ตอนที่ 7
โดย...ล. วิลิศมาหรา
“อ้าว คุณหมอมาพอดี เชิญครับเชิญ ขอบคุณที่มาร่วมงานนะครับ”
ครูไพบูลย์ลุกขึ้นเชื้อเชิญนายแพทย์เพื่อนบ้าน ศักดายกมือไหว้สวัสดีหมอศัลยกรรมแล้วรีบยกเก้าอี้มาเพิ่มให้ครบตามจำนวนคน เมื่อทั้งหมดนั่งลงแล้ว คุณสายหยุดยิ้มทักทายหมอบรรพต สายตาแลเลยไปยังสาวน้อยหน้านวลที่นั่งเคียงข้างหมอหนุ่มใหญ่ เธอเอ่ยถามขึ้น
“กำลังรอคุณหมออยู่พอดี ฉันบอกครูบู๊ว่าคุณหมอจะมาร่วมงานด้วย อ้อ หนูคนนี้คงเป็นเพื่อนบ้านข้าง ๆ คุณหมอสินะคะ ป้าเคยเห็นแวบ ๆ”
พลอยยกมือไหว้ทุกคนไปรอบ ๆ บรรพตยิ้มกว้าง เขาแนะนำตัวสาวน้อยต่อทุกคนด้วยท่าทีแสดงความสนิทสนม
“นี่คือน้องพลอยครับ ลูกสาวของดอกเตอร์สมาน เพื่อนบ้านคนใหม่ของเรา พลอยป่วยเป็นโรคแพ้แสงแดดรุนแรง เลยไม่ค่อยได้ออกจากบ้านตอนกลางวัน พอดีระยะนี้คุณสมานไปทำงานต่างประเทศครับ พลอยอยู่บ้านคนเดียว ผมเลยชวนพลอยมาร่วมแสดงความยินดีกับอาจารย์ด้วย”
นายแพทย์หนุ่มใหญ่ยื่นของขวัญที่อยู่ในมือให้เจ้าของงานวันเกิด ครูไพบูลย์หรือครูบู๊ยิ้มร่ารับมาถือไว้แล้วกล่าวขอบคุณ พร้อมกับเอ่ยชมเชยสาวน้อยตรงหน้า
“โอ้ ขอบคุณมาก ๆ ครับ ยินดีที่ได้รู้จักกับสาวน้อยน่ารักอย่างหนูพลอยครับ ดอกเตอร์สมานมีลูกสาวสวยมาก เอ คนบ้านแถวนี้เขามีลูกสาวสวยกันทุกคนเลยนะครับ”
ท้ายประโยคยังหันมาสัพยอกเพื่อนบ้านหญิงวัยเดียวกันอีกด้วย สายหยุดยิ้มตอบ เย้าคืนว่า
“ลูกชายอาจารย์ก็รูปหล่อค่ะ แถมคงเก่งเหมือนคุณพ่อ ฉันเห็นได้ลงข่าวหนังสือพิมพ์บ่อย ๆ ผู้หมวดขยันจับโจร”
ศักดาซึ่งนั่งฟังอยู่หัวเราะคำชมนั้น ขณะเดียวกัน สายตาของนายตำรวจหนุ่มก็ลอบสังเกตท่าทีของชายหญิงต่างวัยที่มาใหม่ตามวิสัยนายตำรวจนักสืบ ศักดาเห็นว่าคนทั้งสองดูเหมือนสนิทสนมกันมากกว่าเพื่อนบ้านธรรมดา นายแพทย์บรรพตขยับเก้าอี้เข้ามานั่งจนชิดเด็กสาวคนสวย สายตาของเขาที่จับจ้องมายังสาวน้อยข้างกายนั้นเปล่งประกายหวานเชื่อม เมื่อพูดถึงเธอคำพูดแสดงความใส่ใจเป็นพิเศษ ส่วนเด็กสาวผู้มีความงามและกลิ่นกายหอมอย่างน่าพิศวงนั้น เธอนั่งฟังผู้ใหญ่คุยกันเงียบ ๆ ยิ้มน้อย ๆ ให้คนทางซ้ายทีขวาที แต่ยังไม่เอ่ยปากพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว บางครั้งเมื่อเผอิญสบสายตากับนายตำรวจหนุ่มดูเหมือนเธอชะงักไปเล็กน้อย ก่อนคลี่ยิ้มอ่อนหวานน่ารักมาให้ ซึ่งศักดาก็ยิ้มตอบ
“แต่เมื่อกี้เกือบได้จับผีนี่ ผู้หมวดยังไม่ได้เล่าให้ฟังอย่างละเอียดเลย ตกลงผีที่ว่านั่นทันเห็นมันไหมว่าเป็นผีผู้หญิงหรือผีผู้ชาย”
“ผีอะไรที่ไหนหรือคะแม่”
วิลาสินีกับแม่บ้านชื่อนวลพากันถือถาดผลไม้กับขนมไทยอีกสองสามอย่างออกมาจากข้างในบ้าน ดาราสาวได้ยินสิ่งที่มารดาพูดแว่ว ๆ จึงถามขึ้นอย่างตื่นเต้น หล่อนวางผลไม้กับขนมไว้บนโต๊ะตรงกลาง หญิงสาวยิ้มหวานให้ศักดา นายตำรวจหนุ่มรีบลุกขึ้นขยับเก้าอี้ให้เธอนั่งอย่างเอาใจพลางยิ้มตอบ ส่วนนวลเลี่ยงไปจัดเตรียมอาหารปิ้งย่างให้แขกอยู่ที่หน้าเตาปิ้งย่างอีกด้านหนึ่ง
“อ๋อ ผู้หมวดแจ็คเขาขับรถชนผีจ้ะ ตรงสามแยกก่อนเลี้ยวเข้าโครงการเราใช่ไหมคะ ตรงนั้นมันเปลี่ยว เป็นอาคารโรงงานร้าง ๆ ที่โดนไฟไหม้ แล้วยังไงต่อนะคุณตำรวจ”
สายหยุดตอบคำถามลูกสาวแล้วซักถามศักดาต่ออย่างใคร่รู้
“พี่แจ็คขับรถชนผี”
วิลาสินีอุทานแล้วปิดปากหัวเราะกิ๊ก ดาราสาวไม่ค่อยเชื่อเรื่องผีสางนางไม้เท่าไหร่ ศักดากลัวเสียเชิงนายตำรวจใหญ่จึงเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างละเอียดว่าไม่ได้คิดไปเอง
“อืม...ผมเห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งตัดหน้ารถครับ ตรงที่คุณป้าสายหยุดบอกนั่นแหละ ผมขับชิดถนนด้านซ้ายเตรียมเลี้ยวเข้าโครงการ แค่เกือบขับชนแต่ยังไม่ได้ชนนะครับ รถผมเสียหลักไถลลงไหล่ทาง ผมบังคับรถให้หยุดได้ก็เลยไม่เป็นอะไร ทีนี้พอลงมาดู น่าแปลกมากที่ไม่เจออะไรเลย ผู้ชายคนที่ผมเห็นหายตัวไป แถวนั้นไม่มีใครอยู่เลยครับ รถก็ไม่ได้ชนกับอะไร ผมก็เลยคิดว่าเจอผีหลอกเข้าให้แล้ว”
“โชคดีจังที่พี่แจ็คไม่เป็นอะไร” วิลาสินีฟังแล้วอุทานออกมา ดวงตาคู่สวยฉายแววห่วงใย เธอแสดงออกว่าใส่ใจชายหนุ่มรุ่นพี่อย่างไม่ปิดบัง
“จะผีหรือคนก็ช่างมันเถอะ ขอแค่คนของเราไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ต่อไปเวลาขับรถพี่แจ็คก็ต้องระวังนิดนะคะ อย่าขับเร็วนัก”
กิริยาและคำพูดของหญิงสาวทำให้ทุกคนในที่นั้นจับได้ว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับนายตำรวจรูปหล่อ ครูไพบูลย์กับคุณสายหยุดลอบอมยิ้ม พยักพเยิดให้กันดูหนุ่มสาวทั้งคู่ วิลาสินีเห็นท่าทีของสองผู้อาวุโสก็เขินอายหน้าแดง เสขอตัวลุกไปเตรียมเครื่องดื่มมาบริการแขกในงาน ศักดามองตามร่างงามที่เขาพึงใจยิ้ม ๆ แล้วขอตัวลุกไปช่วยหญิงสาวบ้าง
ตลอดเวลาที่นั่งฟังศักดาเล่าเรื่องประหลาด เพียงพลอยเหลือบสายตามองนายตำรวจนักสืบเป็นระยะ ใบหน้าผุดผ่องของเธอหมองลง บางครั้งเธอก็แลดูใบหน้าสะอาดสะอ้านของชายข้างกายด้วยแววตาเศร้า สาวน้อยขยับตัวเข้าใกล้หมอหนุ่มใหญ่อีกนิดราวหวาดหวั่น ครูไพบูลย์เห็นท่าทีของเด็กสาวก็พูดตัดบท
“เอาล่ะ ๆ เราอย่าพูดเรื่องผีเผออะไรอีกเลย เจ้าแจ็คมันอาจเห็นนกหรือค้างคาวก็ได้ สายตากลางค่ำกลางคืนเวลาขับรถมันมองหลอกตา เอ้า มีอะไรมาเลี้ยงรับรองแขกก็ยกมาได้เลยนะเด็ก ๆ”
คำพูดหมายปลอบสาวน้อยให้หายกลัว แต่เพียงพลอยกลับนั่งตัวแข็ง อาจารย์ศิลปะไม่มีทางรู้เลยว่า คำว่า “ค้างคาว” จากปากของเขาจี้ใจดำของแม่สาวแวมไพร์เข้าอย่างจัง
“เอ้อ พลอยอยากขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ”
เสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นจากปากเด็กสาว ทุกคนร้อง อ้าว บรรพตคว้ามือน้อยที่วางอยู่บนตักของเธอมากุมไว้อย่างลืมตัว
“พลอยกลัวเหรอครับ” เขาถามกลั้วหัวเราะ เพราะนึกว่าเพียงพลอยกำลังหวาดกลัวเรื่องผีสางที่ได้ยิน
“เปล่าค่ะ” สาวน้อยแสนสวยส่ายศีรษะ
“พอดีพลอยนึกได้ว่าพ่ออาจติดต่อเข้ามาเวลานี้ทางสไก้ป์ค่ะ อยากขอตัวไปรอคุยกับคุณพ่อ เชิญพี่พรตกับคุณลุงคุณป้าตามสบายนะคะ พลอยต้องขอตัวก่อน ไว้โอกาสหน้าพลอยจะมาเยี่ยมใหม่ค่ะ”
โดยไม่รอให้ใครเหนี่ยวรั้ง เด็กสาวลุกขึ้นทันที บรรพตรีบลุกตาม
“เอ้อ ถ้างั้น ผมคงต้องขอตัวด้วยเช่นกันครับ ขอคุณพระอำนวยอวยพรให้อาจารย์บู๊สุขภาพแข็งแรง มีความสุขทุกคืนวันนะครับ”
“เอางั้นเหรอ ถ้างั้นไม่เป็นไรครับ แค่มาผมก็ดีใจแล้ว เชิญคุณหมอเถอะครับ เดินไปส่งน้องพลอยด้วยนะครับ”
เจ้าของวันเกิดเอ่ยอนุญาตอย่างไม่อยากขัดใจ นายแพทย์ศัลยกรรมหันมายิ้มให้ เขากล่าวร่ำลาอีกครั้งก่อนชวนสาวน้อยเดินออกจากบ้านที่จัดงานไป
“อ้าว ยังไม่ทันได้ดื่มกินอะไรเลย พากันกลับไปเสียแล้วเหรอคะ”
วิลาสินีถือถาดใส่เครื่องดื่มซึ่งคือน้ำส้มคั้นมาเต็มถาดถามขึ้นอย่างประหลาดใจ ศักดาเดินตามมาพร้อมจานใส่อาหาร ชายหนุ่มมองตามหลังคนทั้งคู่ที่เดินห่างออกไป นายตำรวจหนุ่มนิ่งคิดแล้วถามขึ้นอย่างสงสัย
“หมอบรรพตแกยังโสดเหรอครับ”
“เป็นหม้ายเมียตายค่ะ ลูกชายทำงานเป็นหมออยู่เมืองนอก”
คุณสายหยุดชิงเล่าอย่างรู้ดี เธอเองก็แอบเห็นพฤติกรรมของหมอศัลยกรรมกับเด็กสาวข้างบ้านอยู่ด้วยเหมือนกัน
“ท่าทางแกสนิทกับน้องคนนั้นจังเลยนะครับ ชื่ออะไรนะ อ้อ พลอย”
“คงเพราะเด็กคนนั้นป่วย สองบ้านนั้นท่าทางจะคุยกันบ่อยมั้ง”
ครูไพบูลย์ตั้งข้อสังเกตเป็นกลาง ๆ
“น่าสงสารนะคะ สวยมากเสียด้วยแต่ดันออกนอกบ้านไม่ได้ เห็นแต่ช่วงค่ำ ๆ แกชอบเข้าไปนั่งเล่นหน้าบ้านคุณหมอ โชคดีที่มีบ้านอยู่ใกล้หมอ ถ้าโรคนี้รักษาไม่หายชีวิตแกจะเป็นยังไงต่อไปล่ะนี่”
สายหยุดพูดถึงเด็กสาวที่มีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคประหลาดอย่างนึกเห็นใจ
“ผมว่า...หมอพรตก็คงยินดีจะรับดูแลรักษาน้องพลอยไปตลอดชีวิตกระมังครับ”
ศักดาพูดยิ้ม ๆ วิลาสินีส่งค้อนให้รุ่นพี่วงใหญ่
“ดูพูดจาเข้า คิดอคตินะคะพี่แจ็ค”
“ไม่รู้สิครับ ผมก็คิดไปตามประสาผู้ชาย เด็กคนนั้นถึงป่วยแต่ก็สวยมาก ท่าทางเรียบร้อยน่าสงสาร ส่วนอีกคนก็เป็นหมอ เหมาะสมกันดีนะผมว่า”
“อืม ช่างเขาเถอะ เขาช่วยเหลือกันก็ดีแล้ว รักกันก็ยิ่งดีใหญ่ รักดีกว่าเกลียดกัน เอ้า มาทานข้าวกันเถอะ เออแน่ะ นวลเอ้ย มานั่งนี่เถอะ”
ครูไพบูลย์พูดตัดบทเพราะไม่อยากยุ่งกับเรื่องของชาวบ้าน เขาเรียกแม่บ้านให้มานั่งทานอาหารสมทบ เพราะบัดนี้ก็ไม่มีแขกอื่นใดอีก นอกจากสองครอบครัว
หลังออกจากบ้านอาจารย์สอนศิลปะ บรรพตกลับมานอนแช่น้ำผสมครีมอาบน้ำหอมฟุ้งอยู่ในอ่างอาบน้ำกับร่างเปลือยของสาวน้อย เพียงพลอยหันหลังให้ร่างใหญ่ หมอศัลยกรรมบรรจงใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กถูแผ่นหลังเบา ๆ ให้ตามคำขอของเด็กสาว ชายสูงวัยถูหลังพลางลูบไล้เรือนกายละมุนอย่างทะนุถนอม สัมผัสเนื้อนิ่มไปเสียทุกซอกทุกมุม สักพักพลอยก็หันมาเผชิญหน้า เมื่อร่างหนั่นแน่นขยับเบียดชิด อารมณ์ดำกฤษณารุนแรงจึงเข้ารุกเร้า บรรพตทำตามใจปรารถนาของตัวเองอีกครั้ง
เพลงรักหนักหน่วงที่หนุ่มใหญ่กับสาวน้อยแสนสวยร่วมกันบรรเลงในอ่างอาบน้ำผ่านไปบทหนึ่งแล้ว เพลงใหม่หวานซึ้งเนิบช้าเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งบนเตียงนอนในห้องนอนราคาแพง สองร่างของหนุ่มสาวต่างวัยกอดก่ายกันหลังเพลงท่อนสุดท้ายจบลง บรรพตราวได้ขึ้นถึงสวรรค์ชั้นวิมานสูงสุด ครั้งแล้วครั้งเล่า จวบจนเขาหมดแรงผล็อยหลับไป
แสงจ้าของอรุณรุ่ง ส่องทะลุผ่านผ้าม่านสีอ่อนบางเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอน บรรพตหยีตาขึ้นมอง ร่างน้อยยังนอนซุกตัวอยู่ในอ้อมกอด เขาขยับตัวค่อย ๆ ประคองศีรษะของพลอยยกขึ้นจากซอกไหล่ เอาวางลงบนหมอนอย่างอ่อนโยน รู้สึกแปลกใจที่หน้าผากเธอรุม ๆ จึงใช้หลังมือแตะดูเบา ๆ พลอยเผยอเปลือกตาขึ้นมอง
"พลอยตัวร้อน สงสัยจะมีไข้ ปวดหัวหรือเปล่าจ๊ะ เดี๋ยวพี่ลุกไปหาปรอทมาวัดไข้ให้ก่อนนะ"
ก่อนร่างใหญ่จะลุกผละจากไป พลอยก็เอื้อมมือน้อยมาดึงแขนเขาไว้
“พี่คะกอดพลอยที”
เสียงเล็กใสเรียกหาสั่นเครือ บรรพตชะงัก ก้มมองใบหน้าสวยหวานของเพียงพลอย เขาสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเธอเผือดซีดลง บรรพตล้มตัวลงนอนเคียงร่างน้อยอีกครั้ง สอดแขนข้างหนึ่งเข้าใต้ร่างก่อนโอบเข้ามาหาตัว เพียงพลอยขยับตัวเข้าแนบชิด ซุกใบหน้าลงกับแผงอกของชายคนรัก บรรพตรู้สึกถึงน้ำตาของสาวน้อยที่เปียกชื้นบริเวณหน้าอกของเขา หนุ่มใหญ่รู้สึกตกใจรีบก้มหน้าลงถาม
“พลอยเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม”
“ปวดหัวค่ะพี่ พลอยเพลียมากด้วย”
“พลอยมีไข้แน่ ๆ นอนอยู่นี่เดี๋ยวนะครับ พี่ไปหายามาให้ทาน นะครับคนดี”
“พี่พรตอย่าทิ้งพลอยนะคะ พี่อย่าทิ้งพลอยไปไหนนะคะ”
เสียงเล็ก ๆ พูดราวพร่ำเพ้อ บรรพตตกใจมากกับอาการป่วยไข้กะทันหันของเด็กสาวคนรัก เขาค่อย ๆ แกะมือของเพียงพลอยที่จับแขนเขาเอาไว้ออก ปลอบโยนเสียงอ่อนว่า
“วางใจเถอะครับ พี่รักพลอย พี่ไม่มีวันทิ้งพลอยไปไหนแน่ครับ พี่สัญญา”
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
เสน่หาอำมหิต...มฤตยูยอดรัก ตอนที่ 7
โดย...ล. วิลิศมาหรา
“อ้าว คุณหมอมาพอดี เชิญครับเชิญ ขอบคุณที่มาร่วมงานนะครับ”
ครูไพบูลย์ลุกขึ้นเชื้อเชิญนายแพทย์เพื่อนบ้าน ศักดายกมือไหว้สวัสดีหมอศัลยกรรมแล้วรีบยกเก้าอี้มาเพิ่มให้ครบตามจำนวนคน เมื่อทั้งหมดนั่งลงแล้ว คุณสายหยุดยิ้มทักทายหมอบรรพต สายตาแลเลยไปยังสาวน้อยหน้านวลที่นั่งเคียงข้างหมอหนุ่มใหญ่ เธอเอ่ยถามขึ้น
“กำลังรอคุณหมออยู่พอดี ฉันบอกครูบู๊ว่าคุณหมอจะมาร่วมงานด้วย อ้อ หนูคนนี้คงเป็นเพื่อนบ้านข้าง ๆ คุณหมอสินะคะ ป้าเคยเห็นแวบ ๆ”
พลอยยกมือไหว้ทุกคนไปรอบ ๆ บรรพตยิ้มกว้าง เขาแนะนำตัวสาวน้อยต่อทุกคนด้วยท่าทีแสดงความสนิทสนม
“นี่คือน้องพลอยครับ ลูกสาวของดอกเตอร์สมาน เพื่อนบ้านคนใหม่ของเรา พลอยป่วยเป็นโรคแพ้แสงแดดรุนแรง เลยไม่ค่อยได้ออกจากบ้านตอนกลางวัน พอดีระยะนี้คุณสมานไปทำงานต่างประเทศครับ พลอยอยู่บ้านคนเดียว ผมเลยชวนพลอยมาร่วมแสดงความยินดีกับอาจารย์ด้วย”
นายแพทย์หนุ่มใหญ่ยื่นของขวัญที่อยู่ในมือให้เจ้าของงานวันเกิด ครูไพบูลย์หรือครูบู๊ยิ้มร่ารับมาถือไว้แล้วกล่าวขอบคุณ พร้อมกับเอ่ยชมเชยสาวน้อยตรงหน้า
“โอ้ ขอบคุณมาก ๆ ครับ ยินดีที่ได้รู้จักกับสาวน้อยน่ารักอย่างหนูพลอยครับ ดอกเตอร์สมานมีลูกสาวสวยมาก เอ คนบ้านแถวนี้เขามีลูกสาวสวยกันทุกคนเลยนะครับ”
ท้ายประโยคยังหันมาสัพยอกเพื่อนบ้านหญิงวัยเดียวกันอีกด้วย สายหยุดยิ้มตอบ เย้าคืนว่า
“ลูกชายอาจารย์ก็รูปหล่อค่ะ แถมคงเก่งเหมือนคุณพ่อ ฉันเห็นได้ลงข่าวหนังสือพิมพ์บ่อย ๆ ผู้หมวดขยันจับโจร”
ศักดาซึ่งนั่งฟังอยู่หัวเราะคำชมนั้น ขณะเดียวกัน สายตาของนายตำรวจหนุ่มก็ลอบสังเกตท่าทีของชายหญิงต่างวัยที่มาใหม่ตามวิสัยนายตำรวจนักสืบ ศักดาเห็นว่าคนทั้งสองดูเหมือนสนิทสนมกันมากกว่าเพื่อนบ้านธรรมดา นายแพทย์บรรพตขยับเก้าอี้เข้ามานั่งจนชิดเด็กสาวคนสวย สายตาของเขาที่จับจ้องมายังสาวน้อยข้างกายนั้นเปล่งประกายหวานเชื่อม เมื่อพูดถึงเธอคำพูดแสดงความใส่ใจเป็นพิเศษ ส่วนเด็กสาวผู้มีความงามและกลิ่นกายหอมอย่างน่าพิศวงนั้น เธอนั่งฟังผู้ใหญ่คุยกันเงียบ ๆ ยิ้มน้อย ๆ ให้คนทางซ้ายทีขวาที แต่ยังไม่เอ่ยปากพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว บางครั้งเมื่อเผอิญสบสายตากับนายตำรวจหนุ่มดูเหมือนเธอชะงักไปเล็กน้อย ก่อนคลี่ยิ้มอ่อนหวานน่ารักมาให้ ซึ่งศักดาก็ยิ้มตอบ
“แต่เมื่อกี้เกือบได้จับผีนี่ ผู้หมวดยังไม่ได้เล่าให้ฟังอย่างละเอียดเลย ตกลงผีที่ว่านั่นทันเห็นมันไหมว่าเป็นผีผู้หญิงหรือผีผู้ชาย”
“ผีอะไรที่ไหนหรือคะแม่”
วิลาสินีกับแม่บ้านชื่อนวลพากันถือถาดผลไม้กับขนมไทยอีกสองสามอย่างออกมาจากข้างในบ้าน ดาราสาวได้ยินสิ่งที่มารดาพูดแว่ว ๆ จึงถามขึ้นอย่างตื่นเต้น หล่อนวางผลไม้กับขนมไว้บนโต๊ะตรงกลาง หญิงสาวยิ้มหวานให้ศักดา นายตำรวจหนุ่มรีบลุกขึ้นขยับเก้าอี้ให้เธอนั่งอย่างเอาใจพลางยิ้มตอบ ส่วนนวลเลี่ยงไปจัดเตรียมอาหารปิ้งย่างให้แขกอยู่ที่หน้าเตาปิ้งย่างอีกด้านหนึ่ง
“อ๋อ ผู้หมวดแจ็คเขาขับรถชนผีจ้ะ ตรงสามแยกก่อนเลี้ยวเข้าโครงการเราใช่ไหมคะ ตรงนั้นมันเปลี่ยว เป็นอาคารโรงงานร้าง ๆ ที่โดนไฟไหม้ แล้วยังไงต่อนะคุณตำรวจ”
สายหยุดตอบคำถามลูกสาวแล้วซักถามศักดาต่ออย่างใคร่รู้
“พี่แจ็คขับรถชนผี”
วิลาสินีอุทานแล้วปิดปากหัวเราะกิ๊ก ดาราสาวไม่ค่อยเชื่อเรื่องผีสางนางไม้เท่าไหร่ ศักดากลัวเสียเชิงนายตำรวจใหญ่จึงเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างละเอียดว่าไม่ได้คิดไปเอง
“อืม...ผมเห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งตัดหน้ารถครับ ตรงที่คุณป้าสายหยุดบอกนั่นแหละ ผมขับชิดถนนด้านซ้ายเตรียมเลี้ยวเข้าโครงการ แค่เกือบขับชนแต่ยังไม่ได้ชนนะครับ รถผมเสียหลักไถลลงไหล่ทาง ผมบังคับรถให้หยุดได้ก็เลยไม่เป็นอะไร ทีนี้พอลงมาดู น่าแปลกมากที่ไม่เจออะไรเลย ผู้ชายคนที่ผมเห็นหายตัวไป แถวนั้นไม่มีใครอยู่เลยครับ รถก็ไม่ได้ชนกับอะไร ผมก็เลยคิดว่าเจอผีหลอกเข้าให้แล้ว”
“โชคดีจังที่พี่แจ็คไม่เป็นอะไร” วิลาสินีฟังแล้วอุทานออกมา ดวงตาคู่สวยฉายแววห่วงใย เธอแสดงออกว่าใส่ใจชายหนุ่มรุ่นพี่อย่างไม่ปิดบัง
“จะผีหรือคนก็ช่างมันเถอะ ขอแค่คนของเราไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ต่อไปเวลาขับรถพี่แจ็คก็ต้องระวังนิดนะคะ อย่าขับเร็วนัก”
กิริยาและคำพูดของหญิงสาวทำให้ทุกคนในที่นั้นจับได้ว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับนายตำรวจรูปหล่อ ครูไพบูลย์กับคุณสายหยุดลอบอมยิ้ม พยักพเยิดให้กันดูหนุ่มสาวทั้งคู่ วิลาสินีเห็นท่าทีของสองผู้อาวุโสก็เขินอายหน้าแดง เสขอตัวลุกไปเตรียมเครื่องดื่มมาบริการแขกในงาน ศักดามองตามร่างงามที่เขาพึงใจยิ้ม ๆ แล้วขอตัวลุกไปช่วยหญิงสาวบ้าง
ตลอดเวลาที่นั่งฟังศักดาเล่าเรื่องประหลาด เพียงพลอยเหลือบสายตามองนายตำรวจนักสืบเป็นระยะ ใบหน้าผุดผ่องของเธอหมองลง บางครั้งเธอก็แลดูใบหน้าสะอาดสะอ้านของชายข้างกายด้วยแววตาเศร้า สาวน้อยขยับตัวเข้าใกล้หมอหนุ่มใหญ่อีกนิดราวหวาดหวั่น ครูไพบูลย์เห็นท่าทีของเด็กสาวก็พูดตัดบท
“เอาล่ะ ๆ เราอย่าพูดเรื่องผีเผออะไรอีกเลย เจ้าแจ็คมันอาจเห็นนกหรือค้างคาวก็ได้ สายตากลางค่ำกลางคืนเวลาขับรถมันมองหลอกตา เอ้า มีอะไรมาเลี้ยงรับรองแขกก็ยกมาได้เลยนะเด็ก ๆ”
คำพูดหมายปลอบสาวน้อยให้หายกลัว แต่เพียงพลอยกลับนั่งตัวแข็ง อาจารย์ศิลปะไม่มีทางรู้เลยว่า คำว่า “ค้างคาว” จากปากของเขาจี้ใจดำของแม่สาวแวมไพร์เข้าอย่างจัง
“เอ้อ พลอยอยากขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ”
เสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นจากปากเด็กสาว ทุกคนร้อง อ้าว บรรพตคว้ามือน้อยที่วางอยู่บนตักของเธอมากุมไว้อย่างลืมตัว
“พลอยกลัวเหรอครับ” เขาถามกลั้วหัวเราะ เพราะนึกว่าเพียงพลอยกำลังหวาดกลัวเรื่องผีสางที่ได้ยิน
“เปล่าค่ะ” สาวน้อยแสนสวยส่ายศีรษะ
“พอดีพลอยนึกได้ว่าพ่ออาจติดต่อเข้ามาเวลานี้ทางสไก้ป์ค่ะ อยากขอตัวไปรอคุยกับคุณพ่อ เชิญพี่พรตกับคุณลุงคุณป้าตามสบายนะคะ พลอยต้องขอตัวก่อน ไว้โอกาสหน้าพลอยจะมาเยี่ยมใหม่ค่ะ”
โดยไม่รอให้ใครเหนี่ยวรั้ง เด็กสาวลุกขึ้นทันที บรรพตรีบลุกตาม
“เอ้อ ถ้างั้น ผมคงต้องขอตัวด้วยเช่นกันครับ ขอคุณพระอำนวยอวยพรให้อาจารย์บู๊สุขภาพแข็งแรง มีความสุขทุกคืนวันนะครับ”
“เอางั้นเหรอ ถ้างั้นไม่เป็นไรครับ แค่มาผมก็ดีใจแล้ว เชิญคุณหมอเถอะครับ เดินไปส่งน้องพลอยด้วยนะครับ”
เจ้าของวันเกิดเอ่ยอนุญาตอย่างไม่อยากขัดใจ นายแพทย์ศัลยกรรมหันมายิ้มให้ เขากล่าวร่ำลาอีกครั้งก่อนชวนสาวน้อยเดินออกจากบ้านที่จัดงานไป
“อ้าว ยังไม่ทันได้ดื่มกินอะไรเลย พากันกลับไปเสียแล้วเหรอคะ”
วิลาสินีถือถาดใส่เครื่องดื่มซึ่งคือน้ำส้มคั้นมาเต็มถาดถามขึ้นอย่างประหลาดใจ ศักดาเดินตามมาพร้อมจานใส่อาหาร ชายหนุ่มมองตามหลังคนทั้งคู่ที่เดินห่างออกไป นายตำรวจหนุ่มนิ่งคิดแล้วถามขึ้นอย่างสงสัย
“หมอบรรพตแกยังโสดเหรอครับ”
“เป็นหม้ายเมียตายค่ะ ลูกชายทำงานเป็นหมออยู่เมืองนอก”
คุณสายหยุดชิงเล่าอย่างรู้ดี เธอเองก็แอบเห็นพฤติกรรมของหมอศัลยกรรมกับเด็กสาวข้างบ้านอยู่ด้วยเหมือนกัน
“ท่าทางแกสนิทกับน้องคนนั้นจังเลยนะครับ ชื่ออะไรนะ อ้อ พลอย”
“คงเพราะเด็กคนนั้นป่วย สองบ้านนั้นท่าทางจะคุยกันบ่อยมั้ง”
ครูไพบูลย์ตั้งข้อสังเกตเป็นกลาง ๆ
“น่าสงสารนะคะ สวยมากเสียด้วยแต่ดันออกนอกบ้านไม่ได้ เห็นแต่ช่วงค่ำ ๆ แกชอบเข้าไปนั่งเล่นหน้าบ้านคุณหมอ โชคดีที่มีบ้านอยู่ใกล้หมอ ถ้าโรคนี้รักษาไม่หายชีวิตแกจะเป็นยังไงต่อไปล่ะนี่”
สายหยุดพูดถึงเด็กสาวที่มีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคประหลาดอย่างนึกเห็นใจ
“ผมว่า...หมอพรตก็คงยินดีจะรับดูแลรักษาน้องพลอยไปตลอดชีวิตกระมังครับ”
ศักดาพูดยิ้ม ๆ วิลาสินีส่งค้อนให้รุ่นพี่วงใหญ่
“ดูพูดจาเข้า คิดอคตินะคะพี่แจ็ค”
“ไม่รู้สิครับ ผมก็คิดไปตามประสาผู้ชาย เด็กคนนั้นถึงป่วยแต่ก็สวยมาก ท่าทางเรียบร้อยน่าสงสาร ส่วนอีกคนก็เป็นหมอ เหมาะสมกันดีนะผมว่า”
“อืม ช่างเขาเถอะ เขาช่วยเหลือกันก็ดีแล้ว รักกันก็ยิ่งดีใหญ่ รักดีกว่าเกลียดกัน เอ้า มาทานข้าวกันเถอะ เออแน่ะ นวลเอ้ย มานั่งนี่เถอะ”
ครูไพบูลย์พูดตัดบทเพราะไม่อยากยุ่งกับเรื่องของชาวบ้าน เขาเรียกแม่บ้านให้มานั่งทานอาหารสมทบ เพราะบัดนี้ก็ไม่มีแขกอื่นใดอีก นอกจากสองครอบครัว
หลังออกจากบ้านอาจารย์สอนศิลปะ บรรพตกลับมานอนแช่น้ำผสมครีมอาบน้ำหอมฟุ้งอยู่ในอ่างอาบน้ำกับร่างเปลือยของสาวน้อย เพียงพลอยหันหลังให้ร่างใหญ่ หมอศัลยกรรมบรรจงใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กถูแผ่นหลังเบา ๆ ให้ตามคำขอของเด็กสาว ชายสูงวัยถูหลังพลางลูบไล้เรือนกายละมุนอย่างทะนุถนอม สัมผัสเนื้อนิ่มไปเสียทุกซอกทุกมุม สักพักพลอยก็หันมาเผชิญหน้า เมื่อร่างหนั่นแน่นขยับเบียดชิด อารมณ์ดำกฤษณารุนแรงจึงเข้ารุกเร้า บรรพตทำตามใจปรารถนาของตัวเองอีกครั้ง
เพลงรักหนักหน่วงที่หนุ่มใหญ่กับสาวน้อยแสนสวยร่วมกันบรรเลงในอ่างอาบน้ำผ่านไปบทหนึ่งแล้ว เพลงใหม่หวานซึ้งเนิบช้าเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งบนเตียงนอนในห้องนอนราคาแพง สองร่างของหนุ่มสาวต่างวัยกอดก่ายกันหลังเพลงท่อนสุดท้ายจบลง บรรพตราวได้ขึ้นถึงสวรรค์ชั้นวิมานสูงสุด ครั้งแล้วครั้งเล่า จวบจนเขาหมดแรงผล็อยหลับไป
แสงจ้าของอรุณรุ่ง ส่องทะลุผ่านผ้าม่านสีอ่อนบางเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอน บรรพตหยีตาขึ้นมอง ร่างน้อยยังนอนซุกตัวอยู่ในอ้อมกอด เขาขยับตัวค่อย ๆ ประคองศีรษะของพลอยยกขึ้นจากซอกไหล่ เอาวางลงบนหมอนอย่างอ่อนโยน รู้สึกแปลกใจที่หน้าผากเธอรุม ๆ จึงใช้หลังมือแตะดูเบา ๆ พลอยเผยอเปลือกตาขึ้นมอง
"พลอยตัวร้อน สงสัยจะมีไข้ ปวดหัวหรือเปล่าจ๊ะ เดี๋ยวพี่ลุกไปหาปรอทมาวัดไข้ให้ก่อนนะ"
ก่อนร่างใหญ่จะลุกผละจากไป พลอยก็เอื้อมมือน้อยมาดึงแขนเขาไว้
“พี่คะกอดพลอยที”
เสียงเล็กใสเรียกหาสั่นเครือ บรรพตชะงัก ก้มมองใบหน้าสวยหวานของเพียงพลอย เขาสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเธอเผือดซีดลง บรรพตล้มตัวลงนอนเคียงร่างน้อยอีกครั้ง สอดแขนข้างหนึ่งเข้าใต้ร่างก่อนโอบเข้ามาหาตัว เพียงพลอยขยับตัวเข้าแนบชิด ซุกใบหน้าลงกับแผงอกของชายคนรัก บรรพตรู้สึกถึงน้ำตาของสาวน้อยที่เปียกชื้นบริเวณหน้าอกของเขา หนุ่มใหญ่รู้สึกตกใจรีบก้มหน้าลงถาม
“พลอยเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม”
“ปวดหัวค่ะพี่ พลอยเพลียมากด้วย”
“พลอยมีไข้แน่ ๆ นอนอยู่นี่เดี๋ยวนะครับ พี่ไปหายามาให้ทาน นะครับคนดี”
“พี่พรตอย่าทิ้งพลอยนะคะ พี่อย่าทิ้งพลอยไปไหนนะคะ”
เสียงเล็ก ๆ พูดราวพร่ำเพ้อ บรรพตตกใจมากกับอาการป่วยไข้กะทันหันของเด็กสาวคนรัก เขาค่อย ๆ แกะมือของเพียงพลอยที่จับแขนเขาเอาไว้ออก ปลอบโยนเสียงอ่อนว่า
“วางใจเถอะครับ พี่รักพลอย พี่ไม่มีวันทิ้งพลอยไปไหนแน่ครับ พี่สัญญา”
(โปรดติดตามตอนต่อไป)