ตอนผมอยู่ที่ทำงานเดิม ผมอยู่บริษัทที่มีคนญี่ปุ่นทำงานอยู่ แล้วบอกตรง ๆ เลย ว่าตำแหน่งที่ผมทำงานอยู่คือมันว่างมาก นอกจากบางทีนายญี่ปุ่นหรือรุ่นพี่มีพวกเพาเวอร์พอยท์ หรือมีเอกสารอะไรให้ผมแปล ผมถึงจะมีงาน หรือบางครั้งมีลูกค้าจากบริษัทอื่นที่นายญี่ปุ่นจะต้องไปคุย หรือเข้าไปดูในโรงงาน ผมก็มีงานเหมือนกัน เพราะต้องตามไปดู
แต่ส่วนใหญ่แล้วมันก็จะว่างนั่นแหละ คือมันก็พลาดที่ตัวผมด้วยแหละที่น่าจะแบบถามนายญี่ปุ่นว่า มีอะไรให้ทำมั้ย หรือมีอะไรให้ช่วยมั้ย แต่นายคนที่ผมประจำอยู่ด้วยเขาค่อนข้างอารมณ์ร้อน บางทีผมทำอะไรที่ (เขาคิดว่า) มันไม่เข้าท่า เขาก็จะว่าผม ไม่จำเป็นผมก็เลยไม่ค่อยอยากจะยุ่งกับเขานัก เวลาว่างผมก็เล่นเน็ตแบบเต็มที่เลย โดยที่มีคนญี่ปุ่นนั่งอยู่ข้าง ๆ ผมเคยโดนเขาเตือนไปสองครั้ง จนครั้งที่สอง เขาบอกเลยว่าจะให้ตัดเน็ตของผมกับเพื่อนอีกสองคน ถ้าจะต้องส่งเมล์อะไรที่มันเป็นงาน ก็ให้ใช้เครื่องของนายญี่ปุ่นเอา
คือจุดนี้ผมมองว่ามันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เหตุที่ผมเล่นเน็ตก็เพราะผมว่าง ใช่ว่าผมมีงานยุ่งกองสุมเต็มไปหมดแล้วไม่ยอมทำงาน เอาแต่เล่นเน็ต ถ้าผมเป็นนายญี่ปุ่น เจอลูกน้องแบบนี้ผมจะรีบให้งานเลย จะให้ทำอะไรก็ว่าไป แต่ถ้าให้งานแล้วยังไม่ยอมทำ ยังเอาแต่เล่นเน็ตอีกนั่นมีปัญหาแล้ว แต่บางทีนายญี่ปุ่นเขาก็ไม่กล้าที่จะสั่งงานแบบข้ามหน้าข้ามตากันอีก
พูดมาถึงจุดนี้เลยทำให้ผมนึกถึงตอนเข้าทำงานใหม่ ๆ คือตอนนั้นเขาให้เพื่อนอีกสองคนของผมที่เพิ่งเข้าใหม่เหมือนกันไปเรียนรู้งานในโรงงานซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของพวกเขา ยกเว้นผมที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตรงนั้น เลยไม่ได้ให้ไป แล้วตอนนั้นนายโดยตรงของผมเขาก็มีเอกสารให้ผมแปลด้วย ส่วนตัวเขาต้องออกไปโรงงานอื่นที่ต่างจังหวัด ผมก็แปลเสร็จตั้งแต่ช่วงเช้า ช่วงบ่ายก็ว่างแล้ว ก็เลยขอตามเพื่อนสองคนนั้นไปด้วย ก็กะจะเรียนรู้งานไง แต่ตอนนั้นนายคนที่ห้ามผมเล่นเน็ตนั่นแหละ เขาเห็นเข้าก็เรียกผมออกมาว่าเลยว่าทำไมไม่อยู่ทำงานที่นายโดยตรงสั่งให้เสร็จ พอผมบอกว่าแปลเสร็จแล้ว เขาก็บอกว่าเสร็จแล้วก็ต้องอยู่ที่ห้อง เช็กดูว่ามีตรงไหนผิดรึเปล่า หรือถ้านายโดยตรงกลับมาแล้วผมจะได้อยู่ช่วยงานเขาได้ เหมือนทำอะไรก็ผิด ว่างั้น
การเล่นเน็ตในระหว่างการทำงาน ถือว่าเป็นความขี้เกียจหรือไม่
แต่ส่วนใหญ่แล้วมันก็จะว่างนั่นแหละ คือมันก็พลาดที่ตัวผมด้วยแหละที่น่าจะแบบถามนายญี่ปุ่นว่า มีอะไรให้ทำมั้ย หรือมีอะไรให้ช่วยมั้ย แต่นายคนที่ผมประจำอยู่ด้วยเขาค่อนข้างอารมณ์ร้อน บางทีผมทำอะไรที่ (เขาคิดว่า) มันไม่เข้าท่า เขาก็จะว่าผม ไม่จำเป็นผมก็เลยไม่ค่อยอยากจะยุ่งกับเขานัก เวลาว่างผมก็เล่นเน็ตแบบเต็มที่เลย โดยที่มีคนญี่ปุ่นนั่งอยู่ข้าง ๆ ผมเคยโดนเขาเตือนไปสองครั้ง จนครั้งที่สอง เขาบอกเลยว่าจะให้ตัดเน็ตของผมกับเพื่อนอีกสองคน ถ้าจะต้องส่งเมล์อะไรที่มันเป็นงาน ก็ให้ใช้เครื่องของนายญี่ปุ่นเอา
คือจุดนี้ผมมองว่ามันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เหตุที่ผมเล่นเน็ตก็เพราะผมว่าง ใช่ว่าผมมีงานยุ่งกองสุมเต็มไปหมดแล้วไม่ยอมทำงาน เอาแต่เล่นเน็ต ถ้าผมเป็นนายญี่ปุ่น เจอลูกน้องแบบนี้ผมจะรีบให้งานเลย จะให้ทำอะไรก็ว่าไป แต่ถ้าให้งานแล้วยังไม่ยอมทำ ยังเอาแต่เล่นเน็ตอีกนั่นมีปัญหาแล้ว แต่บางทีนายญี่ปุ่นเขาก็ไม่กล้าที่จะสั่งงานแบบข้ามหน้าข้ามตากันอีก
พูดมาถึงจุดนี้เลยทำให้ผมนึกถึงตอนเข้าทำงานใหม่ ๆ คือตอนนั้นเขาให้เพื่อนอีกสองคนของผมที่เพิ่งเข้าใหม่เหมือนกันไปเรียนรู้งานในโรงงานซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของพวกเขา ยกเว้นผมที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตรงนั้น เลยไม่ได้ให้ไป แล้วตอนนั้นนายโดยตรงของผมเขาก็มีเอกสารให้ผมแปลด้วย ส่วนตัวเขาต้องออกไปโรงงานอื่นที่ต่างจังหวัด ผมก็แปลเสร็จตั้งแต่ช่วงเช้า ช่วงบ่ายก็ว่างแล้ว ก็เลยขอตามเพื่อนสองคนนั้นไปด้วย ก็กะจะเรียนรู้งานไง แต่ตอนนั้นนายคนที่ห้ามผมเล่นเน็ตนั่นแหละ เขาเห็นเข้าก็เรียกผมออกมาว่าเลยว่าทำไมไม่อยู่ทำงานที่นายโดยตรงสั่งให้เสร็จ พอผมบอกว่าแปลเสร็จแล้ว เขาก็บอกว่าเสร็จแล้วก็ต้องอยู่ที่ห้อง เช็กดูว่ามีตรงไหนผิดรึเปล่า หรือถ้านายโดยตรงกลับมาแล้วผมจะได้อยู่ช่วยงานเขาได้ เหมือนทำอะไรก็ผิด ว่างั้น