กลร้าย อุบัติรัก บทที่ ๑๐

กลร้าย อุบัติรัก บทที่ 10
เขียน... ขอจันทร์

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

    “มีอะไรจะบอกพี่บ้าง” เขมินท์เอ่ยขึ้น พลางนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ ซึ่งตอนนี้ทุกคนก็ได้กลับมาถึงเรือนหลังเล็กเป็นที่เรียบร้อย น้ำหนึ่งที่นั่งก้มมองพื้นอยู่ตั้งแต่ก้าวเข้ามา เงยหน้ามองผู้เป็นพี่ชายช้าๆ แม้การซักถามของชายหนุ่มจะเป็นไปด้วยท่าทีสบายๆ แต่สายตาที่มองตรงมาคมกริบ เสียจนทำให้เธอไม่กล้าจะสบตา กัดริมฝีปากอย่างใช้ความคิด ก่อนเอ่ย

    “เรื่องอะไรหรอคะ”

    “ทำไมพี่ถึงเจอหนึ่งที่ไร่”

    “หนึ่ง... ก็แค่อยากออกไปเปิดหูเปิดตา อยากรู้ความเป็นไปนอกอาณาเขตบ้านหลังนี้บ้าง”

    “ตอนกลางคืน?”

    “ค่ะ...”

    “แล้วทำไมต้องลับๆล่อๆด้วย”

    “หนึ่งกลัวคนเห็น แล้วเอาไปฟ้องแม่”

    “แล้วหนึ่งไปทำอะไรที่โรงบ่มไวน์”

    “เอ่อ... เดินเล่นค่ะ”

    “งั้นหรอ” ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเริ่มหัวเสีย นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นน้องเขาคงเตะโด่งไปแล้ว คนอะไร ก็รู้ตัวอยู่ว่าโกหกไม่เนียนแล้วยังจะดันทุรังแถไปเรื่อยเปื่อย

    มุกรวีมองการสอบสวนของสองพี่น้องอยู่เงียบๆ เห็นหน้าหงอยๆของคนเป็นน้องสาวแล้วก็อดสงสารไม่ได้ เดินเข้าไปวางมือลงบนไหล่ทั้งสองข้างของหล่อน แล้วบีบเบาๆ

    “คุณบอกว่าอยากรู้ความเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอกใช่มั้ย งั้นมุกจะเล่าให้ฟัง”

    มุกรวีอย่างใจเย็น ค่อยๆนั่งลงข้างหญิงสาว เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดทั้งเรื่องการก่อกวนเล็กๆน้อย ตลอดจนเรื่องการวางเพลิงที่โรงเก็บของที่ยังจับมือใครดมไม่ได้ ซ้ำยังมีเด็กคนหนึ่งหายตัวไประกว่างที่อยู่ที่โรงพยาบาล

    “ตายจริง ไฟไหม้ครั้งนั้นมีคนตั้งใจทำหรอกหรือคะ” น้ำหนึ่งอุทานอย่างคาดไม่ถึง

    “ใช่ แต่เรายังไม่รู้ว่ามันทำไปเพื่ออะไร”

    “ได้ข่าวเด็กคนที่หายไปหรือยังคะ” หญิงสาวถามสีหน้าเป็นกังวล มุกรวีแทนคำตอบด้วยการส่ายหน้าช้าๆ

    “คนที่มาก่อกวนไร่ ทั้งองุ่นสด ทั้งไวน์ เสียหายไปไม่น้อยเลย” เขมินท์พูดขึ้นมาบ้าง จ้องหน้าน้องสาวนิ่ง หญิงสาวเผลอหลบตา กัดริมฝีปากล่างเบาๆ

    “..หรอคะ”

    เท่านั้นเองมุกรวีก็แย้มรอยยิ้มออกมา มองไปทางชายหนุ่มที่ผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ พลางยิ้มออกมาน้อยๆ

    “การกระทำเหมือนเด็กๆ ไม่รู้ทำไปทำไม หนึ่งพอจะบอกพี่ได้มั้ย”

    “คะ เอ่อ... หนึ่งจะรู้ได้ยังไงคะ” หญิงสาวว่าพลางก้มหน้า กัดริมฝีปากตัวเองจนเริ่มห้อเลือด

    “หนึ่งเป็นคนทำไม่ใช่หรือจ๊ะ”

    “หนึ่ง มะ...” น้ำหนึ่งสะดุ้งอย่างตกใจ กำลังจะเอ่ยปฏิเสธ แต่เมื่อสบเข้ากับดวงตาของพี่ชายคำพูดทุกอย่างก็เหมือนจะถูกกลืนลงคอไปหมด

    “คุณหนึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย มาคุยกันดีๆเถอะ นะคะ” มุกรวีบอกเสียงใส

    เท่านั้นเองน้ำตาใสๆก็ไหลพรั่งพรูออกมา น้ำหนึ่งยกมือขึ้นปาดน้ำตาปอยๆ ก่อนจะเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยตาแดงๆ

    “หนึ่งขอโทษค่ะ แต่หนึ่งไม่รู้เรื่องเผาโรงเก็บของ กับเรื่องที่เด็กคนนั้นหายไปนะคะ”

    “พี่รู้” ชายหนุ่มพูดพลางยิ้มน้อยๆ

    “ทีนี้หนึ่งจะบอกพี่ได้หรือยัง ว่าทำแบบนั้นทำไม” เขมินท์ถามด้วย ท่าทีที่อ่อนลง

    “หนึ่ง...” หญิงสาวพูดออกมาเพียงเท่านั้น แล้วก็นิ่งเงียบไปอีก

    “พี่ก็ไม่ได้รีบร้อนหรอกนะ แต่พี่ว่าถ้าน้าเก็จกลับมาก่อน หนึ่งอาจจะลำบากสักหน่อย” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆไม่ทุกข์ร้อนเท่าไรนัก ผิดกับน้องสาวที่เงยหน้าขึ้นมามองค้อนทันทีที่พูดจบ ก่อนจะโพล่งออกมา

    “ก็เพราะพี่เขมนั่นแหละค่ะ”

    “หืม พี่ทำอะไร” ชายหนุ่มถามอย่าง งงๆ

    “ก็เพราะพี่เขมไม่ทำอะไรเลยนั่นแหละคะ ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ เหมือนพี่ลืมไปแล้วว่ามีน้องสาวอยู่ตรงนี้อีกคน” หญิงสาวพูดโพล่งออกมาเหมือนคนที่อัดอั้นมานาน

    “อ้าว”

    “พอหนึ่งถูกขังอยู่ที่นี่ พี่ก็ไม่เคยมาดูดำดูดีหนึ่งเลย ที่เคยบอกว่าจะขอคุณแม่พาหนึ่งไปดูนั่น ไปทำนี่ก็โกหกทั้งเพ พี่เขมไม่เคยทำอย่างที่ว่าเลยพี่เป็นแบบนี้มาตลอด”

    “...”

    “พี่เขมไม่รู้หรอกว่าคนที่โดนขังอยู่แต่ในบ้านมันเบื่อ มันเหงา มันทรมาน ขนาดไหนแต่พี่กลับมาหลอกหนึ่งให้หวังลมๆแล้งๆ ให้หนึ่งดีใจเก้อ พี่ทำแบบนั้นได้ยังไง”

    “เดี๋ยวนะหนึ่ง...”

    “ที่หนึ่งโดนขังอยู่แบบนี้ ทำไมพี่เขมไม่ช่วยหนึ่งเลย ไม่สนใจหนึ่งเลย...” ด้วยความที่ไม่ใช่คนช่างพูดอยู่แล้ว หลังจากที่ใส่ไม่ยั้งไปตอนแรก ก็รู้สึกเหมือนจะหมดพลังไปเสียเฉยๆ

    “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่ไปป่วนไร่ละคะ คุณหนึ่ง” มุกรวีถามอย่างสงสัย อีกฝ่ายหันมามองหน้าหล่อนสลับกับมองหน้าพี่ชายก่อนเอ่ย

    “ก็หนึ่งอยากแกล้งให้พี่เขมลำบากบ้าง”

    “โธ่ หนึ่ง...”

    เขมินท์ร้องคราง ไม่เคยคิดเลยว่าน้องสาวที่เขาเคยคิดว่าเรียบร้อย อ่อนหวาน แท้จริงแล้วจะมีปัญหาเก็บกดไว้ขนาดนี้    

    มุกรวีมองสองพี่น้อง พลางเกาหัวแกรกๆ ไม่รู้จะสงสารคนพี่ หรือสังเวชคนน้องดี หันไปหาน้ำหนึ่ง

    “คุณหนึ่งก็ต้องทำใจนะคะ ที่มีพี่อย่างคุณเขม”

    “อ้าว” ชายหนุ่มร้องเสียงหลง

    “คุณเขมนะ ทั้งทื่อ ทั้งทึ่ม เป็นผู้ชายแบบ ผู้ช้ายผู้ชายย เรื่องหยุมหยิมพ่อไม่ยุ่ง ไร้ซึ่งความละเอียดอ่อน ห่าม ขวานผ่าซาก เพราะติดนิสัยการเป็นนายที่ต้องปกครองคนงาน” มุกรวีร่ายยาวด้วยน้ำเสียงเริงร่าอย่างไม่ไว้หน้าชายหนุ่มที่นั่งตาเขม็งอยู่ฝั่งตรงข้าม ราวกับเขาไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น ซ้ำยังยิ้มหน้าบาน เมื่อเห็นหญิงสวยตรงหน้าค่อยๆยิ้มออกมาอย่างขบขัน

    เห็นดังนั้นแล้วมุกรวีจึงเปลี่ยนท่าทางเป็นจริงจังขึ้น

    “แล้วเพราะเป็นแบบนี้ เขาถึงละเลยอะไรอะไรหลายๆอย่างไปโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจ มุกเองพึ่งมารู้จักคุณเขมไม่นาน แต่มุกก็ยังรู้สึกได้ว่าเขารัก แล้วก็สนใจความรู้สึกของน้องสาวเขามากขนาดไหน อย่างที่บอก เขาไม่ใช่คนละเอียดอ่อนที่จับความรู้ผู้หญิงได้ง่ายๆ แต่แค่คุณหนึ่งบอกว่าคุณหนึ่งต้องการอะไรถ้ามันไม่ยากเย็นแสนเข็ญนักเขาก็ยินดีที่จะหามาให้” มุกรวีว่าพลางทำหน้าประหนึ่งกำลังโฆษณาชวนเชื่อ น้ำหนึ่งหันไปมองคนเป็นพี่ชายอย่างไม่มั่นใจนัก

    “พี่ขอโทษนะหนึ่ง ที่พี่ไม่ช่างสังเกตน้องสาวตัวเองเอาซะเลย” ชายหนุ่มยอมรับผิดอย่างง่ายดาย มุกรวีที่ฟังแล้วก็พยักหน้าหงึกๆตาม

    “พี่อาจจะป็นพี่ชายที่ไม่ได้เรื่อง..” ชายหนุ่มว่า ทิ้งช่วงนิดหนึ่งก่อนเอ่ย “แต่พี่ก็รักน้องสาวคนเดียวของพี่คนนี้มากนะ” น้ำหนึ่งฟังแล้วก็ค่อยแย้มรอบยิ้มออกมา มุกรวีเองก็ยิ้มหน้าแป้น พยักหน้าแรงๆสนับสนุน

    “ยกโทษให้พี่นะ” ชายหนุ่มว่า สายตาก็เหลือบไปมองทางมุกรวีเห็นหญิงสาวพยักหน้าหงึกๆเป็นตุ๊กตาติดหน้ารถ แล้วก็เผลอยิ้มออกมา

    “หนึ่งเองต่างหากที่สร้างเรื่องยุ่งให้พี่เขม” น้ำหนึ่งตอบรับเสียงอ่อย

    “พี่เข้าใจ หนึ่งจะรู้สึกอึดอัดบ้างก็ไม่แปลกหรอก พี่จะพยายามหาทางช่วยหนึ่งให้ได้ คราวนี้พี่พูดจริงๆ”

    “เอ้อ ไอ้สองคนนั้นที่มันพยายามฉุดหนึ่งมันเป็นใคร หนึ่งพอจะรู้มั้ย”

    “ไม่เลยค่ะ พอหนึ่งวิ่งไปชนมัน เหมือนมันจะตกใจที่หนึ่งไปเจอมันเข้าก็เลยจะฉุดหนึ่งไปด้วย”

    ยังไม่ทันได้พูดอะไรกัน เสียงเครื่องของรถยนต์ก็ดังเข้ามา น้ำหนึ่งผุดลุกขึ้นอย่างตกใจ ชะเง้อมองไปทางหน้าบ้าน

    “คุณแม่มาแล้วค่ะ”

    “เอายังไง จะอยู่สวัสดี หรือจะเผ่นเลย” มุกรวีหันไปถามชายหนุ่ม

    “ไปก่อนดีกว่า ผมขี้เกียจโกหกน้าเก็จ พี่ไปก่อนนะหนึ่ง” ชายหนุ่มหันไปบอกน้องสาวก่อนยืดตัวขึ้น เดินนำออกไป ส่วนมุกรวีหันมาโบกมือให้สองสามทีก่อนจะรีบวิ่งตามชายหนุ่มออกจากบ้านไปทางประตูหลัง ฉิวเฉียดกับเก็จกระรัตน์ที่เปิดประตูเข้ามาพอดี

    เดินลัดเลาะสวนออกมาเรื่อยๆ พอเริ่มพ้นอาณาบริเวณเรือนหลังเล็กแล้วทั้งคู่ก็ค่อยชะลอฝีเท้าลง เดินเรื่อยๆอย่างไม่รีบร้อน

    “คุณจะทำยังไงต่อ”

    “คงต้องจัดการเรื่องที่ไร่ให้เสร็จเร็วที่สุดก่อน ผมไม่อยากทิ้งเรื่องหนึ่งไว้นาน”

    “คุณนี่ดูรักน้องสาวดีจัง”

    “ก็ผมมีน้องสาวคนเดียว”

    “อืม ดีจัง” หญิงสาวพยักหน้ารับ น้ำเสียงบางอย่างของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มหันมามอง

    “ทำไมทำเสียงเหมือนเด็กขี้อิจฉาแบบนั้น”

    “ฉันจะไปอิจฉาอะไร”

    “แล้วคุณละ มีพี่น้องมั้ย” ชายหนุ่มถามไปเรื่อยๆ

    “ฉันเป็นลูกคนเดียว แต่ฉันมีญาติทางแม่ เป็นลูกพี่ลูกน้องหนึ่งคน เอ ไม่สิ สอง เป็นน้องชาย กับ น้องสาวอีกคนที่อายุน้อยกว่าฉันแค่ไม่กี่เดือน เป็นเด็กกำพร้าที่คุณตาของฉันรับอุปการะไว้ แต่เราก็รักกันเหมือนเพี่น้องจริงๆ”

    “แล้วน้องชายคุณละ”

    “ไอ้ฑูร ไม่รู้สิ...ตั้งแต่เด็กๆ ฉันมักจะเล่นกับพวกผู้ชายมากกว่าพวกผู้หญิง แต่ฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมกับน้องชายตัวเองฉันถึงไม่สนิทด้วย” หญิงสาวนิ่งคิดไปนิดหนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อ

    “ฉันรู้สึกเหมือนเขาไม่ค่อยชอบฉันเท่าไหร่ ตั้งแต่เด็กๆ เขาเมินใส่ฉัน เขาเคยผลักฉันตกน้ำ ฉันก็เลยเกลียดเขาตั้งแต่นั้นมา มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาว่าพ่อฉันบนโต๊ะอาหาร จำได้ว่าฉันถึงกับปีนข้ามโต๊ะไปถีบเข้ากลางอกเขาอย่างจังจนล้มหงายลงไป หัวฟาดพื้นเลือดอาบ ต้องหามส่งโรงพยาบาล คุณยายฉันเป็นลมแล้วเป็นลมอีก”

    “แสบตั้งแต่เด็กเลยหรอเนี่ย” เขมินท์ว่าพลางหัวเราะ

    “ก็งั้นแหละ หลังจากนั้นฉันเลิกสนใจ แล้วก็พยายามอยู่ห่างเขาเอาไว้ เพื่อความสบายใจของเราทั้งสองคน”

    ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายอย่างเข้าใจ แล้วเขาไม่ใช่คนที่จะสนใจใคร่รู้เรื่องของคนอื่นนัก แต่หญิงสาวข้างๆกลับทำให้เขารู้สึกแปลกใจตัวเอง ที่เกิดนึกอยากรับรู้เรื่องราวเล็กๆน้อยๆของเธอ ขณะที่กำลังฟังเพลินๆ ความคิดหนึ่งก็วูบเข้ามา จริงสิ น้องชายคนนี้จะเกลียดมุกรวีมากพอที่จะทำร้ายเธอได้มั้ยนะ...

    ทั้งคู่พากันเดินกลับมาถึงบ้านใหญ่ เนื่องจากเป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว ตัวบ้านจึงปิดไฟสนิทมีเพียงแสงไฟสลัวๆลอดมาจากห้องครัว

    “อะฮึ่ม!” เสียงกระแอมดังขึ้นอย่างตั้งใจ จากมุมหนึ่งของห้องก่อนที่ไฟกลางบ้านจะเปิดสว่างขึ้น ทำให้เห็นคนสามคนที่ยืนอยู่ที่มุมห้องด้วยท่าทางที่ต่างกันไป

    “พากันไปไหนมาจ๊ะ เขม” เสียงคุณนายจันทร์ฉายเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนหวาน พร้อมเดินเข้ามาหาทั้งคู่อย่างช้าๆ ทันทีที่ถึงตัวมืออวบอูมก็คว้าหมับเข้าที่หูของลูกชายคนโต

    “โอ๊ยยยยยย เจ็บๆ เบาหน่อยแม่” คนถูกประทุษร้ายร้องเสียงหลง เมื่อมือนั้นออกแรงบิดไม่พอยังดึงขึ้นดึงลงจนน่ากลัวว่าหูเขาอาจจะหลุดติดมือไป

    “บอกมาสิ ว่าหายไปไหนกันมา กลับมาค่ำมืดดึกดื่น”

    “โอ๊ยย แม่ปล่อยก่อนๆ ผมไม่ได้ไปคนเดียว แต่ทำไมผมต้องโดนคนเดียวละเนี่ย”

    “เพราะเขมเป็นลูกแม่ไงลูก” พูดไปมือก็บิดขึ้นลงอย่างเมามัน

    “ไอ้ผา ยืนมองอยู่ได้ ไม่คิดจะช่วยเลยหรือว่ะ”

    “แล้วใครบอกว่าจะช่วย ผมลงมาเพราะแม่บังคับให้มาเป็นสักขีพยานเฉยๆ” ดุจภูผาพูดหน้ายุ่ง ก่อนเดินไปนั่งลงข้างๆบิดา ด้วยหน้าที่พึ่งโดนลากขึ้นจากที่นอน

    “คุณป้า ปล่อยคุณเขมก่อนเถอะค่ะ” มุกรวีที่ยืนขำเอิ้กอ้ากอยู่จนพอใจแล้ว ก็เอ่ยประนีประนอม พลางเดินไปโอบหญิงสูงวัยไว้อย่างประจบ ก่อนพาเดินไปทางโซฟา

    “มุกกับคุณเขมเราไม่ได้ไปทำเรื่องเสียหายกันมานะคะ”

    “งั้นบอกป้ามั้ยว่าไปทำอะไรกันมา” คุณนายจันทร์ฉายแม้จะเอ่ยถามอย่างนั้น แต่น้ำเสียงแสดงชัดว่าต้องตอบ!

    “ครับ ดีเหมือนกัน ผมเองก็มีเรื่องอยากจะปรึกษาทุกคนอยู่พอดี” เขมินท์เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นเสียเอง มือหนึ่งก็ยังลูบคลำหูแดงๆ อย่างทะนุถนอม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่