ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก ตะลุยสหรัฐอเมริกา เม็กซิโก อเมริกากลาง อเมริกาใต้ และอัฟริกา 26 ประเทศ 74 วัน ตอนที่ 11 พิรามิดชิเซนอิซ่า เม็กซิโก มรดกโลก และสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลก. Chichen Itza
(ตอนอยู่ตปท. ภาพนิ่งล้นไอโฟน จึงลบออกหลังโพสต์เพจแล้ว ส่วนพันทิปโหลดหน้ารีวิวไม่ได้ ต้องกลับมาทำใทย ตอนนี้ขอให้ชมยูทูปไปก่อน ถ้ารีบชมภาพนิ่ง ให้ไปที่เพจ ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก)
https://www.youtube.com/watch?v=JBYSnEXko9A&index=56&list=PLNNEpgjidh3peDayS3ikBCPP6tJVMso-6
https://www.youtube.com/watch?v=17oEXm9Jstk&index=57&list=PLNNEpgjidh3peDayS3ikBCPP6tJVMso-6
พุธ 22 มิ.ย. แม้ว่า จะต้องอดนอนโหลดวิดีโอลงยูทูป ทั้งคืน เพื่อให้ได้ภาพการท่องเที่ยวครอบคลุมที่สุด แต่เราก็ตื่นแต่เช้า ออกจากที่พักโดยฝากเป้ไว้ที่โรงแรม เวลา 07.00 น. นั่งรถออกจากสถานีเมริด้า พอรถออกก็ได้ยินเสียงเพลง ตามสไตล์คนเม็กซิกัน รถทุกคันมีเพลงฟัง บางคนก็ร้องคลอไปด้วย ทำนองละติน น่าโยก
มีคนเอาของมาขายบนรถตามเคย คนขับรถทุกคันก็เอื้อกัน เมื่อวาน คนที่ขึ้นมาขายของแวะที่คนขับก่อนลงจากรถ เขาบอกให้คนขับหยิบขนมที่เขาเอาขึ้นมาขาย คนขับส่ายหน้า คงเห็นว่า เขาขายไม่ได้ เขาขายของกันทุกที่ ทั้งรถบัสรถเมโทร และรถไฟ ไม่ได้ทำความรำคาญ หรือเกะกะ ทางเดิน เหมือนที่เมียนม่าร์ พอถึงจุดจอดต่อไปก็ลง คนขับก็ไม่ได้คิดเงิน เป็นความน่ารักที่เห็นตลอดเวลาที่เข้าเขตเม็กซิโก รถไปจอดอีกสถานีหนึ่ง ทำให้รู้ว่า เมริด้า มีสถานีรถบัสมากกว่า 2 ที่
เมริด้า เป็นเมืองเก่าแก่มากทีเดียว บ้านเรือน และร้านค้า ส่วนใหญ่สร้างด้วยซีเมนต์บล็อคหนา เชื่อมด้วยปูน รูปทรงสี่เหลี่ยม ปาดมุม หรือโค้งตามมุมถนน ใช้กำแพงร่วมกับฝาบ้าน หลังคาเป็นลานธรรมดา เจาะรู ใส่ท่อ ให้น้ำไหลลง ทาสีจัดจ้านบ้าง ไม่ทาสีบ้าง แทบจะไม่มีที่ระบายอากาศ อยู่กันแบบห้องมืดๆ ต้องใช้แสงไฟช่วย
มีโบสถ์คริสต์อยู่ทั่วไป ส่วนใหญ่ไม่ได้ใหญ่โต มีแค่ไม้กางเขนที่บ่งบอกว่าเป็นโบสถ์ นอกจากในตัวเมืองใหญ่ กับย่านที่เป็นตลาด หรือ ศูนย์รวมผู้คน ที่มีโบสถ์สวย สร้างด้วยหิน
ชุมชนนอกเมืองมีบ้านที่ทำด้วยหินก่อเป็นกำแพง ด้านในฉาบด้วยดิน หลังคาอาจเป็นลานปูนบ้าง เป็นทรงกระโจม มุงด้วยใบปาล์มบ้าง บางบ้านใช้ต้นไม้เล็กตีรอบวงกลม ด้านในฉาบด้วยดิน หลังคาเป็นกระโจมใบปาล์ม บางบ้านฉาบทั้งข้างในและข้างนอก บางบ้านมุงหลังคาด้วยผ้าเต็นท์เอาหินทับกันลมตี บางบ้านใช้ตะปูตีสังกะสี แบบหัวบานใหญ่ ตีกัน เปิง บางบ้านใช้แต่ไม้ทำฝาบ้าน ไม่ได้ฉาบดิน มองไปเหมือนเล้าไก่ตามชนบท ผู้คนมีทั้งเม็กซิกันแท้ ลูกครึ่ง ลูกเสี้ยว รูปร่างคล้ายๆ บ้านที่พวกเขาสร้าง ป้อมๆ เหลี่ยมๆ ตั้งแต่ศีรษะลงไปถึงเข่า ขาช่วงล่างและเท้าเล็ก สั้น เหมือนคนครึ่งตัว ผิวคล้ำ
ผู้คนจำนวนไม่น้อยไม่ใส่รองเท้า พวกเขานำหินที่มีอยู่ทั่วไปมาใช้ในการสร้างที่อยู่อาศัย ทำแนวเขตที่ดิน และใช้สอยอย่างอื่น เช่น ทำก้อนเส้า เป็นเตาไฟในการประกอบอาหาร และให้ความอบอุ่นในบ้าน เหมือนคนพื้นเมืองที่เกาะเจจู แต่ที่นั่นใช้หินภูเขาไฟสีดำ หินที่เมริด้า ส่วนใหญ่เป็นหินปูน และหินแกรนิต ใช้สีขาวสาดหลังจากก่อเป็นกำแพงแล้ว
มีคนพิ้นเมืองจำนวนมากที่ยังมีวิถีชีวิตแบบเดิมๆ ยังคงใช้ฟืนและถ่านไม้ ในการประกอบอาหาร พวกเขาเชือดหมูขายกันเองในชุมชน ส่วนเนื้อไก่ น่าจะเลี้ยงไว้กินเอง เพราะเห็นเดินอยู่ตามสวนรอบบ้าน และเนื้อไก่ทอดที่เรากิน ก็เป็นเนื้อไก่บ้าน ไม่ใช่ไก่เลี้ยง คนเม็กซิกันขาดหมูไม่ได้ เพราะมันเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของอาหารหลัก อย่างทาโค กับ ทอร์ทิลล่า
ดูจากความคร่ำคร่าของบ้านเรือน พวกเขารู้จักการใช้ปูนซีเมนต์มาไม่น้อยกว่า 100 ปี
ต้นไม้ผลที่น่าจะมีทุกบ้านในชุมชนนอกเมือง คือ มะม่วงสีม่วงแดง กับ มะนาว เขาปล่อยให้มะม่วงสุกลูกเล็กร่วงเกลื่อนใต้ต้น เพราะมันสุกแล้วไม่หวาน และเนื้อก็บางนั่นเอง มันจึงไร้คนเหลียวแล เราได้เห็นต้นวาอาย่า ที่เขาปลูกไว้หน้าบ้าน ส่วนใหญ่ลูกยังไม่โต มันเป็นผลไม้ที่มี เนื้อน้อย เม็ดใหญ่ มีเนื้อบางๆ หุ้มเม็ด อมชุ่มคอ เปรี้ยวมากกว่าหวาน รสชาติคล้ายๆ มะค้อแล็น เม็ดไม่ล่อน
ถนนแคบๆ ผ่านหมู่บ้าน ชุมชน และป่า ที่มีหินเต็มไปหมด แต่ก็ไม่ได้ไร้ต้นไม้ เป็นป่าโปร่ง ไปตลอดทาง เวลาที่รถใหญ่สวนกันต้องชะลอ เหมือนทางไปสวนผลไม้ ที่ใช้งบอบต.
รถจอดรับส่งคนไปเรื่อย ถึง ที่หมายเวลา 10.00 น. ค่าผ่านประตูคนละ 320 เปโซ
Chichen Itza เป็นชื่อเมือง เป็นมรดกโลกยุคใหม่ ที่สร้างโดยชนเผ่ามายัน สร้างด้วยหินเชื่อมด้วยดินเหนียวและซีเมนต์ มีกำแพงหิน และป้อมหินล้อมรอบ อยู่บนที่ราบยูคาตาน มีบ่อน้ำลึกลงไปในโพรงหินซึ่งเชื่อว่า เป็นทางนำไปสู่โลกบาดาล แจกจ่ายน้ำสู่ชาวเมือง
เป็นเมืองที่มีอำนาจทั้งทางทหารและการค้า เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 300 ปี สามารถนำเกลือซึ่งเชื่อว่าเป็นทรัพยากรที่มีค่ามาก มาให้ชาวเมืองได้บริโภคอย่างเหลือเฟือ
บริเวณชิเช่นอิทซ่า ล้อมรอบด้วยป่าโปร่ง ประกอบด้วย ปราสาท หรือ วัด ของคูคูลคาน (The Castle or Temple of Kikulcan) บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ (Sacred cenote) วัดของนักรบ (Temple of the Warriors) หอสังเกตการณ์ (Observatory or Snail) และสถานที่แข่งขันบอล (Ball Game)
ในเวลา 10.00 น. ขนาดไม่ใช่วันหยุด ยังมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวเม็กซิกัน และต่างชาติหลายร้อยคน มีเราเป็นคนไทยแค่ 2 คน เท่านั้น พ่อค้าร้องทัก โอไฮ้โย้ บ้างคอนนิชิวะ บ้าง หนีห่าว บ้าง ป้าตอบกลับว่า สวัสดีค่ะ พวกเขางงกันใหญ่
ริมทางเดินมดารดาษไปด้วยร้านขายของที่ระลึก สารพัดที่เป็นของทำมือ ราคาไม่แพง มีคุณค่าแก่การซื้อหา งานแกะสลักไม้ งานปั้น เซรามิค สร้อย แหวนที่ทำจากเงิน เสื้อ ผ้าสกรีน ปัก ถัก ทอฯลฯ ฝีมือประณีต พวกเขาไม่ได้ส่งเสียงรบกวน หรือ ต้อนหน้า ต้อนหลังนักท่องเที่ยว เป็นบรรยากาศสบายๆ
คนแบกเป้อย่างเราได้แต่เก็บภาพ ไว้เป็นที่ระลึก เฉพาะที่แบกอยู่ก็หนักเอาการสำหรับเราอยู่แล้ว
ขากลับมีรถจอดอยู่ที่ลานจอดรถเต็มไปหมด ทั้งรถบัส รถทัวร์ รถตู้ และรถอื่นๆ แต่รถที่จะไปเมริด้า ต้องไปรอที่ใต้ต้นไม้ตรงที่วนไปกลับรถ
มีคนขายตั๋วยืนอยู่ตรงนั้น เขาเป็นมายันแท้ ชื่อ ดาวิด David Tamay รูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำ จมูกโด่ง แหลม ตาโต ไม่ใช่โด่งทู่เหมือนพวกเม็กซิกัน รูปศีรษะกลมใหญ่ หน้ากลม ดูแตกต่างจากพวกเม็กซิกัน จนเห็นได้ชัด
บ้านของเขาอยู่ใกล้อิเช่น อืทซ่า อาหารการกินของพวกเขาต่างจากเม็กซิกันทั่วไป พวกเขากินเนื้อกวาง กับ ผักที่เรียกว่า ชายา (Chaya) เขาว่าเป็นหัวของพืช มันน่าจะเป็นมันฝรั่งชนิดหนึ่งมั้ง ข้าวโพดก็กินเป็นฝัก ไม่ได้เอาไปทำเป็นแป้งเหมือนพวกเม็กซิกัน พวกเขายังคงยิงกวางที่มีอยู่ในป่ารอบๆ หมู่บ้านมาเป็นอาหาร. ขากลับ ค่ารถคนละ 85 เปโซ รถออกเวลา 12.15 น. มีคนเอาข้าวเกรียบมาขายบนรถ ถุงละ 10 เปโซ ราดซอสที่เรียกว่า ซาลซ่า มีรสเปรี้ยว เค็ม
ถึงสถานีเมริด้า เวลา 15.00 น. ป้าซื้อตั๋วไปปาเลงเก้ ส่วนลุงไปเอาเป้ที่โรงแรม รถจะออกเวลา 22.00 น. ค่ารถ 2 คน 1,292 เปโซ
ต้องไปขึ้นรถที่สถานีที่เรามาลงรถ ตอนที่มาจากเม็กซิโกซิตี้ แต่ลุงไม่ยอมข้ามไป เพราะติดใจกระแสไฟฟ้ามกับเน็ตที่สถานีนี้ ขอรปภ. เข้าไปนั่งตรงที่รอรถของสถานี ยามไม่รู้จะพูดอย่างไร เขาให้เข้าไป แต่ป้าเกรงใจรปภ. จึงออกไปสำรวจ สถานีที่จะขึ้นรถว่ามีที่ชาร์จไฟ กับเน็ตให้ใช้ หรือ ไม่
ลุงเป็นคนที่เอาจริงเอาจังกับการโหลดวิดีโอลงยูทูปมาก ลุงบอกว่า มันทำให้เห็นบรรยากาศทุกอย่าง ที่ภาพนิ่งให้ไม่ได้ แม้คนตามจะเปิดดูน้อยก็ตาม 🙂.
ปิดม่านเมริด้า...ที่สถานี Adel Autobuses ใช้เน็ตเครือข่ายเดียวกัน พอไปถึงก็ไมรต้องต่อเน็ต ป้าจึงส่งข้อความบอกให้ลุงตามไป....เราทำงาน และชาร์จแบ็ต จนถึง 18.00 น. ป้าเดินไปตลาด จุดเริ่มต้นไม่ใช่ที่เดิม และป้าจะลองเดินต่อไปอีกบล็อค เพื่อชมบ้านเมือง รถราไม่ค่อยวิ่ง นานๆ จะเจอคนสักคนหนึ่ง บ้านติดถนนมีประตูติดทางเท้า แค่เปิดประตูก็เข้าตัวบ้าน เหมือนร้านค้าในตลาด แต่เป็นบ้านอยู่อาศัย เงียบเชียบ เหมือนเจ้าของบ้านไม่อยู่ เพราะคล้องกุญแจไว้ เดินไปเจอโบสถ์ เจอคนออกไปสูดอากาศตามสวนสาธารณะเล็กๆ จนกระทั่งคิดว่า ออกนอกเส้นทางไปเรื่อยๆ จึงวกกลับจะไปเดินทางเดิม แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งสับสน ถามใครก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เอารูปตลาด ที่เพอบลาให้ดู หนุ่มแรกบอกทางป้าก็ไปตามทางที่เขาบอก ยิ่งเดินยิ่งไม่ใช่ ไปเจอสาวอีก 2 คน แต่ละคนก็ทำให้วนอยู่ที่เดิม จนกระทั่งเดินผ่านหน้าบ้าน เห็นตาคนหนึ่งนั่งเหงาๆ จึงเอารูปไปถาม ตาได้แต่ชี้ฟ้าที่เมฆลอยต่ำลงเรื่อยๆ แล้วชวนรอหลบฝน ป้าขอตัวเดินออกไป เจอหนุ่มอีกคนหนึ่ง เขาได้แต่บอกว่า ออโตบุส ทันใดนั้น ฝนก็เทลงมา ป้าวิ่งกลับหาตา ตาดีใจมาก ทั้งๆ ที่เกินไม่สะดวก รีบลุกไปหาเก้าอี้มาให้ ป้าจึงตามตาเข้าไป ทำให้เห็นสภาพข้างในบ้าน ที่เป็นที่โล่ง ตั้งตู้กั้นส่วนที่เป็นครัว ดูเหมือนจะปูที่นอน นอนกับพืนกัน
นั่งอยู่กับตา คุยกันคนละภาษา ป้าจึงเอารูปให้ดูฆ่าเวลา ฝนซาแล้ว แต่ตาไม่ให้ไป บอกว่า จะเปียก ป้ารอจนฝนหยุดเกือบสนิท ตายังคงใช้ดวงตาเหงาๆ ขอให้อยู่ต่อ ป้ารอเวลาอีกนิด ตอนนั้นใกล้ 2 ทุ่มแล้ว จึงตัดใจบอกลา ทั้งๆ ที่เห็นตาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เดินไปเห็นนักเรียนสาว 2 คน กำลังข้ามถนน ไกลออกไปจึงวิ่งไปกะว่า จะตามให้ทัน บังเอิญเจอหนุ่มคนที่สองยืนอยู่หน้ามินิมาร์ท เขาพอจะพูดได้ เขาชี้เข้าไปในร้าน ป้าบอกว่า ต้องการไปตลาดใหญ่ เขาบอกว่า มันชื่อว่า Chedravi อยู่ถนนที่ 77 ที่เรายืนเป็นถนนที่ 79 เดินย้อนไป 2 ถนน เลี้ยวซ้าย แล้วเดินตรงไป 7 ถนนป้าเดินไปตามนั้น ถนนที่ 77 คือ โบสถ์สีเหลืองที่ป้าถ่ายรูปครั้งแรก แสดงว่า ป้าเดินอยู่ในเขาวงกตจริงๆ เพราะวนไปวนมา
เดินไปอีกไกลมาก หลายถนนตามที่เขาบอก เจอครอบครัวหนึ่งนั่งหน้าบ้าน ผู้ชายถามว่า ป้าไปจากจีนรึเปล่า ป้าบอกว่า ป้าเป็นไถ่แล้นเดีย เขาเข้าใจ เขาบอกว่า เขาไปจากจีน ป้าบอกลา แล้วเดินไปเกือบถึง เจอสาวหนึ่ง เธอจะไป เชดราวี เหมือนกัน เธอถามว่า ป้าเป็นคนจีนหรือ พอไปถึง มันเป็นศูนย์การค้า ที่ร้านค้าด้านนอกเริ่มปิดแล้ว
ฟ้าเริ่มปิด ป้าเดินออกไปที่ถนน เจอน้อง Shirley Camas เธอพูดภาษาอังกฤษได้ ชอบเที่ยวเหมือนกัน เธอกำลังจะไปเซนโตร พอดี ให้ไปพร้อมกัน ป้าออกค่ารถตู้ให้เธอ คนละ 7 เปโซ เธอต้องต่อรถเมล์ที่นั่น แต่เธอจะเดินเป็นเพื่อนป้า ป้าเกรงใจเพราะมันมืดแล้ว กลัวสามีเธอจะรอ
ตลาดตอนค่ำ ฝนตกเฉะแฉะ พื้นลื่น ต้องเดินระวัง ร้านค้าที่ยังเปิดอยู่ เป็นร้านขายเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เกมส์ ของเล่นเด็ก
ของที่ป้าอยากได้ ปิดร้านไปหมดแล้ว วันนี้ไม่ได้กินไก่แน่ๆ
เห็นเขาย่างหมูโดยใช้แกนเหล็กกับไฟที่ลุกโชนประมาณ 1 เมตร ดูน่ากลัวมาก จึงถ่ายวิดีโอ เด็กในร้านออกมาเรียก ป้าเดินผ่านไป เจอร้านผลไม้ มีมะม่วงสุกขายเป็นกองใหญ่มาก กับกล้วยหอมหวีใหญ่ ตัดสินใจซื้อแอ๊ปเปื้ลบรรจุถุงละ 4 ลูกเล็ก ถุงละ 12 เปโซ เดินวนไปวนมา กลับไปที่เดิมอีก เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ผ่าน ร้านเบเกอรี่ ถามราคาก็บอกไม่ได้ จึงตัดสินใจหยิบเค้กเนื้อหนักอันใหญ่ กับ ขนมปังเนยสด ทั้งหมด 50 เปโซ เข้าร้านโชห่วย ได้น้ำขวดลิตร ราคา 12 เปโซแล้วรีบเดินหาถามคนที่พอจะข่วยได้
เห็นหนุ่มท่าทางมีความรู้ยืนอยู่ในแถวรอรถเมล์ จึงเอาตั๋วไปปาเลงเก้ให้เขาดู ชายมีอายุยืนอยู่ติดกัน บอกว่า ไปสถานีรถบัส ให้ข้ามถนน ดินไป 1 ช่วงตึก เลี้ยวซ้าย แล้วเดินไปเรื่อยๆ ก็ถึง
(ยังมีต่อ)
[CR] ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก ตะลุยสหรัฐ เม็กฯ เมกากลาง เมกาใต้ อัฟริกา 26ประเทศ74วัน ตอน11 พิรามิดชิเซนอิซ่า มรดกโลก เม็กซิโก
(ตอนอยู่ตปท. ภาพนิ่งล้นไอโฟน จึงลบออกหลังโพสต์เพจแล้ว ส่วนพันทิปโหลดหน้ารีวิวไม่ได้ ต้องกลับมาทำใทย ตอนนี้ขอให้ชมยูทูปไปก่อน ถ้ารีบชมภาพนิ่ง ให้ไปที่เพจ ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก)
https://www.youtube.com/watch?v=JBYSnEXko9A&index=56&list=PLNNEpgjidh3peDayS3ikBCPP6tJVMso-6
https://www.youtube.com/watch?v=17oEXm9Jstk&index=57&list=PLNNEpgjidh3peDayS3ikBCPP6tJVMso-6
พุธ 22 มิ.ย. แม้ว่า จะต้องอดนอนโหลดวิดีโอลงยูทูป ทั้งคืน เพื่อให้ได้ภาพการท่องเที่ยวครอบคลุมที่สุด แต่เราก็ตื่นแต่เช้า ออกจากที่พักโดยฝากเป้ไว้ที่โรงแรม เวลา 07.00 น. นั่งรถออกจากสถานีเมริด้า พอรถออกก็ได้ยินเสียงเพลง ตามสไตล์คนเม็กซิกัน รถทุกคันมีเพลงฟัง บางคนก็ร้องคลอไปด้วย ทำนองละติน น่าโยก
มีคนเอาของมาขายบนรถตามเคย คนขับรถทุกคันก็เอื้อกัน เมื่อวาน คนที่ขึ้นมาขายของแวะที่คนขับก่อนลงจากรถ เขาบอกให้คนขับหยิบขนมที่เขาเอาขึ้นมาขาย คนขับส่ายหน้า คงเห็นว่า เขาขายไม่ได้ เขาขายของกันทุกที่ ทั้งรถบัสรถเมโทร และรถไฟ ไม่ได้ทำความรำคาญ หรือเกะกะ ทางเดิน เหมือนที่เมียนม่าร์ พอถึงจุดจอดต่อไปก็ลง คนขับก็ไม่ได้คิดเงิน เป็นความน่ารักที่เห็นตลอดเวลาที่เข้าเขตเม็กซิโก รถไปจอดอีกสถานีหนึ่ง ทำให้รู้ว่า เมริด้า มีสถานีรถบัสมากกว่า 2 ที่
เมริด้า เป็นเมืองเก่าแก่มากทีเดียว บ้านเรือน และร้านค้า ส่วนใหญ่สร้างด้วยซีเมนต์บล็อคหนา เชื่อมด้วยปูน รูปทรงสี่เหลี่ยม ปาดมุม หรือโค้งตามมุมถนน ใช้กำแพงร่วมกับฝาบ้าน หลังคาเป็นลานธรรมดา เจาะรู ใส่ท่อ ให้น้ำไหลลง ทาสีจัดจ้านบ้าง ไม่ทาสีบ้าง แทบจะไม่มีที่ระบายอากาศ อยู่กันแบบห้องมืดๆ ต้องใช้แสงไฟช่วย
มีโบสถ์คริสต์อยู่ทั่วไป ส่วนใหญ่ไม่ได้ใหญ่โต มีแค่ไม้กางเขนที่บ่งบอกว่าเป็นโบสถ์ นอกจากในตัวเมืองใหญ่ กับย่านที่เป็นตลาด หรือ ศูนย์รวมผู้คน ที่มีโบสถ์สวย สร้างด้วยหิน
ชุมชนนอกเมืองมีบ้านที่ทำด้วยหินก่อเป็นกำแพง ด้านในฉาบด้วยดิน หลังคาอาจเป็นลานปูนบ้าง เป็นทรงกระโจม มุงด้วยใบปาล์มบ้าง บางบ้านใช้ต้นไม้เล็กตีรอบวงกลม ด้านในฉาบด้วยดิน หลังคาเป็นกระโจมใบปาล์ม บางบ้านฉาบทั้งข้างในและข้างนอก บางบ้านมุงหลังคาด้วยผ้าเต็นท์เอาหินทับกันลมตี บางบ้านใช้ตะปูตีสังกะสี แบบหัวบานใหญ่ ตีกัน เปิง บางบ้านใช้แต่ไม้ทำฝาบ้าน ไม่ได้ฉาบดิน มองไปเหมือนเล้าไก่ตามชนบท ผู้คนมีทั้งเม็กซิกันแท้ ลูกครึ่ง ลูกเสี้ยว รูปร่างคล้ายๆ บ้านที่พวกเขาสร้าง ป้อมๆ เหลี่ยมๆ ตั้งแต่ศีรษะลงไปถึงเข่า ขาช่วงล่างและเท้าเล็ก สั้น เหมือนคนครึ่งตัว ผิวคล้ำ
ผู้คนจำนวนไม่น้อยไม่ใส่รองเท้า พวกเขานำหินที่มีอยู่ทั่วไปมาใช้ในการสร้างที่อยู่อาศัย ทำแนวเขตที่ดิน และใช้สอยอย่างอื่น เช่น ทำก้อนเส้า เป็นเตาไฟในการประกอบอาหาร และให้ความอบอุ่นในบ้าน เหมือนคนพื้นเมืองที่เกาะเจจู แต่ที่นั่นใช้หินภูเขาไฟสีดำ หินที่เมริด้า ส่วนใหญ่เป็นหินปูน และหินแกรนิต ใช้สีขาวสาดหลังจากก่อเป็นกำแพงแล้ว
มีคนพิ้นเมืองจำนวนมากที่ยังมีวิถีชีวิตแบบเดิมๆ ยังคงใช้ฟืนและถ่านไม้ ในการประกอบอาหาร พวกเขาเชือดหมูขายกันเองในชุมชน ส่วนเนื้อไก่ น่าจะเลี้ยงไว้กินเอง เพราะเห็นเดินอยู่ตามสวนรอบบ้าน และเนื้อไก่ทอดที่เรากิน ก็เป็นเนื้อไก่บ้าน ไม่ใช่ไก่เลี้ยง คนเม็กซิกันขาดหมูไม่ได้ เพราะมันเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของอาหารหลัก อย่างทาโค กับ ทอร์ทิลล่า
ดูจากความคร่ำคร่าของบ้านเรือน พวกเขารู้จักการใช้ปูนซีเมนต์มาไม่น้อยกว่า 100 ปี
ต้นไม้ผลที่น่าจะมีทุกบ้านในชุมชนนอกเมือง คือ มะม่วงสีม่วงแดง กับ มะนาว เขาปล่อยให้มะม่วงสุกลูกเล็กร่วงเกลื่อนใต้ต้น เพราะมันสุกแล้วไม่หวาน และเนื้อก็บางนั่นเอง มันจึงไร้คนเหลียวแล เราได้เห็นต้นวาอาย่า ที่เขาปลูกไว้หน้าบ้าน ส่วนใหญ่ลูกยังไม่โต มันเป็นผลไม้ที่มี เนื้อน้อย เม็ดใหญ่ มีเนื้อบางๆ หุ้มเม็ด อมชุ่มคอ เปรี้ยวมากกว่าหวาน รสชาติคล้ายๆ มะค้อแล็น เม็ดไม่ล่อน
ถนนแคบๆ ผ่านหมู่บ้าน ชุมชน และป่า ที่มีหินเต็มไปหมด แต่ก็ไม่ได้ไร้ต้นไม้ เป็นป่าโปร่ง ไปตลอดทาง เวลาที่รถใหญ่สวนกันต้องชะลอ เหมือนทางไปสวนผลไม้ ที่ใช้งบอบต.
รถจอดรับส่งคนไปเรื่อย ถึง ที่หมายเวลา 10.00 น. ค่าผ่านประตูคนละ 320 เปโซ
Chichen Itza เป็นชื่อเมือง เป็นมรดกโลกยุคใหม่ ที่สร้างโดยชนเผ่ามายัน สร้างด้วยหินเชื่อมด้วยดินเหนียวและซีเมนต์ มีกำแพงหิน และป้อมหินล้อมรอบ อยู่บนที่ราบยูคาตาน มีบ่อน้ำลึกลงไปในโพรงหินซึ่งเชื่อว่า เป็นทางนำไปสู่โลกบาดาล แจกจ่ายน้ำสู่ชาวเมือง
เป็นเมืองที่มีอำนาจทั้งทางทหารและการค้า เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 300 ปี สามารถนำเกลือซึ่งเชื่อว่าเป็นทรัพยากรที่มีค่ามาก มาให้ชาวเมืองได้บริโภคอย่างเหลือเฟือ
บริเวณชิเช่นอิทซ่า ล้อมรอบด้วยป่าโปร่ง ประกอบด้วย ปราสาท หรือ วัด ของคูคูลคาน (The Castle or Temple of Kikulcan) บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ (Sacred cenote) วัดของนักรบ (Temple of the Warriors) หอสังเกตการณ์ (Observatory or Snail) และสถานที่แข่งขันบอล (Ball Game)
ในเวลา 10.00 น. ขนาดไม่ใช่วันหยุด ยังมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวเม็กซิกัน และต่างชาติหลายร้อยคน มีเราเป็นคนไทยแค่ 2 คน เท่านั้น พ่อค้าร้องทัก โอไฮ้โย้ บ้างคอนนิชิวะ บ้าง หนีห่าว บ้าง ป้าตอบกลับว่า สวัสดีค่ะ พวกเขางงกันใหญ่
ริมทางเดินมดารดาษไปด้วยร้านขายของที่ระลึก สารพัดที่เป็นของทำมือ ราคาไม่แพง มีคุณค่าแก่การซื้อหา งานแกะสลักไม้ งานปั้น เซรามิค สร้อย แหวนที่ทำจากเงิน เสื้อ ผ้าสกรีน ปัก ถัก ทอฯลฯ ฝีมือประณีต พวกเขาไม่ได้ส่งเสียงรบกวน หรือ ต้อนหน้า ต้อนหลังนักท่องเที่ยว เป็นบรรยากาศสบายๆ
คนแบกเป้อย่างเราได้แต่เก็บภาพ ไว้เป็นที่ระลึก เฉพาะที่แบกอยู่ก็หนักเอาการสำหรับเราอยู่แล้ว
ขากลับมีรถจอดอยู่ที่ลานจอดรถเต็มไปหมด ทั้งรถบัส รถทัวร์ รถตู้ และรถอื่นๆ แต่รถที่จะไปเมริด้า ต้องไปรอที่ใต้ต้นไม้ตรงที่วนไปกลับรถ
มีคนขายตั๋วยืนอยู่ตรงนั้น เขาเป็นมายันแท้ ชื่อ ดาวิด David Tamay รูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำ จมูกโด่ง แหลม ตาโต ไม่ใช่โด่งทู่เหมือนพวกเม็กซิกัน รูปศีรษะกลมใหญ่ หน้ากลม ดูแตกต่างจากพวกเม็กซิกัน จนเห็นได้ชัด
บ้านของเขาอยู่ใกล้อิเช่น อืทซ่า อาหารการกินของพวกเขาต่างจากเม็กซิกันทั่วไป พวกเขากินเนื้อกวาง กับ ผักที่เรียกว่า ชายา (Chaya) เขาว่าเป็นหัวของพืช มันน่าจะเป็นมันฝรั่งชนิดหนึ่งมั้ง ข้าวโพดก็กินเป็นฝัก ไม่ได้เอาไปทำเป็นแป้งเหมือนพวกเม็กซิกัน พวกเขายังคงยิงกวางที่มีอยู่ในป่ารอบๆ หมู่บ้านมาเป็นอาหาร. ขากลับ ค่ารถคนละ 85 เปโซ รถออกเวลา 12.15 น. มีคนเอาข้าวเกรียบมาขายบนรถ ถุงละ 10 เปโซ ราดซอสที่เรียกว่า ซาลซ่า มีรสเปรี้ยว เค็ม
ถึงสถานีเมริด้า เวลา 15.00 น. ป้าซื้อตั๋วไปปาเลงเก้ ส่วนลุงไปเอาเป้ที่โรงแรม รถจะออกเวลา 22.00 น. ค่ารถ 2 คน 1,292 เปโซ
ต้องไปขึ้นรถที่สถานีที่เรามาลงรถ ตอนที่มาจากเม็กซิโกซิตี้ แต่ลุงไม่ยอมข้ามไป เพราะติดใจกระแสไฟฟ้ามกับเน็ตที่สถานีนี้ ขอรปภ. เข้าไปนั่งตรงที่รอรถของสถานี ยามไม่รู้จะพูดอย่างไร เขาให้เข้าไป แต่ป้าเกรงใจรปภ. จึงออกไปสำรวจ สถานีที่จะขึ้นรถว่ามีที่ชาร์จไฟ กับเน็ตให้ใช้ หรือ ไม่
ลุงเป็นคนที่เอาจริงเอาจังกับการโหลดวิดีโอลงยูทูปมาก ลุงบอกว่า มันทำให้เห็นบรรยากาศทุกอย่าง ที่ภาพนิ่งให้ไม่ได้ แม้คนตามจะเปิดดูน้อยก็ตาม 🙂.
ปิดม่านเมริด้า...ที่สถานี Adel Autobuses ใช้เน็ตเครือข่ายเดียวกัน พอไปถึงก็ไมรต้องต่อเน็ต ป้าจึงส่งข้อความบอกให้ลุงตามไป....เราทำงาน และชาร์จแบ็ต จนถึง 18.00 น. ป้าเดินไปตลาด จุดเริ่มต้นไม่ใช่ที่เดิม และป้าจะลองเดินต่อไปอีกบล็อค เพื่อชมบ้านเมือง รถราไม่ค่อยวิ่ง นานๆ จะเจอคนสักคนหนึ่ง บ้านติดถนนมีประตูติดทางเท้า แค่เปิดประตูก็เข้าตัวบ้าน เหมือนร้านค้าในตลาด แต่เป็นบ้านอยู่อาศัย เงียบเชียบ เหมือนเจ้าของบ้านไม่อยู่ เพราะคล้องกุญแจไว้ เดินไปเจอโบสถ์ เจอคนออกไปสูดอากาศตามสวนสาธารณะเล็กๆ จนกระทั่งคิดว่า ออกนอกเส้นทางไปเรื่อยๆ จึงวกกลับจะไปเดินทางเดิม แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งสับสน ถามใครก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เอารูปตลาด ที่เพอบลาให้ดู หนุ่มแรกบอกทางป้าก็ไปตามทางที่เขาบอก ยิ่งเดินยิ่งไม่ใช่ ไปเจอสาวอีก 2 คน แต่ละคนก็ทำให้วนอยู่ที่เดิม จนกระทั่งเดินผ่านหน้าบ้าน เห็นตาคนหนึ่งนั่งเหงาๆ จึงเอารูปไปถาม ตาได้แต่ชี้ฟ้าที่เมฆลอยต่ำลงเรื่อยๆ แล้วชวนรอหลบฝน ป้าขอตัวเดินออกไป เจอหนุ่มอีกคนหนึ่ง เขาได้แต่บอกว่า ออโตบุส ทันใดนั้น ฝนก็เทลงมา ป้าวิ่งกลับหาตา ตาดีใจมาก ทั้งๆ ที่เกินไม่สะดวก รีบลุกไปหาเก้าอี้มาให้ ป้าจึงตามตาเข้าไป ทำให้เห็นสภาพข้างในบ้าน ที่เป็นที่โล่ง ตั้งตู้กั้นส่วนที่เป็นครัว ดูเหมือนจะปูที่นอน นอนกับพืนกัน
นั่งอยู่กับตา คุยกันคนละภาษา ป้าจึงเอารูปให้ดูฆ่าเวลา ฝนซาแล้ว แต่ตาไม่ให้ไป บอกว่า จะเปียก ป้ารอจนฝนหยุดเกือบสนิท ตายังคงใช้ดวงตาเหงาๆ ขอให้อยู่ต่อ ป้ารอเวลาอีกนิด ตอนนั้นใกล้ 2 ทุ่มแล้ว จึงตัดใจบอกลา ทั้งๆ ที่เห็นตาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เดินไปเห็นนักเรียนสาว 2 คน กำลังข้ามถนน ไกลออกไปจึงวิ่งไปกะว่า จะตามให้ทัน บังเอิญเจอหนุ่มคนที่สองยืนอยู่หน้ามินิมาร์ท เขาพอจะพูดได้ เขาชี้เข้าไปในร้าน ป้าบอกว่า ต้องการไปตลาดใหญ่ เขาบอกว่า มันชื่อว่า Chedravi อยู่ถนนที่ 77 ที่เรายืนเป็นถนนที่ 79 เดินย้อนไป 2 ถนน เลี้ยวซ้าย แล้วเดินตรงไป 7 ถนนป้าเดินไปตามนั้น ถนนที่ 77 คือ โบสถ์สีเหลืองที่ป้าถ่ายรูปครั้งแรก แสดงว่า ป้าเดินอยู่ในเขาวงกตจริงๆ เพราะวนไปวนมา
เดินไปอีกไกลมาก หลายถนนตามที่เขาบอก เจอครอบครัวหนึ่งนั่งหน้าบ้าน ผู้ชายถามว่า ป้าไปจากจีนรึเปล่า ป้าบอกว่า ป้าเป็นไถ่แล้นเดีย เขาเข้าใจ เขาบอกว่า เขาไปจากจีน ป้าบอกลา แล้วเดินไปเกือบถึง เจอสาวหนึ่ง เธอจะไป เชดราวี เหมือนกัน เธอถามว่า ป้าเป็นคนจีนหรือ พอไปถึง มันเป็นศูนย์การค้า ที่ร้านค้าด้านนอกเริ่มปิดแล้ว
ฟ้าเริ่มปิด ป้าเดินออกไปที่ถนน เจอน้อง Shirley Camas เธอพูดภาษาอังกฤษได้ ชอบเที่ยวเหมือนกัน เธอกำลังจะไปเซนโตร พอดี ให้ไปพร้อมกัน ป้าออกค่ารถตู้ให้เธอ คนละ 7 เปโซ เธอต้องต่อรถเมล์ที่นั่น แต่เธอจะเดินเป็นเพื่อนป้า ป้าเกรงใจเพราะมันมืดแล้ว กลัวสามีเธอจะรอ
ตลาดตอนค่ำ ฝนตกเฉะแฉะ พื้นลื่น ต้องเดินระวัง ร้านค้าที่ยังเปิดอยู่ เป็นร้านขายเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เกมส์ ของเล่นเด็ก
ของที่ป้าอยากได้ ปิดร้านไปหมดแล้ว วันนี้ไม่ได้กินไก่แน่ๆ
เห็นเขาย่างหมูโดยใช้แกนเหล็กกับไฟที่ลุกโชนประมาณ 1 เมตร ดูน่ากลัวมาก จึงถ่ายวิดีโอ เด็กในร้านออกมาเรียก ป้าเดินผ่านไป เจอร้านผลไม้ มีมะม่วงสุกขายเป็นกองใหญ่มาก กับกล้วยหอมหวีใหญ่ ตัดสินใจซื้อแอ๊ปเปื้ลบรรจุถุงละ 4 ลูกเล็ก ถุงละ 12 เปโซ เดินวนไปวนมา กลับไปที่เดิมอีก เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ผ่าน ร้านเบเกอรี่ ถามราคาก็บอกไม่ได้ จึงตัดสินใจหยิบเค้กเนื้อหนักอันใหญ่ กับ ขนมปังเนยสด ทั้งหมด 50 เปโซ เข้าร้านโชห่วย ได้น้ำขวดลิตร ราคา 12 เปโซแล้วรีบเดินหาถามคนที่พอจะข่วยได้
เห็นหนุ่มท่าทางมีความรู้ยืนอยู่ในแถวรอรถเมล์ จึงเอาตั๋วไปปาเลงเก้ให้เขาดู ชายมีอายุยืนอยู่ติดกัน บอกว่า ไปสถานีรถบัส ให้ข้ามถนน ดินไป 1 ช่วงตึก เลี้ยวซ้าย แล้วเดินไปเรื่อยๆ ก็ถึง
(ยังมีต่อ)
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น