กลร้าย อุบัติรัก
เขียนโดย ขอจันทร์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/34058785
บทที่ ๒ http://ppantip.com/topic/34061303
บทที่ ๓ http://ppantip.com/topic/34064438
บทที่ ๔
เช้าวันใหม่เป็นวันเริ่มงานวันแรกของมุกรวีในการเป็นผู้ช่วยของเขมินท์ มุกรวีตื่นแต่เช้ามาอาบน้ำแต่งตัวหญิงสาวเลือกเสื้อแขนยาวสีขาว กับกางเกงยีนส์ เพื่อให้ทะมัดทะแม่งกว่าปกติสักหน่อย เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ลงมาข้างล่าง เดินเข้าไปช่วยบัวซอน หรือแม่อุ้ยของอองแม่บ้านคนเก่าคนแก่ประจำบ้านที่เดินถือโถข้าวต้มส่งกลิ่นหอมฉุยเข้ามา
มุกรวีนั่งลงที่โต๊ะก่อนจะลงมือจัดการมื้อเช้าตรงหน้า ทานไปได้เพียงสามสี่คำ ชายหนุ่มร่างสูงที่ส่งยิ้มยียวนกวนประสาทเธอเสียจนจำติดตาก็เดินลงบันไดมา
“ป้าบัวคนสวย มื้อเช้าวันนี้เป็นอะไรเอ่ย?” มาถึงก็ส่งเสียงออดอ่อนบัวซอน แล้วนั่งลงที่ด้านตรงข้ามมองสำรวจการแต่งตัวของอีกฝ่ายก่อนจะยิ้มออกมาอย่างพอใจ “สวัสดีตอนเช้าครับ เมื่อคืนหลับสบายมั้ย หนูมุก”
มุกรวีพยายามไม่สนใจเสียงที่จงใจเน้นคำว่า ‘หนูมุก’ ของอีกฝ่าย ด้วยตั้งใจไว้แล้วว่าจะ อยู่ห่างๆนายเขมินท์คนนี้ไว้ให้มากที่สุด ไม่ต่อความยาวสาวความยืดใดๆ เพื่อตัดความรำคาญใจ
“อ้าว คนเขาพูดด้วยก็ไม่ยอมพูด ” ยียวนมุกรวี แล้วก็หันขวับไปทางบัวซอน แหย่ทีเล่นทีจริง “ว้า สงสัยหนูมุกของคุณนายจันทร์ฉายจะเป็นใบ้ไปซะแล้ว สงสัยจะกลัวไม่กล้าต่อปากต่อคำกับใคร เลยชิงเป็นใบ้ไปซะก่อน”
“ถ้าฉันเป็นใบ้ ก็คงเพราะฉันต้องกัดลิ้นตัวเองไม่ให้เผลอไปด่าคนบ้ากามแถวนี้!”
“หรอ ไหนๆผมก็บ้ากามแล้ว งั้นให้ผมจะช่วยกัดลิ้นคุณดีมั้ย” เดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายพูดเล่นหรือจริง แต่พอพูดจบเขมินท์ก็ลุกพรวดขึ้น! ทำเอาหญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามสะดุ้งลุกตาม หลับหูหลับตาคว้าเอาของใกล้ตัวมากุมไว้ราวกับจะใช้มันเป็นอาวุธ
“คุณเขม! หยุดอยู่ตรงนั้นเลย ไม่งั้น ฉันสู้นะ!! ”
เขมินท์เพ่งมองของในมือที่อีกฝ่ายคว้าขึ้นมาเงื้อง้าอยู่ตรงหน้า จากที่ตั้งใจแกล้งตอนแรกก็หลุดหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง
“ช้อนตักข้าวต้ม นี่คุณหนูมุก คงกะตีหัวผมให้แตกด้วยช้อนตักข้าวต้มนั่นเลยสินะ” นายเขมินท์พูดไปทั้งที่ยังไม่หยุดหัวเราะ จนหญิงสาวเริ่มรู้สึกร้อนขึ้นมาที่ใบหน้า ก่อนจะลามไปทั่วทั้งตัว
“ฉันก็ใช้มันปาหัวคุณได้ละกัน”
“เก็บช้อนไปตักข้าวต้มอย่างเดิมเถอะหนูมุก ผมไปรอที่รถก่อน ให้เวลากินข้าว อีก 10 นาที แล้วก็ตามผมไปนะครับ ” สั่งแล้วคนขี้แกล้งก็โค้งให้แล้วหมุนตัวเดินไปทางประตู ไม่วายหันกลับมามองอีกฝ่ายตาพราวด้วยความขบขัน “แล้วไม่ต้องไปหยิบส้อมมาจิ้มพุงผมละ ผมกลัว!”
ทิ้งให้หญิงสาวยืนฮึดฮัดด้วยความโกรธกึ่งอับอาย หันไปขวางค้อนวงเบอเร้อให้กับเหล่ากองเชียร์อย่างงอนๆ เมื่อเห็นอองตองหันไปหัวเราะคิกคักกับสาวน้อยอีกคนหนึ่งที่เธอจำได้ว่าชื่อเกี๋ยงคำ แล้วยังมีป้าบัวซอนที่ยืนอมยิ้มตาพราวอยู่ข้างๆกัน พอนึกถึงดวงตาแพรวพราวขบขันเพราะสนุกที่ได้แกล้งคนแล้วมุกรวีก็ไม่มีอารมณ์จะกินต่อ จึงตัดสินใจเดินตามคนตัวโตออกไป
รถกะบะสีดำแดงคันใหญ่ เคลื่อนตัวเข้ามาบริเวณโรงแรมดุจธารารีสอร์ต พารถจอดสนิทเรียบร้อยแล้ว เขมินท์ก้าวนำลงจากรถพาหญิงสาวเข้าสู่ตัวโรงแรมดุจธารารีสอร์ต
“แต่เดิม กิจการของเรามีแค่ส่วนที่เป็นไร่จันทร์ฉาย ส่วนดุจธารารีสอร์ตนายผาเป็นคนก่อร่างที่นี่ขึ้น เราพึ่งเริ่มเปิดตัวที่นี่มาได้แค่ 4 – 5 ปี” ชายหนุ่มอธิบายให้มุกรวีฟังไป พร้อมๆกับทักทายพนักงานในโรงแรมเป็นระยะๆ
“เราสองคนเลยมีการแบ่งส่วนงานรับผิดชอบชัดเจน นายผาบริหารที่นี่ ส่วนผมจะเข้ามาช่วยบ้างเป็นครั้งคราว แต่งานหลักๆจะอยู่ที่ไร่เป็นส่วนใหญ่”
“แสดงว่างานของฉันคงไม่ได้อยู่ที่นี่”
“ใช่ ฉลาดนิคุณ ดี ผมชอบคนฉลาด” น้ำเสียงชายหนุ่มติดไปทางจะยียวน ไม่ได้ชื่นชมตามคำพูดแม้แต่น้อย
“แล้วคุณพาฉันมาที่นี่ทำไม”
“ผมพาคุณมาที่นี่ก่อน เพราะผมต้องมาติดต่องาน ดังนั้นอย่าพึ่งดีใจไป ว่าจะได้นั่งทำงานในห้องแอร์หรูๆ มีหน้าที่แค่เสิร์ฟของว่างกับกาแฟ” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับรอยยิ้มยียวนอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาที่เธอเห็นจนชินตา “แม่วัวพันธุ์ดีของผม คงดีใจที่จะมีสาวน้อยหน้าใสอย่างคุณไปอาบน้ำแปรงขนให้แทนพวกคนงานหน้าเหี้ยมๆในไร่”
“คิดว่าฉันจะกลัวหรือไง”
ชายหนุ่มไม่ตอบ ยักไหล่ให้ที บอกให้เธอรออยู่ข้างล่าง แล้วก็พาตัวเองเดินกลั้นยิ้มขึ้นลิฟต์ไป ทิ้งให้เธอยืนระแวงกับความเจ้าเล่ห์ของเขาอยู่คนเดียว
รออยู่พักใหญ่ๆนายเขมินท์เดินกลับเข้ามาเรียกเธอให้เดินตามขึ้นรถ แต่ก็เจอกับหญิงสาวคนที่มุกรวีจำได้ว่าเป็นคนที่เคยเกือบจะฉายหนังสดกับนายเขมให้เธอดู แม่นางแบบวิกกี้นั่นเอง วันนี้เธอมาในชุดผ้าแนบเนื้ออวดรูปร่างสมส่วน โดยเฉพาะบริเวณช่วงอกที่มัน ‘เต่ง’ เสียจนน่ากลัวว่ามันอาจจะแตก แล้วยังดวงตาและท่าทีเย้ายวนใจนั่นอีก ทำให้เธอนึกถึงหนังเรื่องหนึ่งที่มีผู้หญิงแต่งตัววาบหวิวมีหูแมวอยู่บนหัว มาพร้อมกับแส้ที่เอาไว้กระตุ้นอารมณ์ยามระเริงรักกับชายหนุ่ม
...หรือนายเขมอะไรนี่อาจจะมีรสนิยมแบบนั้น เป็นไปได้..ขนาดที่จอดรถยังไม่เว้น เรื่องวิตถารอะไรแบบนี้ก็คงชอบอยู่หรอก
และก่อนที่ความคิดจิตนาการพิสดารของเธอจะเตลิดไปไกล นางแบบสาวก็ตรงเข้าโอบรอบคอของชายหนุ่มไม่ให้ทันตั้งตัว พร้อมส่งยิ้มหวานหยาดเยิ้มให้ชายหนุ่ม โดยไม่ได้เหลียวมามองทางมุกรวีเลยแม้แต่น้อย
“มินนี่ ไอนึกแล้วว่าไอต้องได้เจอยูที่นี่”
“สวัสดีวิกกี้ คุณมาได้ยังไงนะ” ดุจะเขมถามทั้งๆที่ยังตกใจ
“ไอก็ตามยูมายังไงละ ยูเล่นหนีไอกลับมาไม่บอกไม่กล่าวกันเลย ปล่อยให้ไอรอเก้อ” หญิงสาวต่อว่าแสดงท่าทีแสนงอนแบบที่ตัวเองคิดว่าน่าเอ็นดูที่สุด
“ขอโทษนะวิกกี้ ผมมีธุระเลยต้องรีบกลับมา” ชายหนุ่มพยายามแซะแขนของอีกฝ่ายจากรอบคอของตัวเอง
“ธุระของยูสำคัญ ถึงขนาดทิ้งไอได้ลงคอเลยหรอ”
“อ่า ครับ ขอโทษนะวิ้กกี้” ชายหนุ่มพูด โดยที่ยังไม่เลิกความพยายามที่จะแกะมือของอีกฝ่ายที่เปลี่ยนจากโอบรอบคอมาเป็นเกาะแขนของเขาแทน
“แหม ไอยกโทษให้ยูก็ได้ แต่วันนี้ยูต้องพาไอไปเที่ยวเป็นการไถ่โทษ โอเค?”
“วันนี้ผมไม่ว่างนะวิกกี้”
“ยูก็ไม่มีเวลาให้ไอตลอดเลย” วิกกี้ตัดพ้อเบียดตัวเข้าคลอเคลียชายหนุ่มมากขึ้นไปอีก ตาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวอีกคนที่ยืนยิ้มอย่างขบขัน “เอ๊ะ! นั่น...”
“ไฮ เจอกันอีกแล้วนะ” หญิงสาวทักกลับไปด้วยท่าทางกวนประสาท
“อึ่ยย แก๊!! ..มินนี่! นี่มันคนที่มันให้เงินไอมาสามร้อย ไอจำมันได้!!”
นางแบบสาวปล่อยมือจากเขมินท์แทบจะทันที เตรียมจะพุ่งเข้าหา หญิงสาวเองก็ตั้งท่ารอรับอยู่แล้ว แต่เขมินท์ไวกว่าเอื้อมมือไปคว้าตัวมุกรวี แล้วดึงออกมาให้พ้นจากปลายเล็บของอีกฝ่ายอย่างฉิวเฉียด
“หยุดนะ วิกกี้” ชายหนุ่มปรามเสียงเข้ม นางแบบสาวจึงลดท่าทีเกรี้ยวกราดลง
“ยูรู้จักยายผู้หญิงปากร้ายนี่ด้วยหรือค่ะ”
“วิกกี้ ผมยังไม่ได้แนะนำ มุกรวี เป็นคู่หมั้นผมเอง” เขมินท์จงใจเน้นหนักที่คำว่า ‘คู่หมั้น’ เป็นพิเศษ มุกรวีที่รู้ตัวว่าถูกใช้เป็นไม้กันนังเหมียวตัวนั้น ก็พยายามขืนตัวออกพลางทำตาโต เขียวปั๊ด ทั้งหยิก ทั้งศอกเป็นพัลวัน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สะทกสะท้านยิ่งโอบหญิงสาวแนบแน่นเข้าไปอีก
“คู่หมั้น!? ยูมีคู่หมั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไอไม่รู้!”
“ผมเองก็พึ่งรู้ ..เอ๊ย!! ไม่ใช่ ก็ผมกำลังจะบอกคุณอยู่นี่ไง ผู้ใหญ่ของเราสองคนหมั้นหมายเราไว้ให้กันตั้งนานแล้ว” เขมินท์ตอบอย่างรวดเร็ว
“ไอไม่เชื่อ อยู่ๆยูจะไปเป็นคู่หมั้นกับแม่นี่ได้ยังไง เจอกันคราวที่แล้วยังไม่รู้จักกันอยู่เลย” วิ้กกี้ทำท่าจะกระโจนมาหามุกรวีอีก หญิงสาวเองก็ทำท่าจะไม่ยอมพร้อมตอกกลับเต็มที่หากอีกฝ่ายล่วงล้ำเข้ามาถึงตัว ชายหนุ่มจึงต้องดึงเธอไว้ ดันไปด้านหลังก่อนเอ่ย
“ก็คราวที่แล้วเธอกำลังงอนผมอยู่ นี่ไงละสาเหตุที่ผมขึ้นกรุงเทพไปครั้งนั้น เพื่อไปง้อเธอ”
“ไม่จริง”
“มันเป็นความจริงวิกกี้ และตอนนี้เราสองคนก็เข้าใจกันดีแล้ว จริงมั้ยครับมุก” เขมินท์เอ่ยเสียงอ่อนหวานประกายบางอย่างในดวงตาส่งให้ใจหญิงสาวสั่นไหวขึ้นมาอย่างประหลาด ก่อนจะกลบเกลื่อนด้วยการทำเมินเฉยไม่รู้ไม่ชี้ไปเสีย
“ถ้าวิกกี้ไม่เชื่อ จะให้ผมจูบโชว์ตรงนี้เลยก็ได้นะ”
เท่านั้นเองมุกรวีสะดุ้ง เฮือก หันมองอีกฝ่ายตาโต พอดีกับที่เขมินท์หันมายิ้มหวานแต่ตาคมปลาบตวัดมาเป็นเชิงเตือน ...ถ้าไม่ยอมร่วมด้วยช่วยกันรอด ฉันจูบเธอจริงๆแน่ ยัยหนูมุก!!
เห็นท่าทางเอาจริงของอีกฝ่ายแล้ว เพื่อเห็นแก่สวัสดิภาพ ประกอบกับท่าทางของผู้ชายข้างตัวที่แสดงออกว่าไม่ได้ยินดีปรีดาที่ได้เจอฝ่ายนั้นนัก แม้จะแปลกใจแต่มุกรวีก็ยอมเออออตามไปอย่างช่วยไม่ได้
“เชื่อเถอะค่ะ เราออกจะรักกันปานจะกลืนกิน!” มุกรวีกัดฟันพูดแอบเอื้อมมือไปจิกเนื้อคนข้างๆ บิดอย่างเมามัน
“มินนี่ ยูใจร้ายกับไอมากเลยนะ”
“ผมขอโทษนะวิกกี้ แต่ผมมีคู่หมั้นแล้ว คุณอย่าเสียเวลากับผมเลยนะ
“ได้ยังไง วิกกี้ไม่ยอม!!”
“ผมก็คงห้ามคุณไม่ได้ แต่ยังไงเราสองคนขอตัวก่อนนะวิกกี้ พอดีเรากำลังรีบ!”
ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบอะไร เขมินท์รีบฉุดพามุกรวีเดินลิ่วๆ หญิงสาวเองก็ยอมเดินตามมาแต่ก็ยังไม่วายหันไปโบกมือแหย่งๆ พลางยักคิ้วให้อีกสองสามทีให้นางแบบสาวที่กำลังยืนอึ้ง งงเป็นไก่ตาแตก!
“ทำไมคุณต้องหนีคุณนางแบบคนนั้นด้วย แฟนคุณไม่ใช่หรอคะ มินนี่”ทันทีที่ขึ้นรถมามุกรวีก็เอ่ยปากถามข้อข้องใจ ยังกวนประสาททิ้งท้ายเล็กๆ
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ”
“มันจะไม่ใช่เรื่องของฉันได้ยังไง ในเมื่อคุณใช้ฉันเป็นไม้กันแม่นางแบบนั่น แถมเขายังมองตามฉันซะตาคว่ำตาหงาย นี่ถ้าฉันโดนสาปแช่งเผาพริกเผาเกลือต้องโทษคุณคนเดียวเลย”
“เราไม่ได้เป็นอะไรกัน วิกกี้เขา เอ่อ..”
“ชอบคุณ” เห็นท่าทางอึกอัก มุกรวีจึงต่อให้ “ฉันเห็นเธอเกาะคุณจนแทบจะรวมร่างกันอยู่ละ เธอคงชอบคุณมาก”
“ประมาณนั้น” ชายหนุ่มตอบรับผ่านๆ ไม่อยากพูดถึงนางแบบสาวในทางเสียหายนัก “แต่ผมก็ไม่ได้โกหกเขา ที่ผมบอกเขาว่าคุณเป็นคู่หมั้นผมนั่นก็เป็นเรื่องจริง”
“เฮอะ จ้างให้ฉันก็ไม่ยอมรับหรอก เรื่องคู่หมั้นอะไรนั่น มีอย่างที่ไหน หน้าคุณฉันก็พึ่งจะเคยเห็น ”
“ผมเองก็ไม่เคยรู้จักคุณมาก่อนเหมือนกัน” ชายหนุ่มพูดพลางครุ่นคิด “น่าแปลกก่อนหน้านี้แม่ไม่เคยพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเลย แต่อยู่ๆผมก็มีคุณเป็นคู่หมั้นผุดขึ้นมาได้”
“พูดให้ดีๆ ผุดอะไร คนไม่ใช่ดอกเห็ด” หญิงสาวหญิงสาวว่า ชายหนุ่มยิ้ม
“จะว่าไปโลกมันก็กลมเหมือนกันนะเนี่ย”
“ฉันว่ามันแคบมากกว่า คนมีเป็นร้อย ทำไมต้องเป็นคุณด้วยก็ไม่รู้” หญิงสาวพูดอย่างหน่ายๆ
“พรหมลิขิตมั้งคุณ”
“กรรมเก่าของฉันละสิไม่ว่า”
“ย้อนทุกคำ ปากคุณนี่มัน...”
“มันทำไม?” หญิงสาวหันมาเขวี้ยงค้อนใส่ แล้วพูดด้วยหน้าจริงจัง “ฉันรู้ว่าคุณไม่ได้อยากจะแต่งงานกันฉันนักหรอก”
“อืมม แสนรู้...”
“คุณ! ฉันจริงจังนะ ในเมื่อเราก็ไม่ได้เต็มใจแต่งงานกัน งั้นทำไมเราไม่ยกเลิกเรื่องบ้าๆนี่แล้วต่างฝ่ายต่างไปละ”
“ก็น่าคิด แต่ผมยกเลิกตอนนี้ไม่ได้หรอกนะ คุณต้องอยู่เป็นคู่หมั้นผมต่อไปจนครบสามเดือน!”
“ทำไม มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะต้องมาติดแหง็กอยู่กับคุณที่นี่ถึงสามเดือน”
“ผมมีข้อตกลงบางอย่างกับแม่”
กลร้าย อุบัติรัก บทที่ ๔
เขียนโดย ขอจันทร์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บทที่ ๔
เช้าวันใหม่เป็นวันเริ่มงานวันแรกของมุกรวีในการเป็นผู้ช่วยของเขมินท์ มุกรวีตื่นแต่เช้ามาอาบน้ำแต่งตัวหญิงสาวเลือกเสื้อแขนยาวสีขาว กับกางเกงยีนส์ เพื่อให้ทะมัดทะแม่งกว่าปกติสักหน่อย เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ลงมาข้างล่าง เดินเข้าไปช่วยบัวซอน หรือแม่อุ้ยของอองแม่บ้านคนเก่าคนแก่ประจำบ้านที่เดินถือโถข้าวต้มส่งกลิ่นหอมฉุยเข้ามา
มุกรวีนั่งลงที่โต๊ะก่อนจะลงมือจัดการมื้อเช้าตรงหน้า ทานไปได้เพียงสามสี่คำ ชายหนุ่มร่างสูงที่ส่งยิ้มยียวนกวนประสาทเธอเสียจนจำติดตาก็เดินลงบันไดมา
“ป้าบัวคนสวย มื้อเช้าวันนี้เป็นอะไรเอ่ย?” มาถึงก็ส่งเสียงออดอ่อนบัวซอน แล้วนั่งลงที่ด้านตรงข้ามมองสำรวจการแต่งตัวของอีกฝ่ายก่อนจะยิ้มออกมาอย่างพอใจ “สวัสดีตอนเช้าครับ เมื่อคืนหลับสบายมั้ย หนูมุก”
มุกรวีพยายามไม่สนใจเสียงที่จงใจเน้นคำว่า ‘หนูมุก’ ของอีกฝ่าย ด้วยตั้งใจไว้แล้วว่าจะ อยู่ห่างๆนายเขมินท์คนนี้ไว้ให้มากที่สุด ไม่ต่อความยาวสาวความยืดใดๆ เพื่อตัดความรำคาญใจ
“อ้าว คนเขาพูดด้วยก็ไม่ยอมพูด ” ยียวนมุกรวี แล้วก็หันขวับไปทางบัวซอน แหย่ทีเล่นทีจริง “ว้า สงสัยหนูมุกของคุณนายจันทร์ฉายจะเป็นใบ้ไปซะแล้ว สงสัยจะกลัวไม่กล้าต่อปากต่อคำกับใคร เลยชิงเป็นใบ้ไปซะก่อน”
“ถ้าฉันเป็นใบ้ ก็คงเพราะฉันต้องกัดลิ้นตัวเองไม่ให้เผลอไปด่าคนบ้ากามแถวนี้!”
“หรอ ไหนๆผมก็บ้ากามแล้ว งั้นให้ผมจะช่วยกัดลิ้นคุณดีมั้ย” เดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายพูดเล่นหรือจริง แต่พอพูดจบเขมินท์ก็ลุกพรวดขึ้น! ทำเอาหญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามสะดุ้งลุกตาม หลับหูหลับตาคว้าเอาของใกล้ตัวมากุมไว้ราวกับจะใช้มันเป็นอาวุธ
“คุณเขม! หยุดอยู่ตรงนั้นเลย ไม่งั้น ฉันสู้นะ!! ”
เขมินท์เพ่งมองของในมือที่อีกฝ่ายคว้าขึ้นมาเงื้อง้าอยู่ตรงหน้า จากที่ตั้งใจแกล้งตอนแรกก็หลุดหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง
“ช้อนตักข้าวต้ม นี่คุณหนูมุก คงกะตีหัวผมให้แตกด้วยช้อนตักข้าวต้มนั่นเลยสินะ” นายเขมินท์พูดไปทั้งที่ยังไม่หยุดหัวเราะ จนหญิงสาวเริ่มรู้สึกร้อนขึ้นมาที่ใบหน้า ก่อนจะลามไปทั่วทั้งตัว
“ฉันก็ใช้มันปาหัวคุณได้ละกัน”
“เก็บช้อนไปตักข้าวต้มอย่างเดิมเถอะหนูมุก ผมไปรอที่รถก่อน ให้เวลากินข้าว อีก 10 นาที แล้วก็ตามผมไปนะครับ ” สั่งแล้วคนขี้แกล้งก็โค้งให้แล้วหมุนตัวเดินไปทางประตู ไม่วายหันกลับมามองอีกฝ่ายตาพราวด้วยความขบขัน “แล้วไม่ต้องไปหยิบส้อมมาจิ้มพุงผมละ ผมกลัว!”
ทิ้งให้หญิงสาวยืนฮึดฮัดด้วยความโกรธกึ่งอับอาย หันไปขวางค้อนวงเบอเร้อให้กับเหล่ากองเชียร์อย่างงอนๆ เมื่อเห็นอองตองหันไปหัวเราะคิกคักกับสาวน้อยอีกคนหนึ่งที่เธอจำได้ว่าชื่อเกี๋ยงคำ แล้วยังมีป้าบัวซอนที่ยืนอมยิ้มตาพราวอยู่ข้างๆกัน พอนึกถึงดวงตาแพรวพราวขบขันเพราะสนุกที่ได้แกล้งคนแล้วมุกรวีก็ไม่มีอารมณ์จะกินต่อ จึงตัดสินใจเดินตามคนตัวโตออกไป
รถกะบะสีดำแดงคันใหญ่ เคลื่อนตัวเข้ามาบริเวณโรงแรมดุจธารารีสอร์ต พารถจอดสนิทเรียบร้อยแล้ว เขมินท์ก้าวนำลงจากรถพาหญิงสาวเข้าสู่ตัวโรงแรมดุจธารารีสอร์ต
“แต่เดิม กิจการของเรามีแค่ส่วนที่เป็นไร่จันทร์ฉาย ส่วนดุจธารารีสอร์ตนายผาเป็นคนก่อร่างที่นี่ขึ้น เราพึ่งเริ่มเปิดตัวที่นี่มาได้แค่ 4 – 5 ปี” ชายหนุ่มอธิบายให้มุกรวีฟังไป พร้อมๆกับทักทายพนักงานในโรงแรมเป็นระยะๆ
“เราสองคนเลยมีการแบ่งส่วนงานรับผิดชอบชัดเจน นายผาบริหารที่นี่ ส่วนผมจะเข้ามาช่วยบ้างเป็นครั้งคราว แต่งานหลักๆจะอยู่ที่ไร่เป็นส่วนใหญ่”
“แสดงว่างานของฉันคงไม่ได้อยู่ที่นี่”
“ใช่ ฉลาดนิคุณ ดี ผมชอบคนฉลาด” น้ำเสียงชายหนุ่มติดไปทางจะยียวน ไม่ได้ชื่นชมตามคำพูดแม้แต่น้อย
“แล้วคุณพาฉันมาที่นี่ทำไม”
“ผมพาคุณมาที่นี่ก่อน เพราะผมต้องมาติดต่องาน ดังนั้นอย่าพึ่งดีใจไป ว่าจะได้นั่งทำงานในห้องแอร์หรูๆ มีหน้าที่แค่เสิร์ฟของว่างกับกาแฟ” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับรอยยิ้มยียวนอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาที่เธอเห็นจนชินตา “แม่วัวพันธุ์ดีของผม คงดีใจที่จะมีสาวน้อยหน้าใสอย่างคุณไปอาบน้ำแปรงขนให้แทนพวกคนงานหน้าเหี้ยมๆในไร่”
“คิดว่าฉันจะกลัวหรือไง”
ชายหนุ่มไม่ตอบ ยักไหล่ให้ที บอกให้เธอรออยู่ข้างล่าง แล้วก็พาตัวเองเดินกลั้นยิ้มขึ้นลิฟต์ไป ทิ้งให้เธอยืนระแวงกับความเจ้าเล่ห์ของเขาอยู่คนเดียว
รออยู่พักใหญ่ๆนายเขมินท์เดินกลับเข้ามาเรียกเธอให้เดินตามขึ้นรถ แต่ก็เจอกับหญิงสาวคนที่มุกรวีจำได้ว่าเป็นคนที่เคยเกือบจะฉายหนังสดกับนายเขมให้เธอดู แม่นางแบบวิกกี้นั่นเอง วันนี้เธอมาในชุดผ้าแนบเนื้ออวดรูปร่างสมส่วน โดยเฉพาะบริเวณช่วงอกที่มัน ‘เต่ง’ เสียจนน่ากลัวว่ามันอาจจะแตก แล้วยังดวงตาและท่าทีเย้ายวนใจนั่นอีก ทำให้เธอนึกถึงหนังเรื่องหนึ่งที่มีผู้หญิงแต่งตัววาบหวิวมีหูแมวอยู่บนหัว มาพร้อมกับแส้ที่เอาไว้กระตุ้นอารมณ์ยามระเริงรักกับชายหนุ่ม
...หรือนายเขมอะไรนี่อาจจะมีรสนิยมแบบนั้น เป็นไปได้..ขนาดที่จอดรถยังไม่เว้น เรื่องวิตถารอะไรแบบนี้ก็คงชอบอยู่หรอก
และก่อนที่ความคิดจิตนาการพิสดารของเธอจะเตลิดไปไกล นางแบบสาวก็ตรงเข้าโอบรอบคอของชายหนุ่มไม่ให้ทันตั้งตัว พร้อมส่งยิ้มหวานหยาดเยิ้มให้ชายหนุ่ม โดยไม่ได้เหลียวมามองทางมุกรวีเลยแม้แต่น้อย
“มินนี่ ไอนึกแล้วว่าไอต้องได้เจอยูที่นี่”
“สวัสดีวิกกี้ คุณมาได้ยังไงนะ” ดุจะเขมถามทั้งๆที่ยังตกใจ
“ไอก็ตามยูมายังไงละ ยูเล่นหนีไอกลับมาไม่บอกไม่กล่าวกันเลย ปล่อยให้ไอรอเก้อ” หญิงสาวต่อว่าแสดงท่าทีแสนงอนแบบที่ตัวเองคิดว่าน่าเอ็นดูที่สุด
“ขอโทษนะวิกกี้ ผมมีธุระเลยต้องรีบกลับมา” ชายหนุ่มพยายามแซะแขนของอีกฝ่ายจากรอบคอของตัวเอง
“ธุระของยูสำคัญ ถึงขนาดทิ้งไอได้ลงคอเลยหรอ”
“อ่า ครับ ขอโทษนะวิ้กกี้” ชายหนุ่มพูด โดยที่ยังไม่เลิกความพยายามที่จะแกะมือของอีกฝ่ายที่เปลี่ยนจากโอบรอบคอมาเป็นเกาะแขนของเขาแทน
“แหม ไอยกโทษให้ยูก็ได้ แต่วันนี้ยูต้องพาไอไปเที่ยวเป็นการไถ่โทษ โอเค?”
“วันนี้ผมไม่ว่างนะวิกกี้”
“ยูก็ไม่มีเวลาให้ไอตลอดเลย” วิกกี้ตัดพ้อเบียดตัวเข้าคลอเคลียชายหนุ่มมากขึ้นไปอีก ตาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวอีกคนที่ยืนยิ้มอย่างขบขัน “เอ๊ะ! นั่น...”
“ไฮ เจอกันอีกแล้วนะ” หญิงสาวทักกลับไปด้วยท่าทางกวนประสาท
“อึ่ยย แก๊!! ..มินนี่! นี่มันคนที่มันให้เงินไอมาสามร้อย ไอจำมันได้!!”
นางแบบสาวปล่อยมือจากเขมินท์แทบจะทันที เตรียมจะพุ่งเข้าหา หญิงสาวเองก็ตั้งท่ารอรับอยู่แล้ว แต่เขมินท์ไวกว่าเอื้อมมือไปคว้าตัวมุกรวี แล้วดึงออกมาให้พ้นจากปลายเล็บของอีกฝ่ายอย่างฉิวเฉียด
“หยุดนะ วิกกี้” ชายหนุ่มปรามเสียงเข้ม นางแบบสาวจึงลดท่าทีเกรี้ยวกราดลง
“ยูรู้จักยายผู้หญิงปากร้ายนี่ด้วยหรือค่ะ”
“วิกกี้ ผมยังไม่ได้แนะนำ มุกรวี เป็นคู่หมั้นผมเอง” เขมินท์จงใจเน้นหนักที่คำว่า ‘คู่หมั้น’ เป็นพิเศษ มุกรวีที่รู้ตัวว่าถูกใช้เป็นไม้กันนังเหมียวตัวนั้น ก็พยายามขืนตัวออกพลางทำตาโต เขียวปั๊ด ทั้งหยิก ทั้งศอกเป็นพัลวัน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สะทกสะท้านยิ่งโอบหญิงสาวแนบแน่นเข้าไปอีก
“คู่หมั้น!? ยูมีคู่หมั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไอไม่รู้!”
“ผมเองก็พึ่งรู้ ..เอ๊ย!! ไม่ใช่ ก็ผมกำลังจะบอกคุณอยู่นี่ไง ผู้ใหญ่ของเราสองคนหมั้นหมายเราไว้ให้กันตั้งนานแล้ว” เขมินท์ตอบอย่างรวดเร็ว
“ไอไม่เชื่อ อยู่ๆยูจะไปเป็นคู่หมั้นกับแม่นี่ได้ยังไง เจอกันคราวที่แล้วยังไม่รู้จักกันอยู่เลย” วิ้กกี้ทำท่าจะกระโจนมาหามุกรวีอีก หญิงสาวเองก็ทำท่าจะไม่ยอมพร้อมตอกกลับเต็มที่หากอีกฝ่ายล่วงล้ำเข้ามาถึงตัว ชายหนุ่มจึงต้องดึงเธอไว้ ดันไปด้านหลังก่อนเอ่ย
“ก็คราวที่แล้วเธอกำลังงอนผมอยู่ นี่ไงละสาเหตุที่ผมขึ้นกรุงเทพไปครั้งนั้น เพื่อไปง้อเธอ”
“ไม่จริง”
“มันเป็นความจริงวิกกี้ และตอนนี้เราสองคนก็เข้าใจกันดีแล้ว จริงมั้ยครับมุก” เขมินท์เอ่ยเสียงอ่อนหวานประกายบางอย่างในดวงตาส่งให้ใจหญิงสาวสั่นไหวขึ้นมาอย่างประหลาด ก่อนจะกลบเกลื่อนด้วยการทำเมินเฉยไม่รู้ไม่ชี้ไปเสีย
“ถ้าวิกกี้ไม่เชื่อ จะให้ผมจูบโชว์ตรงนี้เลยก็ได้นะ”
เท่านั้นเองมุกรวีสะดุ้ง เฮือก หันมองอีกฝ่ายตาโต พอดีกับที่เขมินท์หันมายิ้มหวานแต่ตาคมปลาบตวัดมาเป็นเชิงเตือน ...ถ้าไม่ยอมร่วมด้วยช่วยกันรอด ฉันจูบเธอจริงๆแน่ ยัยหนูมุก!!
เห็นท่าทางเอาจริงของอีกฝ่ายแล้ว เพื่อเห็นแก่สวัสดิภาพ ประกอบกับท่าทางของผู้ชายข้างตัวที่แสดงออกว่าไม่ได้ยินดีปรีดาที่ได้เจอฝ่ายนั้นนัก แม้จะแปลกใจแต่มุกรวีก็ยอมเออออตามไปอย่างช่วยไม่ได้
“เชื่อเถอะค่ะ เราออกจะรักกันปานจะกลืนกิน!” มุกรวีกัดฟันพูดแอบเอื้อมมือไปจิกเนื้อคนข้างๆ บิดอย่างเมามัน
“มินนี่ ยูใจร้ายกับไอมากเลยนะ”
“ผมขอโทษนะวิกกี้ แต่ผมมีคู่หมั้นแล้ว คุณอย่าเสียเวลากับผมเลยนะ
“ได้ยังไง วิกกี้ไม่ยอม!!”
“ผมก็คงห้ามคุณไม่ได้ แต่ยังไงเราสองคนขอตัวก่อนนะวิกกี้ พอดีเรากำลังรีบ!”
ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบอะไร เขมินท์รีบฉุดพามุกรวีเดินลิ่วๆ หญิงสาวเองก็ยอมเดินตามมาแต่ก็ยังไม่วายหันไปโบกมือแหย่งๆ พลางยักคิ้วให้อีกสองสามทีให้นางแบบสาวที่กำลังยืนอึ้ง งงเป็นไก่ตาแตก!
“ทำไมคุณต้องหนีคุณนางแบบคนนั้นด้วย แฟนคุณไม่ใช่หรอคะ มินนี่”ทันทีที่ขึ้นรถมามุกรวีก็เอ่ยปากถามข้อข้องใจ ยังกวนประสาททิ้งท้ายเล็กๆ
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ”
“มันจะไม่ใช่เรื่องของฉันได้ยังไง ในเมื่อคุณใช้ฉันเป็นไม้กันแม่นางแบบนั่น แถมเขายังมองตามฉันซะตาคว่ำตาหงาย นี่ถ้าฉันโดนสาปแช่งเผาพริกเผาเกลือต้องโทษคุณคนเดียวเลย”
“เราไม่ได้เป็นอะไรกัน วิกกี้เขา เอ่อ..”
“ชอบคุณ” เห็นท่าทางอึกอัก มุกรวีจึงต่อให้ “ฉันเห็นเธอเกาะคุณจนแทบจะรวมร่างกันอยู่ละ เธอคงชอบคุณมาก”
“ประมาณนั้น” ชายหนุ่มตอบรับผ่านๆ ไม่อยากพูดถึงนางแบบสาวในทางเสียหายนัก “แต่ผมก็ไม่ได้โกหกเขา ที่ผมบอกเขาว่าคุณเป็นคู่หมั้นผมนั่นก็เป็นเรื่องจริง”
“เฮอะ จ้างให้ฉันก็ไม่ยอมรับหรอก เรื่องคู่หมั้นอะไรนั่น มีอย่างที่ไหน หน้าคุณฉันก็พึ่งจะเคยเห็น ”
“ผมเองก็ไม่เคยรู้จักคุณมาก่อนเหมือนกัน” ชายหนุ่มพูดพลางครุ่นคิด “น่าแปลกก่อนหน้านี้แม่ไม่เคยพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเลย แต่อยู่ๆผมก็มีคุณเป็นคู่หมั้นผุดขึ้นมาได้”
“พูดให้ดีๆ ผุดอะไร คนไม่ใช่ดอกเห็ด” หญิงสาวหญิงสาวว่า ชายหนุ่มยิ้ม
“จะว่าไปโลกมันก็กลมเหมือนกันนะเนี่ย”
“ฉันว่ามันแคบมากกว่า คนมีเป็นร้อย ทำไมต้องเป็นคุณด้วยก็ไม่รู้” หญิงสาวพูดอย่างหน่ายๆ
“พรหมลิขิตมั้งคุณ”
“กรรมเก่าของฉันละสิไม่ว่า”
“ย้อนทุกคำ ปากคุณนี่มัน...”
“มันทำไม?” หญิงสาวหันมาเขวี้ยงค้อนใส่ แล้วพูดด้วยหน้าจริงจัง “ฉันรู้ว่าคุณไม่ได้อยากจะแต่งงานกันฉันนักหรอก”
“อืมม แสนรู้...”
“คุณ! ฉันจริงจังนะ ในเมื่อเราก็ไม่ได้เต็มใจแต่งงานกัน งั้นทำไมเราไม่ยกเลิกเรื่องบ้าๆนี่แล้วต่างฝ่ายต่างไปละ”
“ก็น่าคิด แต่ผมยกเลิกตอนนี้ไม่ได้หรอกนะ คุณต้องอยู่เป็นคู่หมั้นผมต่อไปจนครบสามเดือน!”
“ทำไม มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะต้องมาติดแหง็กอยู่กับคุณที่นี่ถึงสามเดือน”
“ผมมีข้อตกลงบางอย่างกับแม่”