กลร้าย อุบัติรัก
ผู้เขียน ขอจันทร์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/34058785
บทที่ ๒ http://ppantip.com/topic/34061303
บทที่ ๓
มุกรวีอยากจะร้องดังๆ กับเรื่องที่เธอพึ่งได้รับรู้มาตอนนี้ คู่หมั้นที่คุณป๋าของเธอหามาให้ แท้จริงแล้วคือคนเดียวกับไอ้บ้าหื่นกามที่เธอเคยเจอ!! ให้ตายเถอะ หล่อนเหมือนจะคลั่งขึ้นมาอีกครั้ง ยิ่งเห็นนายตัวต้นเหตุนั่นยักคิ้วกวนประสาทอยู่ตรงข้ามเธอบนโต๊ะอาหาร เธอก็ยิ่งอยากจะลุกขึ้นชี้หน้าว่าผู้ชายคนนี้คือไอ้โรคจิตที่เคยมาทำบัดสีบัดเถลิงกับรถของเธอ ถ้าไม่ติดว่ามีคนอื่นนั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย
“หนูมุกจ๊ะ ไหนๆหนูก็ต้องมาอยู่ที่นี่ ป้าเลยอยากจะแนะนำหนูให้รู้จักน้าเก็จกะรัตน์ น้องสาวของป้าเองจ๊ะ ส่วนนั่นน้ำหนึ่งลูกสาวน้าเก็จเขา” มุกรวีหันยกมือไหว้ทำความเคารพผู้สูงวัยกว่า จากการสังเกตของมุกรวี น้าเก็จอายุน่าจะอยู่ที่ 40 ปลายๆ สายตาที่มองมายังเธอนั่นแสดงให้เห็นถึงความเป็นคนเจ้าระเบียบอยู่ไม่น้อย เธอจึงส่งยิ้มไปให้อย่างเด็กที่เคารพผู้ใหญ่ แล้วหันไปยิ้มเผื่อแผ่ให้ให้กับน้ำหนึ่ง สาวน้อยบอบบางที่ได้เจอกันแล้วที่สวน ซึ่งก็ได้รอยยิ้มอย่างเป็นมิตรตอบกลับมา
“แล้วก็พี่ภูผา ลูกชายคนเล็กของป้า”
“สวัสดีครับน้องมุก ไม่นึกเลยนะว่าพี่จะได้มีว่าที่พี่สะใภ้สวยขนาดนี้” ชายหนุ่มว่าแล้วก็ขยิบตาให้นิดหนึ่งอย่างเคยชิน ทำเอาคุณจันทร์ฉายหมั่นไส้กระทุ้งศอกใส่ไปหนึ่งที
“คู่หมั้นพี่ก็ไม่เว้น”
หญิงสาวยิ้มรับเฉยๆ ไม่ได้มีท่าทีเขินอาย และไม่เอ่ยอะไรต่อ อีกฝ่ายจึงยิ้มกว้างอย่างถูกใจ
“และนี่พี่เขมจ๊ะ เหมือนจะเจอกันแล้วใช่มั้ย”
“ครับ เจอกันแล้ว”
“เขมบอกว่าเคยเจอกันมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่ได้คุยกัน แล้วนี่ได้คุยกันบ้างหรือยังจ๊ะ”
“ทักทายกันบ้างแล้วคะ อย่างที่คุณเขมบอก เราเคยเจอกันแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนั้นคุณเขมกำลัง...”
พูดได้เท่านั้นก็มีเสียงช้อนหล่นดัง โคล้ง! เคล้ง! มาจากผู้ชายที่ตรงหน้า
“อะไรกันเจ้าเขม” คุณศรัณย์ที่วางสายจากการคุยโทรศัพท์แล้วเดินมานั่งลงที่โต๊ะ ทันหันไปเอ็ดลูกชายพอดี
“เปล่าครับ อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนเอ็นที่มือมันยึดนะครับ ...เอ่อ ว่าแต่ใครโทรมาหรือครับพ่อ” เขมินท์ได้โอกาสรีบเปลี่ยนเรื่องทันที ไม่สนใจสายตาที่มองมาอย่างรู้ทันของมุกรวี
“นายสมชาญนะ”
“อ้อ สารวัตรที่ว่าเป็นรุ่นน้องเรียนโรงเรียนเดียวกับคุณนะหรือคะ”
“ใช่ เขาพึ่งย้ายมา เลยอยากปรึกษาเรื่องคดีนะ”
“คดีอะไรหรือครับพ่อ” ดุจตะวันถามอย่างสนใจ
“พวกลักลอบขนยาเสพติด เห็นว่าตำรวจติดตามมาตั้งมันเริ่มขนเข้ามาทางชายแดน แต่อยู่ๆทั้งของทั้งคนก็หายไปซะเฉยๆ ไม่เหลือร่องรอยอะไรให้ตามเลย”
“คุณก็เกษียณแล้วแท้ๆ ยังจะเอาเรื่องยุ่งยากมาให้อีกทำไมก็ไม่รู้” คุณนายจันทร์ฉายบ่น
“ความเป็นตำรวจยังไงมันก็ติดตัวไปจนตายละคุณ”
“แค่ตอนสาวๆฉันก็ต้องผวาทุกครั้งที่คุณต้องออกไปจับผู้ร้ายนั่นยังไม่พออีกหรือคะ อย่าให้ฉันต้องมานั่งผวาตอนแก่อีกเลย เดี๋ยวหัวใจจะวายตายเอา”
ท่าทางกระเง้ากระงอดของสองสามีภรรยาทำเอาเหล่าหนุ่มสาวที่อยู่บนโต๊ะยิ้มกันไปตามๆกัน คุณศรัณย์ที่ไม่อยากให้ภรรยาอารมณ์ขุ่น จึงเปลี่ยนเรื่องโดยหันไปหาสมาชิกใหม่ของบ้าน ถามไถ่อย่างใจดี
“คุณหนูมุกดูห้องพักเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย ขาดเหลืออะไรหรือเปล่า”
“ไม่ขาด แต่เหลือด้วยซ้ำคะ ขอบคุณคุณลุงคุณป้านะคะที่ใจดีกับมุก” หญิงสาวพนมมือไหว้ ผู้สูงวัยทั้งสองมองอย่างเอ็นดู
คุณเก็จกระรัตน์ที่นั่งสังเกตหญิงสาวอยู่นานเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรก
“แล้วมาอยู่ที่นี่จะทำอะไรละ คงไม่ได้มานั่งๆนอนๆเฉยๆหรอกนะ” คุณเก็จกะรัตน์ถามขึ้นทำเอาทุกคนเงียบ หญิงสาวเองก็ตอบไม่ถูกเพราะเรื่องนี้เธอเองก็ไม่ได้คิดมาก่อน
“เก็จถามขึ้นมาก็ดีละ พี่คิดเอาไว้แล้ว ตั้งใจว่าจะให้หนูมุกไปช่วยงานเจ้าเขมนะจ๊ะ” คุณจันทร์งามตอบขึ้น ก่อนที่เขมินท์หันไปมองหน้ามารดาทันที
“ไม่เห็นแม่เคยบอกผมเลยนี่ครับ”
“ก็บอกอยู่นี่ไง”
“สาวเมืองกรุงมืออ่อนตีนอ่อนแบบนี้ จะไปทำอะไรไหว” เขมินท์พูดสบประมาทอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจ
“ก็ให้ฉันลองก่อนสิ” มุกรวีเองก็โต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้
“ผมว่าคุณกลับไปเล่นเกมส์ทำฟาร์มปลูกผัก แล้วเก็บเหรียญอะไรแบบนั้นดีกว่า นี่มันงานไร่จริงๆ มันหนักกว่าที่คุณคิดเยอะ”
“ถ้าฉันรักสบายฉันคงไม่มาอยู่ที่นี่หรอก”
“พอแล้ว! พอทั้งคู่เลย” คุณนายจันทร์ฉายยกมือขึ้นห้าม เมื่อเห็นว่าทั้งคู่ตั้งท่าจะเถียงต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่มีใครยอมใคร ก่อนจะอธิบาย
“เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว ป้าไม่ได้จะให้หนูไปทำงานเป็นคนงานในไร่นะหนูมุก นะเจ้าเขม”
“อ้าว ถ้างั้นจะให้ไปทำอะไรละครับ”
“เป็นผู้ช่วยแกไง”
“หา! ผู้ช่วยผมเนี่ยนะ จะช่วยอะไร ที่ผ่านมางานทุกอย่างผมก็จัดการเองหมดอยู่แล้ว”
“ก็เพราะทำเองหมดอย่างนี้นะสิ วันๆฉันถึงไม่ค่อยจะได้เห็นหน้าลูกชายตัวเองเลยสักคน” คุณนายจันทร์ฉายพูดปึงๆ ทำเอาดุจภูผาที่กำลังง่วนอยู่กับกุ้งตัวโตสะดุ้งขึ้นอีกคน
“คือ ที่แม่ว่า มันเลี้ยวมากระทบผมนะฮะ”
“ทั้งคู่แหละยะ ยิ่งแกนะตัวดี ทำงานเสร็จแทนที่จะกลับบ้าน ก็ตะลอนๆไปเที่ยวกับแม่เด็กใจแตกที่ไหนไม่รู้ รอก่อนเถอะแกจะเป็นรายต่อไป”
“หูยย พ่อ ดูแม่ว่าสิ” ดุจภูผาเห็นว่าเรื่องเหมือนจะเข้าตัว จึงหันซบหน้ากับแขนของบิดาออดอ้อนราวเด็กน้อย จนคุณศรัณย์หมั่นไส้ไม่ได้
“เรื่องนี้ ตัวใครตัวมันนะเฮ้ย ” ว่าแล้วก็พยักเพยิดไปทางคุณจันทร์ฉายที่กำลังยิ้มอย่างเป็นต่อ มืออีกข้างก็ดันหัวลูกชายออก
“อย่าไปสนใจมันเลยนะหนูมุก ปกติแล้วหนูทำงานอะไรอยู่ละ”
“เป็นจิวเวอรรี่ ดีไซด์เนอร์ที่บริษัทคุณป๋าค่ะ”
“อรุณเคยเล่าให้ฟังว่าหนูมุกเคยได้รางวัลจากการออกแบบอัญมณีมาหลายรางวัลแล้วนะคะ” คุณจันทร์ฉายหันไปชื่นชมกับสามี
“รางวัลอะไร๊ ใช่ที่จัดเอง แจกเอง แบบที่พวกคนกรุงเทพเขาชอบทำกันหรือเปล่า”
“รางวัลระดับประเทศเลยจ๊ะ ไม่มีหรอกไอ้ประเภทจัดเองแจกเองอย่างที่แกว่า” คุณนายจันทร์ฉายออกโรงโต้กลับแทนมุกรวีด้วยความหมั่นไส้
“ฟลุ๊ค.. ฟลุ๊คๆๆ” เขมินท์ก้มหน้าลงไอดังๆ แกล้งทำเสียงล้อเลียน คุณจันทร์จึงเอื้อมมือไปบิดหูลูกชายคนโตไป จนร้องโอดโอย
“ปากหรอนั่น”
“หวงกันจัง” เขมินท์ว่าพลางคำหูตัวเองปอยๆ ก่อนจะตักข้าวต้มใส่ปากหูก็ฟังบทสนทนาบนโต๊ะอาหารไปเรื่อยๆ เลิกความคิดหาเรื่องให้ตัวเองเจ็บตัว
“งานที่ป้าจะให้หนูทำมันอาจจะต่างไปจากงานเดิมของหนู แต่ป้าคิดว่างานนี้ไม่ได้อยากอะไร ของแบบนี้มันเรียนรู้กันได้ ยังไงหนูมุกของป้าก็เก่งอยู่แล้ว จริงมั้ยจ๊ะ”
มุกรวีไม่ตอบอะไรเพียงแต่ส่งยิ้มกลับไปให้อย่างน่าเอ็นดู
ครืดด...
“ถ้าแนะนำตัวกันเสร็จแล้ว เก็จขอตัวก่อนนะคะ” เก็จกะรัตน์ลุกขึ้นบอกทุกคนแล้วหันดึงตัวลูกสาวให้ลุกตาม “น้ำหนึ่ง อิ่มก็ลุกได้แล้ว”
หญิงสาวตอบรับเบาๆ แล้วรีบลุกขึ้นเดินตามมารดาไป คุณนายจันทร์ฉายมองทุกอย่างอย่างสงบผิดกับคุณศรัณย์ที่หันมามองหน้าภรรยาแสดงถึงความเห็นใจบางอย่าง มุกรวีที่รับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่ไม่ค่อยดีนัก งุนงงกับท่าทีปั่นปึงของอีกฝ่าย เขมินท์หันมามองหน้าหญิงสาวแวบหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยขึ้นลอยๆ
“เรื่องปกติ ไม่มีอะไรหรอก”
พูดจบเขมินท์ก็ก้มหน้าก้มตาทานข้าวต่อ คล้ายกับไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ตัวเองพูดนัก มุกรวีมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ ก่อนจะค่อยๆก้มหน้าลงยิ้มกับจานข้าวตรงหน้า
หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว มุกรวีก็ขอตัวขึ้นไปจัดเก็บข้าวของสัมภาระส่วนตัวที่ขนมา ขึ้นมาได้ไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของห้องแล้ว สาวน้อยร่างเล็กท่าทางซื่อๆ ที่มุกรวีเดาว่าคงเป็นคนงานในบ้าน ส่งยิ้มสดใสก่อนค่อยๆเดินเข้ามายอบตัวลงข้างๆมุกรวี
“สวัสดีเจ้า นายแม่ให้ข้าเจ้ามาช่วยคุณจัดข้าวของนะเจ้า”
“อ๋อ” มุกรวีตอบรับ ส่งยิ้มให้ เห็นท่าทางของอีกฝ่ายแล้วเธอรู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก “ขอบใจนะ แล้วเธอชื่ออะไรหรอ” หญิงสาวถาม ก่อนยื่นพับเสื้อไปให้ช่วยจัดเก็บ
“ข้าเจ้าชื่อ อองตองเจ้า”
“อองตอง.. เป็นภาษาเหนือใช่มั้ย มาจากคำว่าอะไรหรอ” มุกรวีหันมาถามอย่างสนใจ
“เจ้า แปลว่า ผิวขาว ผิวงาม น่ารักน่าชัง ฮิฮิ ที่เขาชอบพูดกันว่าขาวอองตองนะเจ้า ” หญิงสาวพูดไปพลางหัวเราะคิกคัก กระมิดกระเมี้ยน จนมุกรทั้งขำทั้งเอ็นดู
“ยินดีที่ได้รู้จักจ๊ะอองตอง ฉันชื่อมุกรวี”
“ข้าเจ้าขอเรียกว่าคุณมุกนะเจ้า”
“ได้สิ แล้วทำไมอองตองถึงมาอยู่ที่นี่ได้ละ” มุกรวีชวนคุยไปเรื่อยๆ
“ข้าเจ้ากับพี่สาวตามแม่อุ้ยมาทำงานที่นี่”
“อยู่ที่นี่มานานหรือยังละ”
“ตั้งแต่เด็กๆแล้วเจ้า ตั้งแต่คุณเก็จกะรัตน์กับคุณน้ำหนึ่งยังอยู่ที่นี่นะเจ้า” หญิงสาวเจื้อยแจ้วเสียงสดใส
“อ้าวคุณเก็จกะรัตน์ กับคุณน้ำหนึ่งเธอไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกหรือ”
“ไม่ได้อยู่เจ้า เธออยู่ที่บ้านเล็กด้านหลัง เดินตัดสวนไปหน่อยก็เจอแล้วเจ้า”
“ทำไม่เขาไม่มาอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังใหญ่ละ”
“เรื่องมันย้าววยาวเจ้า อันนี้ข้าเจ้าก็ฟังมาจากเขาอีกที สมัยคุณเก็จยังสาว ตอนนั้นเธอเปรี้ยวน่าดู เห็นว่าไปรักใคร่ชอบพอกับผู้ชายคนหนึ่งแต่แม่นายท่านไม่เห็นด้วยนะเจ้า เธอก็เลยหอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่กับผัว เอ๊ย สามีของเธอ ไม่เคยติดต่อใครทางนี้เลย แต่พอสามีเธอตาย เธอก็พาคุณน้ำหนึ่งกลับมาด้วย ตอนนั้นคุณน้ำหนึ่งอายุประมาณ 10 ขวบเจ้า แต่กลับมาแล้วก็ไม่ยอมอยู่ที่นี่ เธอขอออกไปออกไปอยู่ที่เรือนเล็กนะเจ้า”
“ทำไมละจ๊ะ”
“ข้าเจ้าไม่รู้หรอกเจ้า คุณเก็จเธอไม่ยอมบอกอะไร ดูเธอไม่ค่อยอยากยุ่งกับใคร ไม่บอกด้วยว่าก่อนหน้านี้ไปทำอะไรอยู่ที่ไหน อ้อ ไม่มีใครรู้ด้วยนะเจ้าว่าผ.. เอ๊ย!” อองตองอุทานอย่างขัดใจพลางตบปากตัวเองเบาๆ “สามี... ของเธอเป็นใคร”
“แล้วไม่มีใครอยากรู้เลยหรอ” มุกรวีถามเรื่อยๆ แต่ไม่ได้สนใจอะไรนัก
“ถึงอยากรู้ก็ไม่มีใครกล้าเจ้า ขนาดแม่นายที่เป็นพี่สาวเธอยังไม่ยุ่งเลย คุณเก็จน่ากลัวจะตาย ดุ๊ดุ ลองใครไปถามถึงสามีเธอ เธอได้อาละวาดบ้านแตกนะเจ้า คุณเก็จอารมณ์ร้าย ข้าเจ้าไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้เธอหรอกเจ้า” อองตองพูดพลางยกมือขึ้นลูบแขนสองข้างไปมา ทำหน้าตาสยดสยอง
(ต่อ)
กลร้าย อุบัติรัก บทที่ ๓
ผู้เขียน ขอจันทร์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บทที่ ๓
มุกรวีอยากจะร้องดังๆ กับเรื่องที่เธอพึ่งได้รับรู้มาตอนนี้ คู่หมั้นที่คุณป๋าของเธอหามาให้ แท้จริงแล้วคือคนเดียวกับไอ้บ้าหื่นกามที่เธอเคยเจอ!! ให้ตายเถอะ หล่อนเหมือนจะคลั่งขึ้นมาอีกครั้ง ยิ่งเห็นนายตัวต้นเหตุนั่นยักคิ้วกวนประสาทอยู่ตรงข้ามเธอบนโต๊ะอาหาร เธอก็ยิ่งอยากจะลุกขึ้นชี้หน้าว่าผู้ชายคนนี้คือไอ้โรคจิตที่เคยมาทำบัดสีบัดเถลิงกับรถของเธอ ถ้าไม่ติดว่ามีคนอื่นนั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย
“หนูมุกจ๊ะ ไหนๆหนูก็ต้องมาอยู่ที่นี่ ป้าเลยอยากจะแนะนำหนูให้รู้จักน้าเก็จกะรัตน์ น้องสาวของป้าเองจ๊ะ ส่วนนั่นน้ำหนึ่งลูกสาวน้าเก็จเขา” มุกรวีหันยกมือไหว้ทำความเคารพผู้สูงวัยกว่า จากการสังเกตของมุกรวี น้าเก็จอายุน่าจะอยู่ที่ 40 ปลายๆ สายตาที่มองมายังเธอนั่นแสดงให้เห็นถึงความเป็นคนเจ้าระเบียบอยู่ไม่น้อย เธอจึงส่งยิ้มไปให้อย่างเด็กที่เคารพผู้ใหญ่ แล้วหันไปยิ้มเผื่อแผ่ให้ให้กับน้ำหนึ่ง สาวน้อยบอบบางที่ได้เจอกันแล้วที่สวน ซึ่งก็ได้รอยยิ้มอย่างเป็นมิตรตอบกลับมา
“แล้วก็พี่ภูผา ลูกชายคนเล็กของป้า”
“สวัสดีครับน้องมุก ไม่นึกเลยนะว่าพี่จะได้มีว่าที่พี่สะใภ้สวยขนาดนี้” ชายหนุ่มว่าแล้วก็ขยิบตาให้นิดหนึ่งอย่างเคยชิน ทำเอาคุณจันทร์ฉายหมั่นไส้กระทุ้งศอกใส่ไปหนึ่งที
“คู่หมั้นพี่ก็ไม่เว้น”
หญิงสาวยิ้มรับเฉยๆ ไม่ได้มีท่าทีเขินอาย และไม่เอ่ยอะไรต่อ อีกฝ่ายจึงยิ้มกว้างอย่างถูกใจ
“และนี่พี่เขมจ๊ะ เหมือนจะเจอกันแล้วใช่มั้ย”
“ครับ เจอกันแล้ว”
“เขมบอกว่าเคยเจอกันมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่ได้คุยกัน แล้วนี่ได้คุยกันบ้างหรือยังจ๊ะ”
“ทักทายกันบ้างแล้วคะ อย่างที่คุณเขมบอก เราเคยเจอกันแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนั้นคุณเขมกำลัง...”
พูดได้เท่านั้นก็มีเสียงช้อนหล่นดัง โคล้ง! เคล้ง! มาจากผู้ชายที่ตรงหน้า
“อะไรกันเจ้าเขม” คุณศรัณย์ที่วางสายจากการคุยโทรศัพท์แล้วเดินมานั่งลงที่โต๊ะ ทันหันไปเอ็ดลูกชายพอดี
“เปล่าครับ อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนเอ็นที่มือมันยึดนะครับ ...เอ่อ ว่าแต่ใครโทรมาหรือครับพ่อ” เขมินท์ได้โอกาสรีบเปลี่ยนเรื่องทันที ไม่สนใจสายตาที่มองมาอย่างรู้ทันของมุกรวี
“นายสมชาญนะ”
“อ้อ สารวัตรที่ว่าเป็นรุ่นน้องเรียนโรงเรียนเดียวกับคุณนะหรือคะ”
“ใช่ เขาพึ่งย้ายมา เลยอยากปรึกษาเรื่องคดีนะ”
“คดีอะไรหรือครับพ่อ” ดุจตะวันถามอย่างสนใจ
“พวกลักลอบขนยาเสพติด เห็นว่าตำรวจติดตามมาตั้งมันเริ่มขนเข้ามาทางชายแดน แต่อยู่ๆทั้งของทั้งคนก็หายไปซะเฉยๆ ไม่เหลือร่องรอยอะไรให้ตามเลย”
“คุณก็เกษียณแล้วแท้ๆ ยังจะเอาเรื่องยุ่งยากมาให้อีกทำไมก็ไม่รู้” คุณนายจันทร์ฉายบ่น
“ความเป็นตำรวจยังไงมันก็ติดตัวไปจนตายละคุณ”
“แค่ตอนสาวๆฉันก็ต้องผวาทุกครั้งที่คุณต้องออกไปจับผู้ร้ายนั่นยังไม่พออีกหรือคะ อย่าให้ฉันต้องมานั่งผวาตอนแก่อีกเลย เดี๋ยวหัวใจจะวายตายเอา”
ท่าทางกระเง้ากระงอดของสองสามีภรรยาทำเอาเหล่าหนุ่มสาวที่อยู่บนโต๊ะยิ้มกันไปตามๆกัน คุณศรัณย์ที่ไม่อยากให้ภรรยาอารมณ์ขุ่น จึงเปลี่ยนเรื่องโดยหันไปหาสมาชิกใหม่ของบ้าน ถามไถ่อย่างใจดี
“คุณหนูมุกดูห้องพักเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย ขาดเหลืออะไรหรือเปล่า”
“ไม่ขาด แต่เหลือด้วยซ้ำคะ ขอบคุณคุณลุงคุณป้านะคะที่ใจดีกับมุก” หญิงสาวพนมมือไหว้ ผู้สูงวัยทั้งสองมองอย่างเอ็นดู
คุณเก็จกระรัตน์ที่นั่งสังเกตหญิงสาวอยู่นานเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรก
“แล้วมาอยู่ที่นี่จะทำอะไรละ คงไม่ได้มานั่งๆนอนๆเฉยๆหรอกนะ” คุณเก็จกะรัตน์ถามขึ้นทำเอาทุกคนเงียบ หญิงสาวเองก็ตอบไม่ถูกเพราะเรื่องนี้เธอเองก็ไม่ได้คิดมาก่อน
“เก็จถามขึ้นมาก็ดีละ พี่คิดเอาไว้แล้ว ตั้งใจว่าจะให้หนูมุกไปช่วยงานเจ้าเขมนะจ๊ะ” คุณจันทร์งามตอบขึ้น ก่อนที่เขมินท์หันไปมองหน้ามารดาทันที
“ไม่เห็นแม่เคยบอกผมเลยนี่ครับ”
“ก็บอกอยู่นี่ไง”
“สาวเมืองกรุงมืออ่อนตีนอ่อนแบบนี้ จะไปทำอะไรไหว” เขมินท์พูดสบประมาทอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจ
“ก็ให้ฉันลองก่อนสิ” มุกรวีเองก็โต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้
“ผมว่าคุณกลับไปเล่นเกมส์ทำฟาร์มปลูกผัก แล้วเก็บเหรียญอะไรแบบนั้นดีกว่า นี่มันงานไร่จริงๆ มันหนักกว่าที่คุณคิดเยอะ”
“ถ้าฉันรักสบายฉันคงไม่มาอยู่ที่นี่หรอก”
“พอแล้ว! พอทั้งคู่เลย” คุณนายจันทร์ฉายยกมือขึ้นห้าม เมื่อเห็นว่าทั้งคู่ตั้งท่าจะเถียงต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่มีใครยอมใคร ก่อนจะอธิบาย
“เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว ป้าไม่ได้จะให้หนูไปทำงานเป็นคนงานในไร่นะหนูมุก นะเจ้าเขม”
“อ้าว ถ้างั้นจะให้ไปทำอะไรละครับ”
“เป็นผู้ช่วยแกไง”
“หา! ผู้ช่วยผมเนี่ยนะ จะช่วยอะไร ที่ผ่านมางานทุกอย่างผมก็จัดการเองหมดอยู่แล้ว”
“ก็เพราะทำเองหมดอย่างนี้นะสิ วันๆฉันถึงไม่ค่อยจะได้เห็นหน้าลูกชายตัวเองเลยสักคน” คุณนายจันทร์ฉายพูดปึงๆ ทำเอาดุจภูผาที่กำลังง่วนอยู่กับกุ้งตัวโตสะดุ้งขึ้นอีกคน
“คือ ที่แม่ว่า มันเลี้ยวมากระทบผมนะฮะ”
“ทั้งคู่แหละยะ ยิ่งแกนะตัวดี ทำงานเสร็จแทนที่จะกลับบ้าน ก็ตะลอนๆไปเที่ยวกับแม่เด็กใจแตกที่ไหนไม่รู้ รอก่อนเถอะแกจะเป็นรายต่อไป”
“หูยย พ่อ ดูแม่ว่าสิ” ดุจภูผาเห็นว่าเรื่องเหมือนจะเข้าตัว จึงหันซบหน้ากับแขนของบิดาออดอ้อนราวเด็กน้อย จนคุณศรัณย์หมั่นไส้ไม่ได้
“เรื่องนี้ ตัวใครตัวมันนะเฮ้ย ” ว่าแล้วก็พยักเพยิดไปทางคุณจันทร์ฉายที่กำลังยิ้มอย่างเป็นต่อ มืออีกข้างก็ดันหัวลูกชายออก
“อย่าไปสนใจมันเลยนะหนูมุก ปกติแล้วหนูทำงานอะไรอยู่ละ”
“เป็นจิวเวอรรี่ ดีไซด์เนอร์ที่บริษัทคุณป๋าค่ะ”
“อรุณเคยเล่าให้ฟังว่าหนูมุกเคยได้รางวัลจากการออกแบบอัญมณีมาหลายรางวัลแล้วนะคะ” คุณจันทร์ฉายหันไปชื่นชมกับสามี
“รางวัลอะไร๊ ใช่ที่จัดเอง แจกเอง แบบที่พวกคนกรุงเทพเขาชอบทำกันหรือเปล่า”
“รางวัลระดับประเทศเลยจ๊ะ ไม่มีหรอกไอ้ประเภทจัดเองแจกเองอย่างที่แกว่า” คุณนายจันทร์ฉายออกโรงโต้กลับแทนมุกรวีด้วยความหมั่นไส้
“ฟลุ๊ค.. ฟลุ๊คๆๆ” เขมินท์ก้มหน้าลงไอดังๆ แกล้งทำเสียงล้อเลียน คุณจันทร์จึงเอื้อมมือไปบิดหูลูกชายคนโตไป จนร้องโอดโอย
“ปากหรอนั่น”
“หวงกันจัง” เขมินท์ว่าพลางคำหูตัวเองปอยๆ ก่อนจะตักข้าวต้มใส่ปากหูก็ฟังบทสนทนาบนโต๊ะอาหารไปเรื่อยๆ เลิกความคิดหาเรื่องให้ตัวเองเจ็บตัว
“งานที่ป้าจะให้หนูทำมันอาจจะต่างไปจากงานเดิมของหนู แต่ป้าคิดว่างานนี้ไม่ได้อยากอะไร ของแบบนี้มันเรียนรู้กันได้ ยังไงหนูมุกของป้าก็เก่งอยู่แล้ว จริงมั้ยจ๊ะ”
มุกรวีไม่ตอบอะไรเพียงแต่ส่งยิ้มกลับไปให้อย่างน่าเอ็นดู
ครืดด...
“ถ้าแนะนำตัวกันเสร็จแล้ว เก็จขอตัวก่อนนะคะ” เก็จกะรัตน์ลุกขึ้นบอกทุกคนแล้วหันดึงตัวลูกสาวให้ลุกตาม “น้ำหนึ่ง อิ่มก็ลุกได้แล้ว”
หญิงสาวตอบรับเบาๆ แล้วรีบลุกขึ้นเดินตามมารดาไป คุณนายจันทร์ฉายมองทุกอย่างอย่างสงบผิดกับคุณศรัณย์ที่หันมามองหน้าภรรยาแสดงถึงความเห็นใจบางอย่าง มุกรวีที่รับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่ไม่ค่อยดีนัก งุนงงกับท่าทีปั่นปึงของอีกฝ่าย เขมินท์หันมามองหน้าหญิงสาวแวบหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยขึ้นลอยๆ
“เรื่องปกติ ไม่มีอะไรหรอก”
พูดจบเขมินท์ก็ก้มหน้าก้มตาทานข้าวต่อ คล้ายกับไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ตัวเองพูดนัก มุกรวีมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ ก่อนจะค่อยๆก้มหน้าลงยิ้มกับจานข้าวตรงหน้า
หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว มุกรวีก็ขอตัวขึ้นไปจัดเก็บข้าวของสัมภาระส่วนตัวที่ขนมา ขึ้นมาได้ไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของห้องแล้ว สาวน้อยร่างเล็กท่าทางซื่อๆ ที่มุกรวีเดาว่าคงเป็นคนงานในบ้าน ส่งยิ้มสดใสก่อนค่อยๆเดินเข้ามายอบตัวลงข้างๆมุกรวี
“สวัสดีเจ้า นายแม่ให้ข้าเจ้ามาช่วยคุณจัดข้าวของนะเจ้า”
“อ๋อ” มุกรวีตอบรับ ส่งยิ้มให้ เห็นท่าทางของอีกฝ่ายแล้วเธอรู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก “ขอบใจนะ แล้วเธอชื่ออะไรหรอ” หญิงสาวถาม ก่อนยื่นพับเสื้อไปให้ช่วยจัดเก็บ
“ข้าเจ้าชื่อ อองตองเจ้า”
“อองตอง.. เป็นภาษาเหนือใช่มั้ย มาจากคำว่าอะไรหรอ” มุกรวีหันมาถามอย่างสนใจ
“เจ้า แปลว่า ผิวขาว ผิวงาม น่ารักน่าชัง ฮิฮิ ที่เขาชอบพูดกันว่าขาวอองตองนะเจ้า ” หญิงสาวพูดไปพลางหัวเราะคิกคัก กระมิดกระเมี้ยน จนมุกรทั้งขำทั้งเอ็นดู
“ยินดีที่ได้รู้จักจ๊ะอองตอง ฉันชื่อมุกรวี”
“ข้าเจ้าขอเรียกว่าคุณมุกนะเจ้า”
“ได้สิ แล้วทำไมอองตองถึงมาอยู่ที่นี่ได้ละ” มุกรวีชวนคุยไปเรื่อยๆ
“ข้าเจ้ากับพี่สาวตามแม่อุ้ยมาทำงานที่นี่”
“อยู่ที่นี่มานานหรือยังละ”
“ตั้งแต่เด็กๆแล้วเจ้า ตั้งแต่คุณเก็จกะรัตน์กับคุณน้ำหนึ่งยังอยู่ที่นี่นะเจ้า” หญิงสาวเจื้อยแจ้วเสียงสดใส
“อ้าวคุณเก็จกะรัตน์ กับคุณน้ำหนึ่งเธอไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกหรือ”
“ไม่ได้อยู่เจ้า เธออยู่ที่บ้านเล็กด้านหลัง เดินตัดสวนไปหน่อยก็เจอแล้วเจ้า”
“ทำไม่เขาไม่มาอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังใหญ่ละ”
“เรื่องมันย้าววยาวเจ้า อันนี้ข้าเจ้าก็ฟังมาจากเขาอีกที สมัยคุณเก็จยังสาว ตอนนั้นเธอเปรี้ยวน่าดู เห็นว่าไปรักใคร่ชอบพอกับผู้ชายคนหนึ่งแต่แม่นายท่านไม่เห็นด้วยนะเจ้า เธอก็เลยหอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่กับผัว เอ๊ย สามีของเธอ ไม่เคยติดต่อใครทางนี้เลย แต่พอสามีเธอตาย เธอก็พาคุณน้ำหนึ่งกลับมาด้วย ตอนนั้นคุณน้ำหนึ่งอายุประมาณ 10 ขวบเจ้า แต่กลับมาแล้วก็ไม่ยอมอยู่ที่นี่ เธอขอออกไปออกไปอยู่ที่เรือนเล็กนะเจ้า”
“ทำไมละจ๊ะ”
“ข้าเจ้าไม่รู้หรอกเจ้า คุณเก็จเธอไม่ยอมบอกอะไร ดูเธอไม่ค่อยอยากยุ่งกับใคร ไม่บอกด้วยว่าก่อนหน้านี้ไปทำอะไรอยู่ที่ไหน อ้อ ไม่มีใครรู้ด้วยนะเจ้าว่าผ.. เอ๊ย!” อองตองอุทานอย่างขัดใจพลางตบปากตัวเองเบาๆ “สามี... ของเธอเป็นใคร”
“แล้วไม่มีใครอยากรู้เลยหรอ” มุกรวีถามเรื่อยๆ แต่ไม่ได้สนใจอะไรนัก
“ถึงอยากรู้ก็ไม่มีใครกล้าเจ้า ขนาดแม่นายที่เป็นพี่สาวเธอยังไม่ยุ่งเลย คุณเก็จน่ากลัวจะตาย ดุ๊ดุ ลองใครไปถามถึงสามีเธอ เธอได้อาละวาดบ้านแตกนะเจ้า คุณเก็จอารมณ์ร้าย ข้าเจ้าไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้เธอหรอกเจ้า” อองตองพูดพลางยกมือขึ้นลูบแขนสองข้างไปมา ทำหน้าตาสยดสยอง
(ต่อ)