เสน่หาอำมหิต...มฤตยูยอดรัก ตอนที่ 3

กระทู้สนทนา
เสน่หาอำมหิต...มฤตยูยอดรัก




โดย...ล. วิลิศมาหรา


ตอนที่ 3


    ร้อยตำรวจเอกศักดา เลิศวัฒนากร จอดรถเก๋งสปอร์ตคันงามเทียบทางเดินหน้าบ้านของคุณไพบูลย์ เลิศวัฒนากร ผู้เป็นบิดาอย่างนุ่มนวล นายตำรวจหนุ่มพึ่งเสร็จจากการประชุมทีมสืบสวนหาตัวฆาตกรคดีปริศนาที่เกิดขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบของเขาถึงสองรายซ้อนในเวลาห่างกันเพียงสองอาทิตย์

    เหยื่อฆาตกรรมเป็นผู้หญิงทั้งคู่ คนหนึ่งเป็นสาวขายบริการในร้านคาราโอเกะ ถูกลวงมาฆ่าปาดคอ พบเป็นศพอยู่ในห้องน้ำของบังกะโลม่านรูดโกโรโกโสในซอยเปลี่ยว ซึ่งไม่ค่อยมีคนไปใช้บริการ  อีกรายเป็นหญิงแรงงานต่างด้าวชาวเขมร ถูกฆาตกรรมลักษณะเดียวกันในสถานที่ใกล้เคียง จึงอาจเป็นการฆาตกรรมโดยฆาตกรต่อเนื่องคนเดียวกัน

    สิ่งที่ทำให้แปลกใจก็คือ ตำรวจมั่นใจว่าผู้ตายทั้งสองรายถูกฆาตกรรมตรงที่พบศพ แต่ในสถานที่เกิดเหตุมีร่องรอยการต่อสู้น้อยมาก สภาพการเสียชีวิต เหยื่อทั้งสองรายถูกหักคอจากฝีมือของคนที่มีความชำนาญ และถูกปาดคอซ้ำเป็นแผลลึก แต่กลับมีรอยเลือดกระเด็นเป็นหย่อมเล็ก ๆ เปื้อนพื้นจุดที่ลำคอของศพวางอยู่เท่านั้น เลือดซึ่งน่าจะกระจายไปทั่วกลับเหมือนโดนรองเอาไว้ไม่ให้เปื้อนเลอะเทอะ

    จากลักษณะการฆาตกรรม ตำรวจสันนิษฐานว่าฆาตกรน่าจะมีกันหลายคน ส่วนแรงจูงใจนั้นกลับมืดแปดด้าน เพราะผู้ตายทั้งคู่ไม่มีทรัพย์สินมีค่าติดตัวที่อาจล่อตาล่อใจคนร้ายให้ลงมือชิงทรัพย์ อีกทั้งไม่มีร่องรอยถูกล่วงละเมิดทางเพศ

    หลักฐานในที่เกิดเหตุที่น้อยมาก ทำให้การทำคดีนี้ให้กระจ่างเป็นงานยากสำหรับตำรวจนักสืบอย่างเขา เบาะแสเพียงอย่างเดียวก็คือคำบอกเล่าของคนเฝ้าบังกะโลที่เล่าว่า ห้องที่พบศพหญิงบริการนั้นมีชายชราอายุมากแล้วมาเช่าอยู่ก่อนหน้า ซึ่งหายตัวไปอย่างลึกลับหลังพบศพหญิงสาว ส่วนอีกศพนั้น คนร้ายไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ให้สืบหาเลย

     นายร้อยตำรวจวัยสามสิบห้าปีซึ่งยังครองตัวเป็นโสดมักหาเวลามาเยี่ยมบิดาที่อาศัยอยู่ในโครงการฟ้าใหม่แห่งนี้เสมอ ไพบูลย์เป็นอาจารย์สอนศิลปะที่เกษียณอายุมาสองปีแล้ว ปัจจุบันประกอบอาชีพเป็นศิลปินอิสระ เขาวาดภาพสีน้ำละสีน้ำมัน ฝีมือระดับแนวหน้าคนหนึ่งของเมืองไทย ศักดาเป็นห่วงพ่อที่มักง่วนอยู่กับการวาดรูปจนบางครั้งลืมทานข้าวทานน้ำจึงหมั่นมาเยี่ยม เพื่อเป็นการกระตุ้นให้บิดาเงยหน้าจากเฟรมวาดรูปเสียบ้าง

    ชายหนุ่มจอดรถต่อจากท้ายรถปอร์เช่สีแดงเพลิงคันงามของวิลาสินี ดาราสาวสวย ลูกสาวคนเดียวของคุณสายหยุด ซึ่งไม่เอารถเข้าไปจอดในบ้านตัวเองที่อยู่ติดกัน แต่กลับจอดค่อนมาทางหน้าบ้านของเขา ที่ขณะนี้สาวสวยกำลังเข็นรถเข็นของคุณสายหยุดออกจากประตูรั้วบ้านของเธอตรงมาทางเขา

    “ผู้หมวดมาพอดี ป้าขอแจ้งความตรงนี้เลยค่ะ”

    พอร่างสูงสง่าเปิดประตูรถลงมา สายหยุดก็ร้องทักดัง ๆ ตั้งแต่ยังมาไม่ถึงตัวนายร้อยหนุ่ม ศักดาเหลือบมองลูกสาวคนสวยของเธอซึ่งเข็นรถอยู่ทางด้านหลัง ไม่บ่อยครั้งนักที่เขาจะเจอหญิงสาวที่นี่ส่วนมากมักเห็นตามจอทีวี ผู้หมวดศักดาอดยิ้มเก๊กหล่อให้สาวสวยตรงหน้าไม่ได้ แต่ฝ่ายนั้นกลับทำหน้านิ่ง ๆ  อ้าว...หยิ่งเสียด้วย

     “สวัสดีครับป้า จะแจ้งความเรื่องอะไรครับผม” เขาเสไปยกมือไหว้ทักทายคนอยู่ในรถเข็นแทน

    “แมวป้าหายค่ะ หนูพิงค์กี้ไงคะ ผู้หมวดเคยเห็นแล้วนี่ เจ้าตัวขนฟู ๆ สีขาวตาสีฟ้า”

    “แหม คุณแม่ก็ คุณตำรวจเขาไม่รับแจ้งความแมวหายหรอกค่ะ ระดับรองสารวัตรศักดาเขาต้องทำคดีใหญ่ ๆ”

    ใบหน้าคมเข้มเหลือบตามองหน้าสาวสวยซ้ำ...เอ๊ะ ทำไมเธอต้องพูดประชดเขาแบบนี้ด้วยล่ะ แต่ดาราสาวเมินหน้าหนี เขาจึงได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ ยังรู้สึกมึนงงที่แม่ดาราคนสวยทำเหมือนไม่ชอบหน้าเขาทุกครั้งที่เผอิญเจอกัน

    “ช่วยถามพ่อคุณให้ทีว่าเจอมันไปที่บ้านบ้างหรือเปล่า หายไปตั้งแต่เมื่อวาน”

    หญิงชราบนรถเข็นไม่สนใจอย่างอื่น ความคิดพุ่งแต่เสาะหาแมวตัวโปรด

    “ป่านนี้คงหิวแย่ ไม่ได้กินอาหารมาสองวันแล้ว โธ่ นังหนูของแม่ หลงไปอยู่ที่ไหนกันนี่” หล่อนทำตาแดง ๆ รำพึงรำพันถึงสัตว์เลี้ยงที่รักราวลูกตัวเอง

    “งั้นเดี๋ยวผมเข้าไปถามคุณพ่อให้ครับ เอ้อ หรือคุณป้าจะเข้าไปถามด้วยกันไหมครับ”

     “แม่คะ แต่หนูจะต้องกลับแล้วนะคะ”เสียงดาราสาวท้วงขึ้นทันควัน เมื่อเห็นมารดาพยักหน้าตกลง

    “อะไร มาแป๊ปเดียวเท่านกกระจอกกินน้ำก็จะไปแล้ว”

    หญิงชรานิ่วหน้าตวัดเสียงสูง

    “แม่คะ...” สาวสวยอายหน้าแดง “เปรียบเทียบอะไรอย่างนั้น”

    “ทำไม หรือไม่จริง นานน๊าน แกถึงจะมาหาแม่ที พอให้ได้ใช้สอยมั่งก็จะไปเสียแล้ว ยังไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ไป...เข็นแม่เข้าไปเยี่ยมอาจารย์เขาหน่อย”

    ใบหน้าที่แต่งเอาไว้เนียนสวยไม่สามารถปิดบังอาการแดงซ่านจากความเขินอายได้ หญิงสาวเบือนหน้าหลบสายตาผู้ชายตรงหน้าที่มองมาอย่างขำ ๆ บ่นอุบอิบใส่มารดา

    “รู้งี้ให้พี่ลัดดามาส่งเสียก็ดี”

    สายหยุดส่งค้อนวงใหญ่ให้ลูกสาว ไม่ต่อคำอีก เร่งให้เข็นรถเข้าไปในรั้วบ้านที่ศักดากุลีกุจอเปิดกว้างให้

    ข้างในบ้านของศิลปินภาพวาดสีน้ำรุ่นเดอะ ระเกะระกะไปด้วยอุปกรณ์วาดภาพและกรอบภาพวาดขนาดต่าง ๆ กระดาษวาดรูป จานสีและพู่กันหลายแบบหลายขนาด เฟรมวาดภาพหลายอันตั้งเอาไว้อย่างไม่เป็นระเบียบ เรียงรายตั้งแต่ห้องโถงไปจนถึงข้างหลังบ้าน บ่งบอกว่าเจ้าของบ้านไม่ใคร่ใส่ใจความเป็นระเบียบเรียบร้อยของที่พักเท่าไหร่

    ศักดารีบยกย้ายสิ่งของที่วางขวางทางออก ให้วิลาสินีประคองคุณสายหยุดเข้ามานั่งในห้องรับแขก ชายหนุ่มตะโกนเรียกหาบิดา สักพัก ชายวัยหกสิบรูปร่างสูงใหญ่คล้ายกันกับลูกชาย และมีผมสีดอกเลาทั้งศีรษะก็ปรากฏตัวออกมาจากห้อง ๆ หนึ่ง

    “ร้องเรียกเอะอะอยู่ได้ไอ้ลูกคนนี้ อ้าว...พี่สายหยุดกับหนูแววดาราคนดังมากันตั้งแต่เมื่อไหร่  โอ้ย...ขอโทษจริง ๆ บ้านรกไปหน่อย”

    ศิลปินภาพวาดซึ่งทีแรกเอ็ดลูกชายเสียงดัง ครั้นเห็นมีแขกมาเยี่ยมถึงบ้านจึงเปลี่ยนท่าที รีบกระวีกระวาดยกอุปกรณ์วาดภาพที่กองอยู่บนโต๊ะรับแขกลงวางพื้น

    “ไม่ต้องย้ายของหรอกค่ะคุณไพบูลย์ พี่จะมาถามว่าเห็นแมวพี่บ้างหรือเปล่าเท่านั้นเอง มันหายออกจากบ้านไปสองวันแล้ว”

    คุณสายหยุดรีบห้ามเจ้าของบ้านไม่ให้ลำบากย้ายของ พลางเอ่ยถามถึงสัตว์เลี้ยงตัวโปรดทันที อาจารย์ศิลปะยกมือเกาศีรษะทำท่านึก

    “อืม แมวตัวอ้วนสีขาว ๆ ใช่ไหมครับ เอ เดี๋ยวนึกดูก่อน เคยเห็นอยู่นะ...อ้อ เคยเห็นพี่อุ้มอยู่หน้าบ้าน...เคยเห็นอีกครั้งเมื่อ...แล้วมันตัวผู้หรือตัวเมียครับ”

    “ตัวเมียค่ะ เห็นมันหรือคะ” หญิงชรารีบถามอย่างมีความหวัง

    “อืม ไม่ครับ”

        ครั้นแล้วครูไพบูลย์ก็ปฏิเสธ คุณสายหยุดที่โน้มตัวมาตั้งใจฟังเต็มที่ร้อง อ้าว ออกอาการผิดหวัง

    “แล้วมาทำท่าเหมือนเห็น พ่อนี่ล่ะก็”ศักดาส่ายหน้าหัวเราะขำบิดา

    “เฮ้อ คว้าน้ำเหลวอีกตามเคย”

    สายหยุดบ่นพึม วิลาสินีหลังไหว้ทำความเคารพอาจารย์ศิลปะแล้วจึงนั่งฟังผู้ใหญ่คุยกันเงียบ ๆ หญิงสาวเห็นอัลบั้มรูปวางอยู่บนโต๊ะรับแขกจึงหยิบมาเปิดดู ครั้นแล้วดูเหมือนเจอสิ่งน่าสนใจ ดาราสาวจ้องมองภาพ ๆ หนึ่งในนั้นนิ่งนานเป็นพิเศษ สลับกับเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มลูกชายเจ้าของบ้าน สายหยุดเหลียวมาเห็นกิริยาลูกสาวจึงชะแง้มองตาม ครั้นเห็นภาพนั้นชัดก็อุทานว่า

    “ต๊าย นี่มันโรงเรียนที่บ้านเกิดพี่นี่ เอ๊ะ แล้วนี่ใคร ใช่อาจารย์หรือเปล่า”

    เธอแย่งอัลบั้มรูปจากมือลูกสาวยกขึ้นส่องใกล้ตา แล้วจิ้มนิ้วไปที่รูปผู้ชายคนหนึ่งในภาพ

    “อ้อ ใข่ครับ นั่นรูปผมเอง ตอนเป็นครูใหม่ ๆ ผมไปสอนอยู่ที่บ้านนอก สอนอยู่หลายปีกว่าจะย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง แล้วนั่นเจ้าแจ็คไง”

    ครูไพบูลย์ชี้ให้ดูภาพเด็กผู้ชายในชุดนักเรียนที่ยืนแถวหน้าในรูปถ่ายหมู่ของนักเรียนพร้อมครูอาจารย์ของโรงเรียนหนึ่ง ซึ่งก็คือผู้หมวดศักดา ลูกชายคนเดียวของเขานั่นเอง

    “เหรอคะ แหม อาจารย์ไม่เห็นเคยเล่าว่าไปสอนที่นั่น ถ้างั้น เอ๊ะ...แล้วเด็กผู้หญิงคนนี้ คุ้น ๆ แฮะ”

    สายหยุดหันมาจ้องหน้าลูกสาวที่นั่งเงียบ

    “ตายจริง แม่จำได้แล้ว แววก็มีรูปใบนี้นี่นา ใช่ไหมลูก”

    “ค่ะ คุณแม่ เด็กในรูปคนนั้นแววเอง สมัยเรียนอยู่ ปอ หนึ่ง พี่ ปอ. หก เขาถ่ายรูปกันแต่แวววิ่งไปขอถ่ายกับเขาด้วย”

    ศักดาสะดุดความคิดกึก ชายหนุ่มพึมพำ

    “แวว...น้องแวว”

    ฉับพลันเขาก็นึกออก สมัยที่เขาติดตามบิดาไปเรียนหนังสือในโรงเรียนที่พ่อสอนอยู่ มันเป็นโรงเรียนในจังหวัดห่างไกล ศักดาเข้าเรียนประถมหกที่นั่น ซึ่งในโรงเรียนนั้นมีเด็กนักเรียนหญิงประถมหนึ่งคนหนึ่งที่เขาเคยซื้อขนมให้กิน และช่วยสอนให้ทำการบ้านทุกวัน เด็กคนนั้นคอยตามเขาแจ เธอมักดักรอเขาอยู่หน้าโรงเรียนทุกเช้า พอเขาลงจากรถบิดา เด็กหญิงจะวิ่งเข้ามาจับมือ แล้วจูงมือเขาเข้าไปในโรงเรียน เธอทำแบบนั้นเป็นประจำทุกวัน

    จนกระทั่งบิดาย้ายเข้ามาสอนในเมืองกรุง เขาจากโรงเรียนนั้นมาโดยไม่ได้บอกลาเด็กหญิง ศักดาไม่ได้ติดใจคิดถึงเธออีกเลย...เด็กนักเรียนหญิงคนนั้นชื่อแวว

    “น้องแวว...”

    วิลาสินีมองตอบผู้ชายตรงหน้าอย่างน้อยใจ

    “ใช่ค่ะ แววเอง พี่แจ็คจำแววได้แล้ว”




      บรรพตก้มลงมองร่างน้อยที่อยู่ในอ้อมกอด บอบบาง นุ่มนิ่ม และอ่อนใสแสนบริสุทธิ์ เมื่ออยู่ใกล้พลอย เขารู้สึกราวได้กลิ่นหอมละมุนชวนชื่นใจของดอกไม้สีขาวท่ามกลางสายลมเย็นพัดโชย เสมือนได้ยืนอยู่ในทุ่งหญ้าโล่งกว้าง มีหยดน้ำค้างเกาะพราวตามปลายยอดหญ้าเขียวขจีในตอนเช้า พลอยคือความสดชื่น แจ่มใส กระตุ้นให้หัวใจหนุ่มใหญ่กระชุ่มกระชวย

    เธอเดินเข้ามาหยุดยืนหน้าประตูบ้านของเขาในคืนฝนพรำ อากาศเหน็บหนาวและชื้นแฉะ มันหนาวยะเยือกเข้าไปถึงหัวอกหัวใจ

    เมื่อเขาเปิดประตูรับ ร่างเด็กสาววัยกำดัดก็ถลาเข้ามาซบอก มือใหญ่อ้าออกก่อนค่อย ๆ กอดกระชับตัวเธอ พลอยตัวสั่นเหมือนกำลังหวาดกลัว ร่างหอมกรุ่นที่เฝ้าถวิลหาบัดนี้กำลังอยู่ในอ้อมแขนของเขาอีกครั้ง...นี่เขาคงไม่ได้ฝันไป

    ชายสูงวัยประคองร่างสาวน้อยเข้ามาข้างในบ้าน เขาพาเธอมานั่งบนเก้าอี้นวมตัวยาวที่ใช้นั่งพักผ่อนในห้องนั่งเล่น แล้วถามไถ่อ่อนโยน

    “ทำไมพลอยมาดึกอย่างนี้”

    “พ่อทิ้งพลอยให้อยู่คนเดียวค่ะ พลอยทั้งเหงาทั้งกลัว โชคดีจังที่มีพี่พรตอยู่ใกล้ ๆ"

    “คุณสมานทิ้งพลอยไปไหนจนดึกดื่นอีกล่ะนี่ พลอยน่าจะมาเร็วกว่านี้นะ มาเสียดึกเชียว”

    บรรพตถามอย่างห่วงใยระคนสงสัย ทำไมหมู่นี้สมานมักทอดทิ้งลูกสาวให้อยู่ตามลำพังบ่อยนัก ช่างไม่นึกถึงความปลอดภัย แม้ที่นี่จะมีเวรยามเฝ้ารักษาความปลอดภัยตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่บ้านไหนที่มีลูกสาวก็ไม่ควรชะล่าใจ แล้วยิ่งเป็นเด็กสาวแสนสวยแบบนี้...

    “วันนี้พ่อถูกเรียกตัวให้ไปอินโดนีเซียด่วนค่ะ เขาว่าที่นั่นมีเรื่องลึกลับของมนุษย์สายพันธุ์ประหลาด พ่อต้องรีบไปกะทันหัน สั่งพลอยว่าให้มาหาพี่เวลาต้องการความช่วยเหลือ” เธอเงยหน้านวลขึ้นตอบ

    "พลอยยังใหม่ต่อที่นี่ ปกติพลอยกับพ่อไม่เคยห่างกันค่ะ พ่อพาพลอยไปด้วยทุกที่ แต่คราวนี้พ่อทิ้งพลอยไว้เพราะพลอยงอแง"

    พูดจบก็ซุกใบหน้าลงกับบ่าของหนุ่มใหญ่

    "งอแง...พลอยงอแงเรื่องอะไรล่ะครับ"

    หนุ่มใหญ่ใจเต้น ถามแล้วแทบกลั้นใจฟังคำตอบ

    "พลอยไม่อยากจากพี่ไปนี่คะ"

    สาวน้อยตอบเสียงอู้อี้อยู่กับบ่าของชายรุ่นพ่อ ฉับพลัน เธอเงยหน้าสวยใสถามเขา

    "พี่พรตจะไล่พลอยกลับออกไปไหมคะ"

    "ไม่...ไม่ไล่ เพียงแต่พี่แปลกใจ พี่ขอโทษที่อาจพูดทำให้พลอยเข้าใจผิด เอ้อ...แล้วคุณสมานสั่งพลอยให้มาหาพี่งั้นเหรอครับ"

    รีบบอกแสดงความเป็นห่วง หวาดเกรงเธอจะโกรธคำพูดแบบนั้นของตัวเอง หน้าแฉล้มหมองลงทันทีที่ได้ยินคำถามถึงเรื่องบิดา

    “ค่ะ ที่จริงพ่อโกรธพลอย เพราะคราวนี้พลอยไม่ยอมไปด้วย พี่พรตคะ พลอยอายุสิบแปด พลอยโตแล้ว ดูแลตัวเองได้ แต่พ่อบอกยอมพลอยแค่ครั้งเดียว ต่อไปห้ามดื้ออีก พ่อบอกว่าจะไปประมาณอาทิตย์หนึ่งแน่ะค่ะ”

    
    (มีต่อค่ะ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่