กลร้าย อุบัติรัก บทที่ ๑๖

กลร้าย อุบัติรัก บทที่ 16
เขียน... ขอจันทร์

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

    ทั้งคู่เก็บของออกจากโรงแรมตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง จึงมาถึงบ้านตั้งแต่ช่วงสายๆ เจอคุณนายจันทร์ฉายกำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่กับดุจภูผา ทันทีที่เห็นทั้งคู่คุณนายจันทร์ฉายก็รีบลุกขึ้นมาหา

    “เป็นไงบ้างเหนื่อยมั้ยหนูมุก”

    “ถามลูกชายสักคำสิครับ”

    “ถามทำไม แกนะแม่ต้องบ่นซะมากกว่า ดูสิหนูมุกพึ่งออกจากโรงพยาบาลก็พาเขาไปตะลอนๆ ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของเขาสักนิด”

    “เรื่องของเขาโดยตรงเลยต่างหาก แม่ไม่รู้อะไร หนูมุกของแม่นะจุ้นจ้านยุ่งวุ่นวายไปทุกเรื่อง.. โอ๊ย!”

    พูดไม่ทันจบ คนที่ ‘จุ้นจ้านไปทุกเรื่อง’ ก็ทุบลงหลังดังอัก จนต้องร้องเสียงหลง แต่แล้วเจ้าของไร่หนุ่มก็ต้องยิ้มกว้าง เมื่อได้เห็นกำไลข้อมือเส้นบางประดับพลอยสีม่วงบนข้อมืออีกฝ่าย

    “เรื่องแม่เก็จเป็นยังไงบ้าง”

    เขมินท์เริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แม้แต่สาวน้อยอองตองกับป้าบัวซอนก็นั่งพับเพียบเรียบร้อยฟังอยู่ด้วย โดยมีมุกรวีช่วยเสริมเป็นบางช่วง

    “แล้วบอกน้าเก็จเขาจะตอนไหนละลูก” คุณนายจันทร์ฉายเอ่ยถามต่อ

    “ผมอยากบอกน้าเก็จพรุ่งนี้เลยครับ”

    “เอาเวลาคิดหาคำสวยๆก่อนไม่ดีกว่าหรือลูก แม่ละกลัว แค่เขมเอ่ยปากถึงชื่อคุณพิชิตอะไรมันอาจจะลอยมาโขกหัวเอา”

    “ไม่เป็นไรหรอกครับแม่ หมดเรื่องนี้ผมมีเรื่องจะต้องจัดการต่อ เสร็จแล้วจะได้ทวงสัญญาจากใครบางคนสักที” ชายหนุ่มว่าพลางมองไปทางมุกรวี

    “เรื่องอะไรอีกหรือลูก”

    “เรื่องของมุกรวีครับ ..แม่ครับ อีกสองสามวันผมจะพาหนูมุกลงไปกรุงเทพฯ”

    “ตายจริง บอกอาอรุณเขาหรือยังลูก”

    “ยังครับแม่ ผมจะโทรไปบอกอาวันนี้ละครับ”

    “มันจะดีหรือลูก เท่ากับพาน้องไปหาปากเสือเลยนะ”

    “ถ้าคุณตะวันไม่พาไป ยังไงมุกก็จะไปเองอยู่ดีค่ะ” มุกรวีเอ่ยขึ้นบ้าง

    “ถ้าป้าไม่อนุญาตละ..”

    “มุกก็จะหนี” หญิงสาวตอบได้ทันที โดยไม่เสียเวลาคิด

    คุณนายจันทร์ฉายหันไปหาบุตรชายคนโต แล้วก็ได้เห็นสีหน้าสื่อได้ว่า ‘เห็นมั้ย ผมบอกแล้ว’ คุณนายจันทร์ฉายถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อยากจะแกล้งเป็นลมเสียเดี๋ยวนั้น แต่ก็คิดแล้วว่าคงเล่นได้ไม่เนียน

    “เฮ้อ เอาเป็นว่า ตอนนี้ก็ขึ้นไปพักผ่อนก่อนเถอะจ๊ะ หนูมุกด้วยขึ้นไปอาบน้ำอาบท่า นอนพักผ่อนซะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้วนะเรา” คุณนายจันทร์ฉายพูดอย่างเหนื่อยใจ


    เช้าวันรุ่งขึ้นทุกคนที่บ้านใหญ่ทานอาหารเช้ากันเรียบร้อย หลังจากปรึกษากันก็ตกลงกันว่าเขมินท์ และมุกรวีจะเป็นคนไปคุยกับเก็จกระรัตน์ เนื่องจากทั้งคู่เป็นคนที่ได้รับฟังเรื่องราวมาเอง ทั้งคู่เดินไปทางทางเรือนหลังเล็ก เดินตัดสวนไปไม่นาน ก็เจอน้ำหนึ่งกำลังนั่งวาดรูปเงียบๆอยู่ข้างบ้าน

    “หนึ่ง” เขมินท์เรียกพลันใบหน้าเรียบเฉยก็หันมา ก่อนที่ดวงตาจะฉายแววยินดีขึ้นเมื่อเห็นผู้มาเยือน

    “อ้าว พี่เขม คุณมุก สวัสดีค่ะ กลับมากันแล้วหรือคะ หนึ่งได้ยินว่าไปน่านกันมา”

    “พึ่งกลับมาเมื่อวานค่ะ แล้วน้องสาวพี่ทำอะไรอยู่เอ่ย” เขมินท์ยื่นมือวางแหมะลงบนหัวน้องสาว พลางยื่นหน้าเข้าไปดูใกล้ๆ

    “โอ้โห ดอกกล้วยไม้หรือจ๊ะ สวยเชียว”

    “ขอบคุณค่ะพี่เขม” น้ำหนึ่งยิ้มรับ ก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่หนึ่งวาดรูปกระรอก”

    ชายหนุ่มชะงักกึก หันมองใบหน้ายิ้มละไมของน้องสาว แล้วก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆกลบเกลื่อน ไปต่อไม่ถูก มีแต่มุกรวีที่ขำพรืดออกมา

    “คุณหนึ่งครับ พู่กันอันนี้ล้างไม่ออกแล้ว สงสัยเราคงต้องซื้อใหม่...อ้าว”

    “นายแว่น!” มุกรวีอุทานอย่างตกใจ

    “หวัดดี” เรวัตเองก็ตั้งตัวไม่ทัน แต่ก็ไม่ได้มีท่าทางตกใจมากนัก

    “ช่วงที่คุณมุกไม่อยู่ คุณหมออาสามาอยู่เป็นเพื่อนวาดรูปของหนึ่งนะคะ ” น้ำหนึ่งตอบด้วยท่าทีไม่เปลี่ยน ขณะที่เขมินท์เลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ  แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ส่วนมุกรวีนั้นมองเพื่อนชายด้วยสายตาจับผิดก่อนที่จะจัดการลากเพื่อนไปอีกมุมหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก คาดคั้นเสียงเขียว

    “ยังไง”

    “อะไรยังไง” คนเป็นเพื่อนยังทำท่าไม่รู้ไม่ชี้

    “อย่ามาทำเซ่อ แกมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

    “ไม่ได้ยินที่คุณน้ำหนึ่งบอกหรือ ไม่เจอกันแค่แปปเดียว เป็นยายแกหูตึงซะแล้วหรือเนี่ย” ไม่พูดเปล่าชายหนุ่มยังดึงหูอีกฝ่ายเล่น หญิงสาวจึงตอบกลับด้วยเตะอีกฝ่ายเข้าเต็มแข้ง

    “ได้ยิน แต่แกมารู้จักมักจี่ สนิทสนมกันอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

    “ก็ไม่นาน”

    “ไม่นาน แต่ตามเขามาถึงบ้าน ไวไฟนักนะไอ้หมอ เห็นพี่ชายเขามั้ยระวังเถอะจะโดนจับหมกอยู่แถวนี้”

    “เรามาแบบจริงใจ ไม่ได้จะมาหลอกน้องสาวเขาสักหน่อย เขาจะมาว่าอะไร มีแต่แกนั่นแหละถามนู้นถามนี่จู้จี้ไปเรื่อย ทำหน้าที่เป็นว่าที่พี่สะใภ้รึไง”

    “พี่สะใภ้อะไร ฉันถามในฐานะเพื่อนคุณน้ำหนึ่งยะ” ว่าแล้วก็เดินสะบัดกลับไป เรวัตรมองตามไปอยากจะต่อเหลือเกินว่าดูจากสายตาของเขมินท์แล้ว เขาคงไม่ยอมปล่อยให้เธอเป็นเพียงแค่เพื่อนของน้องสาวเขาเป็นแน่ แต่ก็ขี้เกียจต่อความยาว จึงเลือกที่จะไม่เอ่ยอะไรเสีย

    “คุยกันเสร็จแล้วหรือคะ” น้ำหนึ่งถามพลางส่งยิ้มที่เหมือนเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวเธอมาให้

    “เห็นพี่เขมบอกว่ามีธุระกับคุณแม่ งั้นเดี๋ยวน้ำหนึ่งพาไปนะคะ” หญิงสาวว่าพลางลุกขึ้น แต่ก็เกิดหน้ามืดทำท่าเซไป คุณหมอหนุ่มจึงปราดเข้ามาประคองไว้ปากก็ว่า

    “คนไม่ออกกำลังกาย จะหน้ามืดง่ายเพราะความดันต่ำแบบนี้ละครับ” คุณหมอหนุ่มพูดด้วยท่าทีเรื่อยๆ เป็นเชิงบอกกล่าวมากกว่าจะตำหนิ

    “ขอบคุณค่ะ” น้ำหนึ่งตอบรับเบาๆ ใบหน้าแดงซ่านขึ้น ทำให้คุณหมอหนุ่มมองอย่างชอบใจไม่อยากจะปล่อยมือจากแขนบาง มุกรวีมองภาพตรงหน้า กำลังนึกอยากจะขัดบรรยากาศของไอ้เพื่อนตัวแสบด้วยความหมั่นไส้ แต่ก็มีเสียงหนึ่งแหวขึ้นมาซะก่อน

    “ทำอะไรนะ!!” ทุกคนหันไปตามเสียง เจอคุณเก็จกระรัตน์เดินดิ่งมาด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยวเต็มที่ ตรงเข้ากระชากแขนน้ำหนึ่งออกอย่างแรง

    “ผู้ชายคนนี้เป็นใครน้ำหนึ่ง ไปยืนให้มันกอดอยู่ได้ยังไง ทำตัวหน้าไม่อายอย่างนี้เดี๋ยวก็ได้โดนไอ้ผู้ชายเลวๆมันหลอกเสียผู้เสียคนเอา เข้าบ้าน!!”  ว่าแล้วก็ลากกันเข้าไปในบ้าน คนที่เหลือมองหน้ากันอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก ก่อนจะเร่งกันตามไป

    “เดี๋ยวสิครับ ทำไมต้องรุนแรงกันขนาดนี้ด้วย” เข้าบ้านมาคุณหมอหนุ่มวิ่งมาดักหน้าเก็จกระรัตไว้ เก็จกระรัตน์ดึงน้ำหนึ่งไปหลบข้างหลังทันที

    “ไม่ใช่เรื่องของคุณ ออกจากบ้านฉันไปได้แล้ว ไม่อย่างนั้นฉันจะเรียกตำรวจ”

    “ใจเย็นๆก่อนครับน้าเก็จ” เขมินท์ที่เห็นท่าไม่ดีจึงเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย

    “มันเรื่องอะไรกันถึงได้ยกโขยงกันมาบ้านน้า” เก็จกระรัตน์หันมาตวัดเสียงใส่

    “เอ่อ คือ...” ด้วยความที่เกรงใจผู้เป็นน้า เขมินท์จึงไม่รู้จะเริ่มอย่างไร

    “เอาไว้ค่อยคุยกันวันหลัง วันนี้น้ามีเรื่องต้องอบรมน้ำหนึ่ง ให้มันหายโง่จะได้ไม่ถูกผู้ชายชั่วๆหลอกเอาได้ แล้วก็ไม่ต้องมานั่งน้ำตาเช็ดหัวเขาเอาทีหลัง” เก็จกระรัตน์ว่าพลางปรายตาไปทางคุณหมอหนุ่ม

    “เหมือนอย่างที่คุณเก็จเสียใจใช่มั้ยคะ” มุกรวีโพล่งขึ้น เป็นผล เก็จกระรัตน์หยุดอาละวาดหันขวับมาทางหญิงสาวก่อนถามเสียงเครียด

    “เธอพูดเรื่องอะไร”

    “เอ่อ..” มุกรวีที่เผลอหลุดปากไป ได้แต่อึกอัก

    “เธอรู้อะไรมา!” เก็จกระรัตน์ตาวาว ปราดเข้ามาจะจับตัวหญิงสาว แต่เขมินท์เข้ามาขวางหน้ามุกรวีไว้เสียก่อน เธอจึงยอมหยุดมือไว้

    “ผมต้องขอโทษที่ก้าวก่ายเรื่องของน้าเก็จ เราไปบ้านคุณพิชิตมาครับ แล้วเราก็ได้พูดคุยกับคุณมณี เธอฝากอะไรบางอย่างมาถึงน้าเก็จ”

    “นี่พวกเธอมายุ่งเรื่องของฉันทำไม!”

    “เพราะเราห่วงน้าเก็จ กับน้ำหนึ่งนะครับ”

    “ฉันไม่ต้องการรับรู้อะไรทั้งนั้น เก็บความหวังดี ความห่วงใยบ้าบออะไรของเธอไปเถอะ”

    “คุณก็เป็นซะแบบนี้” มุกรวีว่า

    “อะไรนะ”

    “คุณเอาแต่หนีความจริง เพราะคุณเอาแต่หนี ชีวิตคุณมันถึงได้จมอยู่แต่กับความทุกข์ จมคนเดียวไม่พอ ยังลากคุณน้ำหนึ่งจมลงไปด้วย”

    ไวเท่าความคิดหนังสือเล่มหนาถูกปาจากมือเก็จกระรัตน์ ถูกเข้ากลางหน้าผากหญิงสาวเข้าอย่างจัง ท่ามกลางความตกตะลึงของคนรอบข้าง หนังสืออีกเล่มกำลังจะถูกปาออกไปอีก ดีที่คุณหมอกับน้ำหนึ่งคว้าแขนเอาไว้ได้คนละข้าง  ก่อนที่หญิงสาวจะถามผู้เป็นมารดาอย่างสับสน

    “มันเรื่องอะไรกันคะคุณแม่”

    “มันเป็นเรื่องอดีตจะไปฟื้นฝอยหาตะเข็บทำไม มันจบไปตั้งนานแล้ว” เก็จกระรัตน์ยังคงว่าต่อ แต่มีท่าทีอ่อนลงเล็กน้อย เพราะรู้สึกผิดเมื่อเห็นรอยช้ำบนหน้าผากของหญิงสาว

    “มันจบได้ยังไงคะในเมื่อคุณเก็จยังเอามันมาหลอกหลอนชีวิตตัวเองอยู่ แล้วเอาความรู้สึกนั้นไปทิ้งโครมลงกับคุณน้ำหนึ่ง คุณบังคับให้เธออยู่ในกรอบของความผิดพลาดของคุณมาตลอด คุณคิดว่าทุกวันนี้คุณน้ำหนึ่งมีความสุขหรือคะ คุณเคยนับบ้างมั้ยว่าลูกสาวคุณยิ้มอย่างมีความสุขจริงๆสักกี่ครั้งกัน” มุกรวีสบตาคนตรงหน้าแน่ว มือคลำตรงที่ถูกกระแทกปอยๆ

    “เราทุกคนผิดพลาดได้ แต่เราก็ต้องรู้จักยอมรับ และแก้ไขมัน แต่มัวแบกความผิดพลาดนั้นใส่หลังเอาไว้ นับวันก็จะยิ่งทับถมจนวันหนึ่งเราก็จะก้าวเดินต่อไปไม่ได้ ”

    มุกรวีพูดทุกอย่างออกไปอย่างใจคิดแทบไม่ได้หยุดหายใจ แล้วก็ต้องหยุดกลืนน้ำลายอึกใหญ่ พอหายหน้ามืดแล้วก็เริ่มปวดที่หัวหนึบๆขึ้นมา

    เก็จกระรัตน์จ้องคนตรงหน้านิ่ง นิ่งจนหน้ากลัว คุณหมอเห็นท่าไม่ดีรีบโกยเอาทุกอย่างที่มีมวลแข็งและสามารถลอยไปเป็นอาวุธได้ออกไปให้ห่างมืออีกฝ่าย

    “ผู้ชายคนนั้นหลอกฉัน ทำร้ายจิตใจฉัน ทำเหมือนฉันเป็นคนโง่มาตลอด เขาไม่เคยมีความรักความจริงใจให้ฉันเลยจริงๆ” เก็จมณีเปิดปากพรั่งพรูด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด

    “ฉันอาย ไม่อยากพูดถึงมันอีก ฉันไม่อยากให้หนึ่งรู้ไม่อยากให้ใครรู้ พวกเธอจะขุดมันขึ้นมาอีกเพื่ออะไร”

    “อดีตมันมีไว้เพื่อสอนเรา ไม่ใช่เอามันมาทับถมตัวเองจนยืนต่อไปไม่ได้นะคะ”

    “ฉันเสียใจ เขาทำให้ฉันต้องทำร้ายผู้หญิงอีกคนหนึ่งโดยที่ฉันไม่ได้ตั้งใจ คุณมณีคนนั้น ฉันไม่อยากให้ยายหนึ่งเป็นเหมือนฉัน”

    “ชีวิตคนเราก็เหมือนการเดินทางนะคะ เราไม่รู้ว่าทางที่เรากำลังเดินเราจะเจออะไรข้างหน้า อาจจะเป็นเหว เป็นทางตัน หรือเป็นทางที่สวยงามก็ได้ อย่าเอาความผิดพลาดในอดีตของคุณมาตัดสินคุณหนึ่งเลยค่ะ”

    “น้าเก็จครับ ผมอยากให้น้าเปิดใจรับฟังสิ่งหนึ่งดู น้าอาจจะได้รู้อะไรมากกว่าที่คุณเคยรับรู้มาก็ได้ ให้โอกาสคุณพิชิต ให้โอกาสตัวเอง สักครั้ง..”

    “จดหมายจากคุณมณี อยากให้น้าเก็จลองอ่านดู เธอคงมีอะไรอยากจะบอก” เขมินท์ที่เห็นท่าทีผ่อนคลาย แน่ใจว่าจะไม่ฉีกจดหมายที่เขายื่นให้ทิ้ง อีกฝ่ายรับไปอย่างไม่แน่ใจนัก

    เก็จมณีรับจดหมายมาชั่งใจครู่หนึ่งแล้วจึงเปิดอ่าน แล้วสีหน้าเธอก็ค่อยๆเปลี่ยนไปทีละน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนอื่นๆ ดวงตามีแววของความสับสน ไม่แน่ใจ ก่อนที่เขมินท์จะยื่นกล่องใบเล็กๆที่คุณมณีฝากมาให้อีกฝ่าย เก็จกระรัตน์มีสีหน้าตกใจเล็กน้อย แต่ก็รับมาแต่โดยดี เธอพินิจดูกล่องใบเล็กๆนั้น ค่อยๆบรรจงเปิดฝาออกดูข้างใน แล้วทุกคนก็ต้องตกใจ เมื่อน้ำตาใสๆค่อยๆไหลออกมาจากดวงตาคู่งามนั้น

    “..พิช”

    น้ำหนึ่งเห็นท่าทางนั้นก็เข้ามาโอบกอดมารดาเอาไว้ มองกล่องใบนั้นอย่างฉงน ภายในบรรจุรูปของเก็จกระรัตน์ และหล่อนตอนเด็กๆ กับ หากไม่ได้เอ่ยปากถามอะไร เก็จกระรัตน์ก็เป็นฝ่ายเอ่ยออกมาก่อน

    “หนูจำกล่องใบนี้ได้มั้ย” น้ำหนึ่งมองก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ ผู้เป็นแม่จึงยิ้ม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่