ตอนที่ 9
โดย...ล. วิลิศมาหรา
ศักดาชำเลืองดูนาฬิกาบนแผงหน้าปัดคอนโซลรถอีกที เวลานี้ถือว่ายังไม่ดึกมากนัก แต่ก็ไม่แน่ โจรผู้ร้ายบางครั้งมันก็ออกปฏิบัติการชั่วโดยไม่เลือกเวล่ำเวลา ปล้นกลางวันแสก ๆ พวกมันก็ยังเคยทำ นายตำรวจหนุ่มเกร็งตัวระวังภัย ควานหาอาวุธปืนพกสั้นประจำกายบริเวณเอวทันที
แสงไฟจากเสาไฟฟ้าข้างทางส่องสว่างมากพอ เมื่อรถที่ตามหลังเข้าโค้งจึงทำให้รู้ว่าเป็นดวงไฟหน้ารถของรถกระบะคันหนึ่ง ซึ่งจากแสงส่องวูบวาบที่มองเห็นจากกระจกหลังแสดงว่ารถคันนั้นยังวิ่งตามมา ชายหนุ่มเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วรถ เจ้ารถปริศนาก็เร่งเครื่องตาม เขาจึงบึ่งรถหนีเพื่อออกสู่ถนนสายหลักโดยเร็ว ในที่สุดก็แลเห็นสามแยกใหญ่ข้างหน้าอีกไม่ไกลแล้ว ทันใดนั้น รถคันหลังเปิดไฟสูงจนแสงจ้าแสบตาอยู่ในกระจกมองหลัง
“ให้มันได้อย่างนี้สิวะ ห่ะเอ้ย...”
ชายหนุ่มสบถออกมาอย่างเดือดดาล...ชัดแล้วว่าเขากำลังเจอสถานการณ์ไม่ปกติ ถนนเส้นนี้เป็นเพียงถนนสายรองก่อนเลี้ยวเข้าสู่ถนนสายหลัก เพราะฉะนั้นรถคันหลังย่อมไม่ใช่พวกขับซิ่งประลองความเร็วแน่ ๆ จะว่าเขาขับไปเกะกะไร้มารยาทให้โดนหมั่นไส้ เขาก็ไม่ได้มีเรื่องกับรถคันไหนในเส้นทางนี้ให้ใครมาตามเอาเรื่อง
จากลักษณะการขับติดตามไม่ลดละและท่าทีเปิดไฟสูงใส่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พอสันนิษฐานได้ว่ามีเจตนาร้าย ว่าแต่มันเป็นใครกัน อาจเป็นไอ้โจรห้าร้อยคิดปล้นหรือพวกซาดิสม์ชอบดักทำร้ายรถคันอื่น
ขณะกำลังจ้องแสงไฟเจิดจ้าทางกระจกมองหลังอย่างระแวง ฉับพลัน ถนนด้านหน้าเกิดมีรถจักรยานยนต์คันใหญ่คันหนึ่งซึ่งมองเห็นชัดเจนท่ามกลางแสงไฟหน้ารถจอดนิ่งขวางทางอยู่กลางถนน นายตำรวจหนุ่มตกใจจนหน้าเหวอเพราะมองเห็นในระยะกระชั้นชิดมาก แต่ยังมีสติดี เขาตาลีตาเหลือกเหยียบเบรกให้รถหยุด หวุดหวิดชนจักรยานยนต์ข้างหน้าชนิดใจหายใจคว่ำ
นี่มันเรื่องอะไรกัน...ชายหนุ่มเห็นท่าไม่ดี หลังบังคับรถให้หยุดลงแล้วจึงดึงปืนพกออกมาจากเอวอย่างเตรียมพร้อม เหลือบมองกระจกหลังอีกครั้งก็เห็นว่า กระบะคันตามหลังจอดสงบนิ่งอยู่ห่างรถเขาออกไปไม่ไกล ครั้นจ้องมองไปข้างหน้าก็พบผู้ชายคนหนึ่งก้าวออกจากมุมมืดมายืนเด่นอยู่ข้างรถจักรยานยนต์
แสงไฟหน้ารถส่องต้องเรือนร่างผอมโซเหมือนพวกขี้ยา ศักดารีบกวาดสายตาสำรวจดู ครั้นพบว่าชายร่างผอมไม่มีอาวุธจึงค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย แต่ก็ไม่ประมาท ชายหนุ่มกระชับปืนพกในมือไว้มั่น อยู่ในรถนี่แหละปลอดภัยที่สุด เห็นท่าไม่ดีจะสาดกระสุนเข้าใส่เบิกทาง แล้วขับตะลุยชนจักรยานยนต์ผ่านไป ชายหนุ่มชำเลืองมองระแวดระวังทั้งหน้าหลังสลับกัน
ครู่หนึ่ง ประตูรถกระบะลึกลับก็เปิดออก ร่างสันทัดในชุดสีดำทั้งชุดของผู้ชายอีกคนก้าวลงจากรถ อึดใจต่อมาชายคนนั้นก็สาวเท้าเดินตรงมาหา เมื่อถึงข้างรถเก๋งของนายตำรวจ ชายชุดดำทำท่าแบมือสองข้างออกก่อนยกชูขึ้นอย่างบอกให้รู้ว่าไร้อาวุธและต้องการเจรจาด้วย
ศักดารอดูท่าทีไม่ผลีผลาม จนเมื่อเห็นพวกมันยืนนิ่งท่าเดิมไม่ขยับเขยื้อน เขาก็เริ่มคิดหนัก...ขืนนั่งอยู่อย่างนี้คงไม่รู้เรื่อง ดูท่าทางพวกมันเหมือนไม่มีเจตนาอยากทำร้าย หรือจะลองเจรจากับพวกมันดู...เมื่อคิดดังนั้นตำรวจหนุ่มจึงตัดสินใจลดกระจกข้างรถฝั่งคนขับลง พร้อมจ้องปากกระบอกปืนขู่
“เก็บปืนเสียเถอะผมไม่ใช่คนร้าย แค่มีเบาะแสฆาตกรต่อเนื่องมาบอก” ชายปริศนาโน้มตัวลงมาพูดด้วย มือสองข้างยังชูขึ้นเหนือไหล่ให้เห็นว่าปลอดอาวุธ
“คุณพูดถึงเรื่องอะไร...ฆาตกรที่ไหน แล้วพวกคุณสองคนเป็นใคร ตามผมมาทำไม” ชายหนุ่มถามรัวเป็นชุด ปืนในมือยังอยู่ในท่าเตรียมพร้อมหากเกิดเหตุร้าย
“ที่ตามคุณก็เพราะรู้ว่าคุณกำลังสืบคดีฆาตกรรมสาวไซด์ไลน์ในบังกาโลอยู่ไงล่ะ ผมเป็นพลเมืองดีครับ คุณตำรวจ ออกมายืนคุยกันหน่อยดีไหม”
ศักดามองใบหน้าคล้ายชาวจีนของอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ เขาหันไปมองทางชายร่างผอมที่ยืนนิ่งอยู่ข้างหน้า ชายคนยืนใกล้จึงบอกยิ้ม ๆ
“คนนั้นชื่อโหน่ง เขาไม่มีอันตรายสำหรับคุณหรอก ส่วนผมชื่อเดวิด” เมื่อแน่ใจว่าคนพวกนี้ไม่ประสงค์ร้ายต่อชีวิตแน่แล้ว ศักดาจึงยอมเปิดประตูรถลงมา เดวิดมีท่าทีพอใจ หนุ่มชาวจีนลดมือลง
“คุณพูดเหมือนรู้จักว่าผมเป็นใคร”ชายหนุ่มยิงคำถามคาใจให้ตอบ
“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก เข้าเรื่องที่ผมอยากจะบอกดีกว่า ทั้งสาวไซด์ไลน์กับผู้หญิงขอทานถูกลงมือสังหารโดยฆาตกรคนเดียวกัน” นายตำรวจมองหน้าสี่เหลี่ยมของอีกฝ่ายอย่างแคลงใจ
“คุณมีหลักฐานอะไรมายืนยันว่าเป็นฝีมือคนร้ายคนเดียวกัน แล้วผมจะเชื่อคุณได้ยังไง”ผู้หมวดศักดามีสีหน้าไม่เชื่อถือ ผู้ชายสองคนนี้มาดักพบเขาด้วยจุดประสงค์อะไรกันแน่
“ที่ผมรู้เพราะผมตามเจ้าฆาตกรคนนี้อยู่ ตามมานานแล้วด้วย พวกมันไม่ได้ทำเพราะประสงค์ต่อทรัพย์ ไม่มีความแค้น และไม่รู้จักคนตายมาก่อน”
“คุณพูดเหมือนฆาตกรมีมากกว่าหนึ่ง แล้วพูดอย่างกับว่าฆาตกรเที่ยวฆ่าคนเล่น หรือมันเป็นฆาตกรโรคจิต” ศักดายังไม่อยากเชื่อถือคำพูดของชายแปลกหน้า แต่ก็ต้องลองฟังดู
“ไม่ใช่ฆาตกรโรคจิตหรอก พวกมันฆ่าเพื่อความอยู่รอด มันกินเลือดคนตายสองคนนั่นเป็นอาหาร พวกมันไม่ใช่มนุษย์”
“หา...คุณพูดบ้าอะไรของคุณ อย่าบอกนะว่าคุณเป็นพวกรายการหลอกคนเล่น หรือว่าเป็นพวกรายการลองของอวดผีตามโทรทัศน์”
ชายหนุ่มเริ่มเอะใจก่อนกลายมาเป็นหงุดหงิด เขากำลังคิดว่านี่อาจเป็นรายการทีวีที่เที่ยวสร้างเรื่องพิเรนทร์หลอกเซอร์ไพรส์คนอื่นให้ตกใจเล่น ชายหนุ่มสอดส่ายสายตามองหากล้องถ่ายทำ
“อย่าพึ่งอารมณ์เสีย ผมพูดเรื่องจริง ไม่ใช่แบบที่คุณคิดแน่นอน คุณควรได้รับรู้อะไรบางอย่าง คุณนักสืบ...อะไรที่ผมจะบอกให้รู้เพราะผมจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากคุณ โหน่ง...นายมานี่”
เดวิดพูดราวล่วงรู้ความในใจของนายตำรวจ เขาหันไปเรียกชายร่างผอมให้เดินมาหา ซึ่งผู้ชายคนนั้นก็เริ่มขยับตัวแล้วก้าวเดินมาสมทบ เมื่อเข้ามาใกล้ ศักดาจึงสังเกตเห็นว่า ผู้ชายที่ชื่อโหน่งนอกจากผอมโซแล้วยังมีผิวซีดเซียวราวปราศจากสีเลือด แก้มตอบ กระบอกตาลึก...จะว่าไป สภาพเขาราวกับผีดิบซอมบี้อย่างที่เคยเห็นในหนัง
“แสดงให้ผู้หมวดเขาดูหน่อยซิ”
สิ้นเสียงสั่งสั้น ๆ ของเดวิด ชายชื่อโหน่งก็แสยะยิ้มกว้าง ซึ่งมันเป็นรอยยิ้มที่น่าสะพรึงกลัว ศักดาตะลึงมองเขี้ยวแหลมคมที่ค่อย ๆ งอกยาวออกมาจากภายในช่องปากแยกอ้า มันทั้งขาววับ ยื่นยาวและแหลมคม แต่นั่นยังไม่เท่าดวงตาทั้งคู่ภายในกระบอกตาลึก ซึ่งขณะนี้ตาขาวโดยรอบแดงเรื่อเรือง ส่วนตาดำขุ่นขาว เหลือเพียงจุดสีดำเล็ก ๆ ลอยอยู่ตรงกลาง ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายเรืองแสงแวววาวอยู่ในความสลัวรางแห่งรัตติกาล สองแขนของมันกางออกข้าง ๆ ส่วนมือกางเหยียดนิ้วเพื่อให้เห็นกรงเล็บแหลมคมซึ่งงอกยาวขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ราวกับกรงเล็บของสัตว์ร้าย
“เฮ้ยยยย...”
ร่างนายตำรวจหนุ่มเซผงะถอยไปข้างหลังอย่างตื่นตกใจ เขาถอยหลังไปจนชนกับตัวรถ เมื่อรู้สึกตัวจึงยกปืนในมือขึ้นเล็งไปยังร่างชวนขนหัวลุก มืออีกข้างควานสะเปะสะปะหาทางเปิดประตูรถ พลางตวาดเสียงดัง
“หยุดอยู่ตรงนั้น อย่าเข้ามานะ” ตะโกนสั่งอย่างตกใจสุดขีด อารามตกใจต่อภาพสยองตรงหน้า ศักดาลนลานจนเปิดประตูรถไม่ออก ชายหนุ่มจึงตัดสินใจจะเหนี่ยวไกระเบิดกระสุนออกไป
ฉับพลัน ร่างของเดวิดถลันเข้าหา...รวดเร็วจนสายตาจับตามไม่ทัน มือข้างที่ถือปืนของนายตำรวจหนุ่มถูกจับข้อมือพลิกบิดรุนแรง กระทั่งปืนพกสั้นหลุดตกลงสู่พื้น ไม่ทันได้ยิงกระสุนออกไปสักนัด ศักดาร้องโอ้ย... รู้สึกเจ็บแปลบตรงข้อมือที่ถูกจับบิด และเมื่อถูกของแข็งทุบโครมเข้าที่ท้ายทอย สติของนายตำรวจหนุ่มก็ดับวูบลงทันที
ที่นี่ที่ไหนกัน ผู้หมวดศักดาสะบัดศีรษะไปมาไล่ความมึนงง สักพักจึงค่อยมีสติคืนมาเต็มร้อย พลันก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อพบตัวเองถูกจับมัดนั่งติดกับเก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งตั้งอยู่กลางห้องอับทึบ แสงไฟมัวซัวจากหลอดไฟแรงเทียนต่ำทำให้มองเห็นสภาพโล่ง ๆ ของห้อง และพบว่าตัวเองถูกมัดมือมัดเท้าหมดสิ้นอิสรภาพ ชายหนุ่มพยายามดิ้นรนขลุกขลักให้หลุดพ้นจากพันธนาการของเชือกเส้นใหญ่
“ใจเย็นคุณตำรวจ” ร่างในชุดดำที่ยืนกางขาเอามือกอดอก จ้องมองมาที่เขาเขม็งดังขึ้น ข้างกันมีร่างน่ากลัวของผีดิบตนนั้นยืนเคียง
“ผมบอกคุณแล้วว่าโหน่งกับผมไม่มีอันตรายสำหรับคุณ”
เสียงเดวิดบอกเรียบ ๆ ศักดาหัวใจเต้นแรงเพราะความตกใจและหวาดกลัว เบิกตาจ้องภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เพราะทันใดนั้นร่างกายน่าสยดสยองของคนชื่อโหน่งก็เริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง เขี้ยวขาวยาวโง้งแหลมคมและกรงเล็บที่งอกยาวหดหาย ดวงตาแวววาวสีแดงก่ำค่อย ๆ จางลงประกายวาวเรื่อเรืองก็อับแสงจนกระทั่งกลับเป็นปกติ
“พวกแก มัน...มัน...ไม่ใช่มนุษย์” เดวิดค้อมศีรษะลงรับ ยิ้มน้อย ๆ ตรงมุมปาก
“ใช่แล้ว ผมกับโหน่งไม่ใช่มนุษย์ร้อยเปอร์เซ็นต์ พวกเราเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ร้ายในตำนาน โหน่งเป็นแวมไพร์ส่วนผมเป็นไลแคน ฆาตกรพวกนั้นก็เป็นเหมือนกันกับพวกเรา ต่างกันตรงที่พวกนั้นมันหิวกระหายเลือด แต่พวกเราเป็นมังสวิรัติ”
“นี่มันเรื่องบ้าชัด ๆ”
“ใช่ คุณพูดถูก ใครเจอเรื่องแบบนี้แล้วเอาไปเล่าต่อต้องมีแต่คนสรรเสริญว่าบ้าแน่ ๆ ว่ามั้ยคุณตำรวจ ทั้งที่มันเป็นเรื่องจริงซึ่งคุณก็เห็นกับตา”
“พวกแกจับตัวฉันมาทำไม ต้องการอะไร”
ชายหนุ่มหยุดดิ้นเพราะขืนดิ้นรนไปก็เปล่าประโยชน์ มือและเท้าถูกมัดติดกัน แถมด้วยเชือกเส้นใหญ่ที่รัดรอบตัว แค่ขยับก็ยังไม่ไหว สมองพยายามคิดหาทางเอาตัวรอด เขาน่าจะลองพูดดี ๆ กับพวกมัน อย่างน้อยมันไม่น่าจะทำร้ายหรือหมายเอาชีวิตเขาไม่เช่นนั้นคงทำไปแล้ว แต่นี่ดูเหมือนมันต้องการจับตัวเขามาเจรจาบางอย่างด้วยเท่านั้น
“สองพ่อลูกเพื่อนบ้านคุณพ่อคุณคือฆาตกร”
“ว่าไงนะ” ศักดาตกตะลึงเบิกตาโต ร้องอุทานออกมา
“เด็กสาวที่ชื่อพลอยคนนั้นเดิมชื่อชิงชิง เธอเป็นแวมไพร์เหมือนโหน่ง ส่วนผู้ชายแก่ที่อยู่ด้วยชื่อเหลียงฉีเป็นไลแคนเหมือนผม เขาไม่ใช่พ่อเธอ แต่เป็นผัว สองคนนั่นก่อนหน้าเคยเป็นพวกเดียวกับเราในสถาบันวิจัยเผ่าพันธุ์มนุษย์ประหลาดสากล แต่เพราะความโลภ พวกเขาชิงเพชรล้ำค่าของสถาบันหนีมา สองคนนั่นมีอันตรายต่อมนุษย์ พวกผมกำลังตามล่าเอาตัวพวกเขากลับสถาบันและชิงเพชรคืน”
นายตำรวจนักสืบอ้าปากหวอฟังเรื่องราวพิลึกกึกกืออย่างตื่นตะลึง สิ่งที่ได้ยินราวนิยายไม่ใช่เรื่องจริง ครั้นจะไม่เชื่อ ก็แล้วสิ่งที่เห็นคาตาต่อหน้าตอนนี้ล่ะ
“เราไม่สามารถจัดการกับสองคนนั่นในวิถีทางของกฎหมายปกติระหว่างประเทศ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องของคนปกติ มนุษย์ประหลาดอย่างพวกเราไม่อาจเปิดเผยตัว ถึงแม้พวกเราจะมีพลังพิเศษมากมายแต่ความพิเศษของเราเหมือนดาบสองคม อาจนำหายนะมาสู่พวกเราได้ เราจึงจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากใครบางคนซึ่งคน ๆ นั้นก็คือคุณ”
“ทำไมต้องเป็นผม” ศักดาร้องเสียงหลง
“ก็เพราะคุณเป็นตำรวจที่ทำคดีนี้และกำลังสืบสวนหาตัวคนร้าย เราอยากให้คนร้ายเป็นใครก็ได้ที่ไม่ใช่แวมไพร์ หวังว่าคุณคงเข้าใจ”
“คุณพูดง่ายเกินไป ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ผมจะไปสามารถช่วยอะไรแบบนั้นให้คุณได้ ถ้าพวกคุณมีความสามารถพิเศษขนาดนี้ พวกเขาก็คงเหมือนกัน แล้วถ้าพวกเขารู้ว่าผมช่วยคุณ มนุษย์ธรรมดาอย่างผมจะเหลืออะไร”
“ถ้าคุณไม่ห่วงความปลอดภัยของพ่อคุณก็ตามใจ และขอบอกไว้เลยว่าคุณไม่สามารถจับคนร้ายตัวจริงในคดีนี้ได้อย่างแน่นอน เพราะฆาตกรไม่ใช่มนุษย์ และพวกมันกำลังอยู่ใกล้ ๆ พ่อคุณ เดี๋ยวผมจะพาไปส่งที่รถให้คุณกลับไปคิดอีกที คุณเป็นนักสืบนี่ แล้วทำไมไม่ลองสืบดูว่าสองพ่อลูกกำมะลอนั่นเป็นอย่างที่เล่าให้ฟังหรือเปล่า ถ้าสืบแล้วได้ความจริงอะไร อยากติดต่อผม คุณโทรหาผมได้ทันทีตามเบอร์ในโทรศัพท์คุณ...โหน่ง จัดการได้เลย”
เดวิดพยักหน้าให้สัญญาณ ชายร่างผอมก็ย่างเท้าเข้ามาหา แล้วผ้าชุบยาสลบก็ถูกโปะลงครึ่งปากครึ่งจมูกของชายหนุ่มทันที
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
เสน่หาอำมหิต มฤตยูที่รัก ตอนที่ 9
โดย...ล. วิลิศมาหรา
ศักดาชำเลืองดูนาฬิกาบนแผงหน้าปัดคอนโซลรถอีกที เวลานี้ถือว่ายังไม่ดึกมากนัก แต่ก็ไม่แน่ โจรผู้ร้ายบางครั้งมันก็ออกปฏิบัติการชั่วโดยไม่เลือกเวล่ำเวลา ปล้นกลางวันแสก ๆ พวกมันก็ยังเคยทำ นายตำรวจหนุ่มเกร็งตัวระวังภัย ควานหาอาวุธปืนพกสั้นประจำกายบริเวณเอวทันที
แสงไฟจากเสาไฟฟ้าข้างทางส่องสว่างมากพอ เมื่อรถที่ตามหลังเข้าโค้งจึงทำให้รู้ว่าเป็นดวงไฟหน้ารถของรถกระบะคันหนึ่ง ซึ่งจากแสงส่องวูบวาบที่มองเห็นจากกระจกหลังแสดงว่ารถคันนั้นยังวิ่งตามมา ชายหนุ่มเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วรถ เจ้ารถปริศนาก็เร่งเครื่องตาม เขาจึงบึ่งรถหนีเพื่อออกสู่ถนนสายหลักโดยเร็ว ในที่สุดก็แลเห็นสามแยกใหญ่ข้างหน้าอีกไม่ไกลแล้ว ทันใดนั้น รถคันหลังเปิดไฟสูงจนแสงจ้าแสบตาอยู่ในกระจกมองหลัง
“ให้มันได้อย่างนี้สิวะ ห่ะเอ้ย...”
ชายหนุ่มสบถออกมาอย่างเดือดดาล...ชัดแล้วว่าเขากำลังเจอสถานการณ์ไม่ปกติ ถนนเส้นนี้เป็นเพียงถนนสายรองก่อนเลี้ยวเข้าสู่ถนนสายหลัก เพราะฉะนั้นรถคันหลังย่อมไม่ใช่พวกขับซิ่งประลองความเร็วแน่ ๆ จะว่าเขาขับไปเกะกะไร้มารยาทให้โดนหมั่นไส้ เขาก็ไม่ได้มีเรื่องกับรถคันไหนในเส้นทางนี้ให้ใครมาตามเอาเรื่อง
จากลักษณะการขับติดตามไม่ลดละและท่าทีเปิดไฟสูงใส่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พอสันนิษฐานได้ว่ามีเจตนาร้าย ว่าแต่มันเป็นใครกัน อาจเป็นไอ้โจรห้าร้อยคิดปล้นหรือพวกซาดิสม์ชอบดักทำร้ายรถคันอื่น
ขณะกำลังจ้องแสงไฟเจิดจ้าทางกระจกมองหลังอย่างระแวง ฉับพลัน ถนนด้านหน้าเกิดมีรถจักรยานยนต์คันใหญ่คันหนึ่งซึ่งมองเห็นชัดเจนท่ามกลางแสงไฟหน้ารถจอดนิ่งขวางทางอยู่กลางถนน นายตำรวจหนุ่มตกใจจนหน้าเหวอเพราะมองเห็นในระยะกระชั้นชิดมาก แต่ยังมีสติดี เขาตาลีตาเหลือกเหยียบเบรกให้รถหยุด หวุดหวิดชนจักรยานยนต์ข้างหน้าชนิดใจหายใจคว่ำ
นี่มันเรื่องอะไรกัน...ชายหนุ่มเห็นท่าไม่ดี หลังบังคับรถให้หยุดลงแล้วจึงดึงปืนพกออกมาจากเอวอย่างเตรียมพร้อม เหลือบมองกระจกหลังอีกครั้งก็เห็นว่า กระบะคันตามหลังจอดสงบนิ่งอยู่ห่างรถเขาออกไปไม่ไกล ครั้นจ้องมองไปข้างหน้าก็พบผู้ชายคนหนึ่งก้าวออกจากมุมมืดมายืนเด่นอยู่ข้างรถจักรยานยนต์
แสงไฟหน้ารถส่องต้องเรือนร่างผอมโซเหมือนพวกขี้ยา ศักดารีบกวาดสายตาสำรวจดู ครั้นพบว่าชายร่างผอมไม่มีอาวุธจึงค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย แต่ก็ไม่ประมาท ชายหนุ่มกระชับปืนพกในมือไว้มั่น อยู่ในรถนี่แหละปลอดภัยที่สุด เห็นท่าไม่ดีจะสาดกระสุนเข้าใส่เบิกทาง แล้วขับตะลุยชนจักรยานยนต์ผ่านไป ชายหนุ่มชำเลืองมองระแวดระวังทั้งหน้าหลังสลับกัน
ครู่หนึ่ง ประตูรถกระบะลึกลับก็เปิดออก ร่างสันทัดในชุดสีดำทั้งชุดของผู้ชายอีกคนก้าวลงจากรถ อึดใจต่อมาชายคนนั้นก็สาวเท้าเดินตรงมาหา เมื่อถึงข้างรถเก๋งของนายตำรวจ ชายชุดดำทำท่าแบมือสองข้างออกก่อนยกชูขึ้นอย่างบอกให้รู้ว่าไร้อาวุธและต้องการเจรจาด้วย
ศักดารอดูท่าทีไม่ผลีผลาม จนเมื่อเห็นพวกมันยืนนิ่งท่าเดิมไม่ขยับเขยื้อน เขาก็เริ่มคิดหนัก...ขืนนั่งอยู่อย่างนี้คงไม่รู้เรื่อง ดูท่าทางพวกมันเหมือนไม่มีเจตนาอยากทำร้าย หรือจะลองเจรจากับพวกมันดู...เมื่อคิดดังนั้นตำรวจหนุ่มจึงตัดสินใจลดกระจกข้างรถฝั่งคนขับลง พร้อมจ้องปากกระบอกปืนขู่
“เก็บปืนเสียเถอะผมไม่ใช่คนร้าย แค่มีเบาะแสฆาตกรต่อเนื่องมาบอก” ชายปริศนาโน้มตัวลงมาพูดด้วย มือสองข้างยังชูขึ้นเหนือไหล่ให้เห็นว่าปลอดอาวุธ
“คุณพูดถึงเรื่องอะไร...ฆาตกรที่ไหน แล้วพวกคุณสองคนเป็นใคร ตามผมมาทำไม” ชายหนุ่มถามรัวเป็นชุด ปืนในมือยังอยู่ในท่าเตรียมพร้อมหากเกิดเหตุร้าย
“ที่ตามคุณก็เพราะรู้ว่าคุณกำลังสืบคดีฆาตกรรมสาวไซด์ไลน์ในบังกาโลอยู่ไงล่ะ ผมเป็นพลเมืองดีครับ คุณตำรวจ ออกมายืนคุยกันหน่อยดีไหม”
ศักดามองใบหน้าคล้ายชาวจีนของอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ เขาหันไปมองทางชายร่างผอมที่ยืนนิ่งอยู่ข้างหน้า ชายคนยืนใกล้จึงบอกยิ้ม ๆ
“คนนั้นชื่อโหน่ง เขาไม่มีอันตรายสำหรับคุณหรอก ส่วนผมชื่อเดวิด” เมื่อแน่ใจว่าคนพวกนี้ไม่ประสงค์ร้ายต่อชีวิตแน่แล้ว ศักดาจึงยอมเปิดประตูรถลงมา เดวิดมีท่าทีพอใจ หนุ่มชาวจีนลดมือลง
“คุณพูดเหมือนรู้จักว่าผมเป็นใคร”ชายหนุ่มยิงคำถามคาใจให้ตอบ
“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก เข้าเรื่องที่ผมอยากจะบอกดีกว่า ทั้งสาวไซด์ไลน์กับผู้หญิงขอทานถูกลงมือสังหารโดยฆาตกรคนเดียวกัน” นายตำรวจมองหน้าสี่เหลี่ยมของอีกฝ่ายอย่างแคลงใจ
“คุณมีหลักฐานอะไรมายืนยันว่าเป็นฝีมือคนร้ายคนเดียวกัน แล้วผมจะเชื่อคุณได้ยังไง”ผู้หมวดศักดามีสีหน้าไม่เชื่อถือ ผู้ชายสองคนนี้มาดักพบเขาด้วยจุดประสงค์อะไรกันแน่
“ที่ผมรู้เพราะผมตามเจ้าฆาตกรคนนี้อยู่ ตามมานานแล้วด้วย พวกมันไม่ได้ทำเพราะประสงค์ต่อทรัพย์ ไม่มีความแค้น และไม่รู้จักคนตายมาก่อน”
“คุณพูดเหมือนฆาตกรมีมากกว่าหนึ่ง แล้วพูดอย่างกับว่าฆาตกรเที่ยวฆ่าคนเล่น หรือมันเป็นฆาตกรโรคจิต” ศักดายังไม่อยากเชื่อถือคำพูดของชายแปลกหน้า แต่ก็ต้องลองฟังดู
“ไม่ใช่ฆาตกรโรคจิตหรอก พวกมันฆ่าเพื่อความอยู่รอด มันกินเลือดคนตายสองคนนั่นเป็นอาหาร พวกมันไม่ใช่มนุษย์”
“หา...คุณพูดบ้าอะไรของคุณ อย่าบอกนะว่าคุณเป็นพวกรายการหลอกคนเล่น หรือว่าเป็นพวกรายการลองของอวดผีตามโทรทัศน์”
ชายหนุ่มเริ่มเอะใจก่อนกลายมาเป็นหงุดหงิด เขากำลังคิดว่านี่อาจเป็นรายการทีวีที่เที่ยวสร้างเรื่องพิเรนทร์หลอกเซอร์ไพรส์คนอื่นให้ตกใจเล่น ชายหนุ่มสอดส่ายสายตามองหากล้องถ่ายทำ
“อย่าพึ่งอารมณ์เสีย ผมพูดเรื่องจริง ไม่ใช่แบบที่คุณคิดแน่นอน คุณควรได้รับรู้อะไรบางอย่าง คุณนักสืบ...อะไรที่ผมจะบอกให้รู้เพราะผมจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากคุณ โหน่ง...นายมานี่”
เดวิดพูดราวล่วงรู้ความในใจของนายตำรวจ เขาหันไปเรียกชายร่างผอมให้เดินมาหา ซึ่งผู้ชายคนนั้นก็เริ่มขยับตัวแล้วก้าวเดินมาสมทบ เมื่อเข้ามาใกล้ ศักดาจึงสังเกตเห็นว่า ผู้ชายที่ชื่อโหน่งนอกจากผอมโซแล้วยังมีผิวซีดเซียวราวปราศจากสีเลือด แก้มตอบ กระบอกตาลึก...จะว่าไป สภาพเขาราวกับผีดิบซอมบี้อย่างที่เคยเห็นในหนัง
“แสดงให้ผู้หมวดเขาดูหน่อยซิ”
สิ้นเสียงสั่งสั้น ๆ ของเดวิด ชายชื่อโหน่งก็แสยะยิ้มกว้าง ซึ่งมันเป็นรอยยิ้มที่น่าสะพรึงกลัว ศักดาตะลึงมองเขี้ยวแหลมคมที่ค่อย ๆ งอกยาวออกมาจากภายในช่องปากแยกอ้า มันทั้งขาววับ ยื่นยาวและแหลมคม แต่นั่นยังไม่เท่าดวงตาทั้งคู่ภายในกระบอกตาลึก ซึ่งขณะนี้ตาขาวโดยรอบแดงเรื่อเรือง ส่วนตาดำขุ่นขาว เหลือเพียงจุดสีดำเล็ก ๆ ลอยอยู่ตรงกลาง ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายเรืองแสงแวววาวอยู่ในความสลัวรางแห่งรัตติกาล สองแขนของมันกางออกข้าง ๆ ส่วนมือกางเหยียดนิ้วเพื่อให้เห็นกรงเล็บแหลมคมซึ่งงอกยาวขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ราวกับกรงเล็บของสัตว์ร้าย
“เฮ้ยยยย...”
ร่างนายตำรวจหนุ่มเซผงะถอยไปข้างหลังอย่างตื่นตกใจ เขาถอยหลังไปจนชนกับตัวรถ เมื่อรู้สึกตัวจึงยกปืนในมือขึ้นเล็งไปยังร่างชวนขนหัวลุก มืออีกข้างควานสะเปะสะปะหาทางเปิดประตูรถ พลางตวาดเสียงดัง
“หยุดอยู่ตรงนั้น อย่าเข้ามานะ” ตะโกนสั่งอย่างตกใจสุดขีด อารามตกใจต่อภาพสยองตรงหน้า ศักดาลนลานจนเปิดประตูรถไม่ออก ชายหนุ่มจึงตัดสินใจจะเหนี่ยวไกระเบิดกระสุนออกไป
ฉับพลัน ร่างของเดวิดถลันเข้าหา...รวดเร็วจนสายตาจับตามไม่ทัน มือข้างที่ถือปืนของนายตำรวจหนุ่มถูกจับข้อมือพลิกบิดรุนแรง กระทั่งปืนพกสั้นหลุดตกลงสู่พื้น ไม่ทันได้ยิงกระสุนออกไปสักนัด ศักดาร้องโอ้ย... รู้สึกเจ็บแปลบตรงข้อมือที่ถูกจับบิด และเมื่อถูกของแข็งทุบโครมเข้าที่ท้ายทอย สติของนายตำรวจหนุ่มก็ดับวูบลงทันที
ที่นี่ที่ไหนกัน ผู้หมวดศักดาสะบัดศีรษะไปมาไล่ความมึนงง สักพักจึงค่อยมีสติคืนมาเต็มร้อย พลันก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อพบตัวเองถูกจับมัดนั่งติดกับเก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งตั้งอยู่กลางห้องอับทึบ แสงไฟมัวซัวจากหลอดไฟแรงเทียนต่ำทำให้มองเห็นสภาพโล่ง ๆ ของห้อง และพบว่าตัวเองถูกมัดมือมัดเท้าหมดสิ้นอิสรภาพ ชายหนุ่มพยายามดิ้นรนขลุกขลักให้หลุดพ้นจากพันธนาการของเชือกเส้นใหญ่
“ใจเย็นคุณตำรวจ” ร่างในชุดดำที่ยืนกางขาเอามือกอดอก จ้องมองมาที่เขาเขม็งดังขึ้น ข้างกันมีร่างน่ากลัวของผีดิบตนนั้นยืนเคียง
“ผมบอกคุณแล้วว่าโหน่งกับผมไม่มีอันตรายสำหรับคุณ”
เสียงเดวิดบอกเรียบ ๆ ศักดาหัวใจเต้นแรงเพราะความตกใจและหวาดกลัว เบิกตาจ้องภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เพราะทันใดนั้นร่างกายน่าสยดสยองของคนชื่อโหน่งก็เริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง เขี้ยวขาวยาวโง้งแหลมคมและกรงเล็บที่งอกยาวหดหาย ดวงตาแวววาวสีแดงก่ำค่อย ๆ จางลงประกายวาวเรื่อเรืองก็อับแสงจนกระทั่งกลับเป็นปกติ
“พวกแก มัน...มัน...ไม่ใช่มนุษย์” เดวิดค้อมศีรษะลงรับ ยิ้มน้อย ๆ ตรงมุมปาก
“ใช่แล้ว ผมกับโหน่งไม่ใช่มนุษย์ร้อยเปอร์เซ็นต์ พวกเราเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ร้ายในตำนาน โหน่งเป็นแวมไพร์ส่วนผมเป็นไลแคน ฆาตกรพวกนั้นก็เป็นเหมือนกันกับพวกเรา ต่างกันตรงที่พวกนั้นมันหิวกระหายเลือด แต่พวกเราเป็นมังสวิรัติ”
“นี่มันเรื่องบ้าชัด ๆ”
“ใช่ คุณพูดถูก ใครเจอเรื่องแบบนี้แล้วเอาไปเล่าต่อต้องมีแต่คนสรรเสริญว่าบ้าแน่ ๆ ว่ามั้ยคุณตำรวจ ทั้งที่มันเป็นเรื่องจริงซึ่งคุณก็เห็นกับตา”
“พวกแกจับตัวฉันมาทำไม ต้องการอะไร”
ชายหนุ่มหยุดดิ้นเพราะขืนดิ้นรนไปก็เปล่าประโยชน์ มือและเท้าถูกมัดติดกัน แถมด้วยเชือกเส้นใหญ่ที่รัดรอบตัว แค่ขยับก็ยังไม่ไหว สมองพยายามคิดหาทางเอาตัวรอด เขาน่าจะลองพูดดี ๆ กับพวกมัน อย่างน้อยมันไม่น่าจะทำร้ายหรือหมายเอาชีวิตเขาไม่เช่นนั้นคงทำไปแล้ว แต่นี่ดูเหมือนมันต้องการจับตัวเขามาเจรจาบางอย่างด้วยเท่านั้น
“สองพ่อลูกเพื่อนบ้านคุณพ่อคุณคือฆาตกร”
“ว่าไงนะ” ศักดาตกตะลึงเบิกตาโต ร้องอุทานออกมา
“เด็กสาวที่ชื่อพลอยคนนั้นเดิมชื่อชิงชิง เธอเป็นแวมไพร์เหมือนโหน่ง ส่วนผู้ชายแก่ที่อยู่ด้วยชื่อเหลียงฉีเป็นไลแคนเหมือนผม เขาไม่ใช่พ่อเธอ แต่เป็นผัว สองคนนั่นก่อนหน้าเคยเป็นพวกเดียวกับเราในสถาบันวิจัยเผ่าพันธุ์มนุษย์ประหลาดสากล แต่เพราะความโลภ พวกเขาชิงเพชรล้ำค่าของสถาบันหนีมา สองคนนั่นมีอันตรายต่อมนุษย์ พวกผมกำลังตามล่าเอาตัวพวกเขากลับสถาบันและชิงเพชรคืน”
นายตำรวจนักสืบอ้าปากหวอฟังเรื่องราวพิลึกกึกกืออย่างตื่นตะลึง สิ่งที่ได้ยินราวนิยายไม่ใช่เรื่องจริง ครั้นจะไม่เชื่อ ก็แล้วสิ่งที่เห็นคาตาต่อหน้าตอนนี้ล่ะ
“เราไม่สามารถจัดการกับสองคนนั่นในวิถีทางของกฎหมายปกติระหว่างประเทศ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องของคนปกติ มนุษย์ประหลาดอย่างพวกเราไม่อาจเปิดเผยตัว ถึงแม้พวกเราจะมีพลังพิเศษมากมายแต่ความพิเศษของเราเหมือนดาบสองคม อาจนำหายนะมาสู่พวกเราได้ เราจึงจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากใครบางคนซึ่งคน ๆ นั้นก็คือคุณ”
“ทำไมต้องเป็นผม” ศักดาร้องเสียงหลง
“ก็เพราะคุณเป็นตำรวจที่ทำคดีนี้และกำลังสืบสวนหาตัวคนร้าย เราอยากให้คนร้ายเป็นใครก็ได้ที่ไม่ใช่แวมไพร์ หวังว่าคุณคงเข้าใจ”
“คุณพูดง่ายเกินไป ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ผมจะไปสามารถช่วยอะไรแบบนั้นให้คุณได้ ถ้าพวกคุณมีความสามารถพิเศษขนาดนี้ พวกเขาก็คงเหมือนกัน แล้วถ้าพวกเขารู้ว่าผมช่วยคุณ มนุษย์ธรรมดาอย่างผมจะเหลืออะไร”
“ถ้าคุณไม่ห่วงความปลอดภัยของพ่อคุณก็ตามใจ และขอบอกไว้เลยว่าคุณไม่สามารถจับคนร้ายตัวจริงในคดีนี้ได้อย่างแน่นอน เพราะฆาตกรไม่ใช่มนุษย์ และพวกมันกำลังอยู่ใกล้ ๆ พ่อคุณ เดี๋ยวผมจะพาไปส่งที่รถให้คุณกลับไปคิดอีกที คุณเป็นนักสืบนี่ แล้วทำไมไม่ลองสืบดูว่าสองพ่อลูกกำมะลอนั่นเป็นอย่างที่เล่าให้ฟังหรือเปล่า ถ้าสืบแล้วได้ความจริงอะไร อยากติดต่อผม คุณโทรหาผมได้ทันทีตามเบอร์ในโทรศัพท์คุณ...โหน่ง จัดการได้เลย”
เดวิดพยักหน้าให้สัญญาณ ชายร่างผอมก็ย่างเท้าเข้ามาหา แล้วผ้าชุบยาสลบก็ถูกโปะลงครึ่งปากครึ่งจมูกของชายหนุ่มทันที
(โปรดติดตามตอนต่อไป)