใช่การตั้งคำถามเพื่อ ‘ให้ใครสักคนมาตอบ’ นะ

มันคือการตั้งคำถามเพื่อ ‘หาคำตอบด้วยตัวเอง’  ซึ่งข้อมูล(หรือคำตอบ)สำคัญที่เราต้องโฟกัสเวลาฟังมีอยู่ไม่กี่อย่าง
เรียงลำดับตามความสำคัญได้ดังนี้: ใคร, ทำอะไร, เมื่อไหร่, ที่ไหน

ทุกครั้งที่เราฟังเราต้องรู้ who (ใคร ในที่นี้ร่วมไปถึง สัตว์ และสิ่งของด้วย ไม่ใช่แค่คนนะครับ)ที่กำลังถูกพูดถึง เพราะเป็นข้อมูลที่สำคัญที่สุด คีย์เวิร์ดสำหรับ who ได้แก่ ชื่อ (names), สรรพนามที่ใช้เรียกแทนสิ่งนั้น (pronouns) พยายามจับข้อมูลส่วนนี้ให้ได้

พอเราได้ 'ใคร' มาแล้วข้อมูลที่เราต้องจับให้ได้ต่อไปก็ตามลำดับเลย 'ทำอะไร' 'ทำเมื่อไหร่' (แบ่งออกเป็นสามหมวดหลัก ๆ คือ ทำในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต แล้วค่อยย่อลงไปอีกว่า ปีไหน เดือนไหน วันไหน) 'ทำที่ไหน'

ทำไมเราต้องตั้งคำถาม?
การทำอย่างนี้เป็นการช่วยให้สมองของเราไม่ต้องทำงานหนักในการตีความ จากเดิมที่เราฟัง ๆ ไปทั้งประโยคแล้วพยายามตีความ เราจะแบ่งประโยคออกเป็นส่วน ๆ ได้แก่
- ส่วนผู้กระทำ(และผู้ถูกกระทำ)
- ส่วนการกระทำ
- ส่วนเวลาและสถานที่
แบบนี้จะทำให้เราเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ง่ายขึ้นมาก

หลายคนอาจสงสัยว่า เอ๊ะ! ทำไมข้อสองมันขัดแย้งกับข้อหนึ่งล่ะ! ไหนตอนแรกบอกไม่ให้คิด ทำไมตอนนี้ถึงให้คิดเยอะไปหมด ตั้งคำถามนู่นนี่นั่น

ขออธิบายดังนี้ การตั้งคำถามที่ผมบอกไม่ได้หมายความว่าให้เราตั้งคำถามเวลาเราฟังตลอดเวลานะ แต่เป็นการ 'รอฟัง’ ข้อมูลเหล่านี้ต่างหาก  

พอเราได้ยินประโยคภาษาอังกฤษให้รู้ว่า 'อ๋อ นี่คือผู้กระทำ นี่สิ่งที่เขากระทำ นี่คือวันเวลาที่เขาทำสิ่งนี้' แบบนี้ครับ การทำแบบนี้จะช่วยให้เรา 'จดจ่อ' กับการฟัง และเข้าใจสิ่งที่ได้ยินมากขึ้น

อาจจะไม่ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่แค่เข้าใจสิ่งที่ได้ยินสัก 70 – 80 เปอร์เซ็นต์ก็ถือว่าดีแล้ว ฝึกไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องกดดันตัวเองมาก
_____________________

3. ฝึกฝนการฟัง

มาถึงสิ่งที่เราทุกคนรู้ แต่ไม่อยากทำแล้ว 5555

ผมพยายามตอบทุกคนที่เข้ามาถามว่า จะเก่งอังกฤษขึ้นอย่างไร? จะฟังภาษาอังกฤษออกได้อย่างไร? จะพูดอังกฤษได้อย่างไร? ด้วยคำตอบเดียวกันเลยคือ ‘ฝึกฝน’ ครับ

ซึ่งวิธีการฝึกฟังภาษาอังกฤษ ผมก็ได้แนะนำไว้ตั้งแต่แรกเริ่มเลย นั่นก็คือ 'ฝึกจากการดูซีรีย์'

ทีนี้ผมขออธิบายวิธีการฝึกฟังไว้อย่างละเอียดเป็นลำดับเลยละกัน

1. หาซีรีส์ที่ไม่ยาวมากสักเรื่อง (ถ้ามีซับ Eng ด้วยจะดีมาก) ตอนละสัก 20 – 30 นาที (เรื่องที่แนะนำ Friends, People of Earth, Stranger Things, How I met your mother หรือาจจะเป็นการ์ตูนก็ได้ เช่นเรื่อง The Simpsons)

2. ฝึกฟังแบบไม่มีซับไทเทิ้ลก่อน ไม่ใช่ฟังทั้งเรื่องนะครับ ให้เราฟังแค่ทีละ 2 - 3 ประโยค วนอยู่อย่างนั้นครับ ฟังเรื่อย ๆ พยายามใช้หูฟังไม่ต้องใช้สมอง (ใช้วิธีการข้อ 1 และข้อ 2) ฟังให้ออก วนฟังอยู่อย่างนั้น 8 - 10 รอบ

3. พอเราฟังวนได้ครบ 8 - 10 รอบแล้ว พอรอบที่ 11 ให้เราเขียนตาม เขียนแค่สิ่งที่เราได้ยินนะ ไม่ว่าจะฟังออกไม่ออก ได้ยินยังไงให้เขียนอย่างนั้น

4. ฟังรอบที่ 12  รอบนี้เปิดซับไปด้วย แล้วเราลองเปรียบเทียบสิ่งที่เขาพูดกับสิ่งที่เราเขียนดูครับ แล้วถ้าสิ่งที่เราฟังไม่ออกเป็นคำศัพท์ที่เรายังไม่รู้จัก ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถ้าเป็นคำศัพท์ที่เรารู้จัก นั่นอาจเป็นเพราะเรายังไม่เคยได้ยินคำศัพท์นี่จากปากฝรั่งจริง ๆ ก็ให้จำไว้ครับว่ามันออกเสียงอย่างไร (เอาไปเปรียนเทียบกับเสียงที่เราจดไว้ด้วย)

5. ทำอย่างนี้ไปจนจบเรื่อง หาสมุดสักเล่มไว้จดคำศัพท์ใหม่ไว้เสมอ เอาไว้ทบทวน (ทบทวนทุกครั้งที่จะขึ้นตอนใหม่) ผมมั่นใจว่าทำแบบนี้ไปสัก 10 ตอน Listening skill ของเพื่อน ๆ จะพัฒนาแบบก้าวกระโดดมาก ๆ

6. พอจบเรื่องแล้ว กลับมาฟังอีกรอบโดยไม่ต้องเปิดซับครับ แล้วเราจะพบว่าสกิลการฟังภาษาอังกฤษมันแข็งแรงขึ้นอย่างมหัศจรรย์!

แต่ก็ขอพูดตรงๆ แบบไม่ปลอบใจตรงนี้เลยว่า วิธีนี่อาจจะเป็นวิธีที่ ‘ยาก’ และ ‘น่าเบื่อ’ สำหรับบางคนแน่นอน แต่ผมการันตีไว้ตรงนี้เลยว่าถ้าใครเอาชนะความขี้เกียจของตัวเองและอดทนทำแบบนี้ไปอย่างสม่ำเสมอได้ การฟังภาษาอังกฤษจะเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก เพราะตัวผมเองก็ทำแบบนี้มาเหมือนกัน

สำหรับใครที่มีปัญหาในการหาเว็บดูซีรีส์ที่มีซับอังกฤษ ผมมีอีกวิธีที่น่าสนใจคือ การโหลดซับภาษาอังกฤษจากเว็บ www.yifysubtitles.com, www.opensubtitles.org  หรือเว็บอื่น ๆ ที่มีซับให้โหลด (โหลดมาเป็นไฟล์ Notepad ครับ) แล้วก็ไว้เปิดอ่านตามก็ได้ครับ ไม่ต้องง้อเว็บซีรีส์ซับอังกฤษก็ได้
___________________

4. หลับตาแล้วเปิดหู

หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินแนวคิดที่ว่า มนุษย์เรามีความพิเศษอย่างหนึ่งคือ 'พอเราสูญเสียประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่งไป ประสาทสัมผัสที่เหลือของเราจะแข็งแกร่งขึ้นมาก' เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคนตาบอดถึงมีประสาทสัมผัสเรื่องการดมกลิ่นและการได้ยินที่ดีกว่าคนทั่วไป

สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ ทุกครั้งที่เราพยายามฝึก Listening skills ให้ลองหลับตาลงดู แล้วหูของเราจะเปิดกว้างขึ้น!

แล้วจะพบว่าจากประโยคยาก ๆ ที่เราฟังไม่ออก เราจะเริ่มฟังมันออกครับ พยายามโฟกัสอยู่ที่การฟัง ทำสมองให้โล่ง ๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะฟังไม่รู้เรื่องหรือไม่เข้าใจ สองเหตุผลที่เราจะฟังไม่รู้เรื่องคือ เราไม่เคยได้ยินคำศัพท์จากปากฝรั่งจริง ๆ และเราไม่รู้ความหมายของคำศัพท์นั้น แบบนี้เราก็ต้องขยันเก็บศัพท์และทบทวนไปด้วยเสมอ
__________________

จำไว้ หยุดคิด และเริ่มฟัง หลับตาลง โฟกัสแค่ที่การฟัง แล้วก็อย่าลืมฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ

เจอกันกระทู้หน้า!

Immensely inspired by James, the greatest English teacher I've ever met!

ไม่จำเป็นต้องรู้หมดทุกอย่างในวันนี้ แค่รู้มากขึ้นกว่าเมื่อวานนี้ก็พอ
รู้ภาษาอังกฤษมากขึ้นทุกวันที่: https://www.facebook.com/MyFathersAnEnglishMan/ (FB Page: พ่อผมเป็นคนอังกฤษ)
Stay electric
JGC.
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่