ซีรี่ย์ ดอกไม้ หัวใจ ในควันปืน : ปรปักษ์เสน่หา (บทที่ ๕)

ธีรเดชหมกมุ่นอยู่กับองค์ประกอบของหลักฐานแต่ละชิ้นที่ได้มา ซึ่งดูแล้วไม่ต่างอะไรกับจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจาย..และขณะนั้น ผู้กองดนัยก็เดินเข้ามา พร้อมลูกน้องติดตามอีกนาย
“คืนนี้มีคำสั่งให้คุณคุมทีมออกตรวจพื้นที่..เดี๋ยวผมจะเตรียมคนไว้ให้”

คนฟังขมวดคิ้ว
“ผมต้องออกตรวจพื้นที่ด้วยเรอะ”

“ใช่ คุณมีปัญหางั้นเรอะ” คำถามที่ย้อนกลับมาเครียดเขม็ง...ผู้ที่มียศต่ำกว่าลอบถอนใจ

“ไม่มีครับ”

“ดี..อย่าทำตัวให้มีปัญหาล่ะ..แล้วดาบกิ้งจะคอยเป็นผู้ช่วยในคืนนี้” สั่งจบ ก็หมุนร่างเดินจากไป ธีรเดชได้แต่มองตามอย่างงุนงง..แค่ที่เขามานั่งตรงนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ชวนให้ประหลาดใจมากพอแล้ว แต่ผู้คนที่นี่กลับทำตัวได้แปลกประหลาดกว่าเสียอีก

ยามค่ำคืน...
ธีรเดชได้รับกำลังสนับสนุนจากผู้กองดนัยเป็นนายตำรวจชั้นประทวน 5 นาย..และดาบกิ้งเป็นคนพากลุ่มตำรวจทั้งหมดมายังย่านสถานบันเทิง โดยบอกธีรเดชว่า มีคนร้องเรียนเข้ามาว่าสถานที่แห่งนี้เปิดเกินเวลา และเดินตรงเข้าไปยังเป้าหมาย ซึ่งภายในกำลังเปิดเพลงดังกระหึ่ม แสงสีกราดไปทั่วกระทบกลุ่มนักเที่ยวที่กำลังขยับร่างตามจังหวะเร้าใจ บ้างมีฝุ่นผงสีฟุ้งกระจายมาจากนักเต้นที่กำลังวาดลีลาอย่างเมามันส์ตามมุมต่างๆ...แต่ความสนุกยุติในทันใดพร้อมแสงไฟถูกเปิดสว่างจ้า..เสียงแห่งความไม่พอใจจากกลุ่มนักเที่ยวดังขึ้นทันที

ขณะที่ธีรเดชกวาดสายตามองไปทั่วสถานที่ กลุ่มนายตำรวจกระจายกำลังกวาดต้อนนักเที่ยวโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากเขา และอีกด้าน เสียงของดาบกิ้งกำลังปะทะเดือดกับนักเที่ยวคนหนึ่งที่อยู่ในอาการเมามาย ทำให้ชายหนุ่มละสายตาจากนักท่องเที่ยวชายตรงหน้า เพื่อหันมองเหตุการณ์ เห็นดาบกิ้งมีสีหน้าโกรธจัดกับการถูกคู่กรณีด่าทอด้วยถ้อยคำรุนแรง ก่อนพุ่งเข้าผลักอกร่างใหญ่ของนายตำรวจจนเซถอยหลัง และในวินาทีนั้น ธีรเดชหลุดอุทานอย่างตื่นตะลึง

“เฮ้ย!”
แทบจะเป็นจังหวะเดียวกับที่ดาบกิ้งชักปืนออกมายิงขึ้นฟ้า

เปรี้ยง!!

ชายหนุ่มรีบกระโจนเข้าไปยึดปืนของนายดาบ เพราะเกรงว่าจะมีการลั่นกระสุนนัดต่อไป ในขณะที่คู่กรณีถึงกับเข่าทรุดมองตาเหลือกลาน หายเมาเป็นปลิดทิ้ง..เสียงกรีดร้องมาพร้อมกับความโกลาหลของเหล่านักเที่ยวที่พากันวิ่งแตกตื่นมีมากมายจนเกินกว่ากำลังตำรวจที่มีเพียงหยิบมือจะควบคุมได้

ธีรเดชหมุนไปมาในความวุ่นวายนั้นได้ไม่กี่อึดใจ นายตำรวจอีกชุดก็โผล่เข้ามาควบคุมสถานการณ์ได้อย่างฉับไวอย่างเกินความคาดหมาย และขณะนั้น..นายตำรวจคนหนึ่งที่เขาจำได้ว่าเคยเห็นพูดคุยอยู่กับดนัยก็เดินเข้ามาหา พูดด้วยรอยยิ้มหยัน
“นายนี่ ก่อเรื่องได้เยี่ยมมาก!”

“ผมไม่ได้ทำอะไร” ธีรเดชยืนยันเสียงแข็ง และมองตามสายตาของอีกฝ่ายที่ปรายลงมองปืนที่เขายึดมาจากดาบกิ้ง ก่อนสายตายียวนคู่นั้นจะตวัดขึ้นมองสบ

“เก็บคำแก้ตัวไว้ก่อนเถอะ..นายได้ใช้แน่!”


เช้าวันต่อมา..
ธีรเดชยืนเคร่งเครียดต่อหน้าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ...ซึ่งด้านนอกมีกลุ่มนักข่าวมาออกันแน่นขนัด ด้วยอยากจะยิงคำถามกับนายตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุระทึกขวัญเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา และอยากรู้ว่าทีมปฏิบัติงานนั้นมีนายตำรวจคนไหนบ้าง แต่ทั้งหมดถูกนายตำรวจกันให้อยู่ในพื้นที่จำกัด และไร้การปริปากให้ข่าวแต่อย่างใด

จำรัสโยนแฟ้มสำนวนลงบนโต๊ะ พิจารณาชายหนุ่มตรงหน้าเพียงอึดใจ ก็สรุปข้อตัดสินออกมา
“นายถูกพักราชการหนึ่งเดือน”

ธีรเดชอ้าปากค้าง “พักราชการหนึ่งเดือน! มันไม่เป็นการลงโทษที่หนักเกินไปรึครับ..ผมไม่ได้ทำผิดวินัยร้ายแรงอะไร”

“คุณปล่อยปละถึงขนาดให้ผู้ใต้บังคับบัญชาใช้อาวุธโดยไม่มีเหตุอันควรนี่ก็ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง เพราะคุณเป็นหัวหน้า คุณต้องรับผิดชอบทุกอย่าง”

“แต่นั่นมันเหตุสุดวิสัยนะครับ แล้ว..”

จำรัสตบโต๊ะ พร้อมลุกขึ้นยืนประกาศเสียงกร้าว “ผมไม่ฟังคำแก้ตัว..คุณคิดบ้างไหม ถ้าหากเมื่อคืนดาบกิ้งยิงคนขึ้นมาจริงๆ ความเสียหายมันไม่ได้เกิดแค่เรื่องเสียชื่อเสียง แต่มันคือความสูญเสียที่จะนำไปสู่เหตุบานปลาย..แค่ทุกวันนี้ ประชาชนก็มองตำรวจไม่เหมือนคนอยู่แล้ว คุณยังจะทำเรื่องให้มันเลวร้ายลงไปอีกเรอะ!”

“ผมไม่ได้อยากจะทำเรื่องให้มันเลวร้าย แต่..”

“แค่นั้นก็พอแล้ว ! ” ท่านจำรัสโพล่งกลางลำ โดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพูดจบ “ในเมื่อคุณเลือกที่จะเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ คุณก็ต้องยึดประชาชนเป็นหลัก ไม่ใช่ยึดแต่ตัวเอง..ผมแค่พักราชการ เพื่อให้คุณได้มีเวลาทบทวนตัวเอง คุณอาจจะรู้สึกเครียด ที่จู่ๆต้องมารับผิดชอบคดีอะไรที่มันใหญ่เกินตัวเช่นนี้..พักผ่อนก่อน แล้วค่อยกลับมาทำคดีใหม่ก็ยังไม่สายไปหรอก”

คำพูดนั้นปิดหนทางโต้แย้ง

ธีรเดชข่มความรู้สึกเดือดดาลไว้สุดกลั้น..ในหัวตั้งคำถามสารพัดที่หาคำตอบไม่ได้วนเวียนอยู่อย่างอื้ออึง “แล้วดาบกิ้งล่ะครับ ท่านมีคำสั่งว่าอย่างไร..ท่านตัดสินโดยไม่ผ่านคณะกรรมการเหมือนอย่างผมไหม”
“เขาถูกสั่งพักเหมือนกัน..จบเรื่องแล้ว คุณออกไปได้”

เมื่ออีกฝ่ายไม่คิดจะฟังคำอธิบาย ธีรเดชจึงจำต้องยกมือตะเบ๊ะรับคำสั่ง
“ครับท่าน”

ชายหนุ่มหันร่างเดินออกจากห้อง นึกอยากหาที่ระบายอารมณ์โกรธของตนโดยเร็ว
“นี่มันเรื่องเฮงซวยอะไรวะ!?”

เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองถูกพามาเชือดยังไงก็ไม่รู้..และขณะที่เดินกลับโต๊ะทำงาน สายตาเหลือบเห็นดาบกิ้งกำลังพูดคุยอยู่กับผู้กองดนัยและตำรวจอีกนายที่ร่วมปฏิบัติภารกิจกับเขาเมื่อคืน แต่รอยยิ้มที่ผุดพรายบนใบหน้านายตำรวจทั้งสองมันไม่ได้แสดงอาการทุกข์ร้อนใดๆเลย..ธีรเดชหยุดตัวเองเพื่อมองภาพตรงหน้าให้แจ่มชัด จนบุคคลทั้งสามรู้ตัว หันมามองทางเขาชั่วแวบ นายตำรวจชั้นประทวนสองนายก็พากันเดินไป เหลือเพียงผู้กองดนัยที่ยังคงกอดอกพิงร่างกับผนังมองสบเขาด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ธีรเดชยิงคำถามทันทีขณะย่างสามขุมเข้าหา

“พวกคุณรวมหัวกันแกล้งผมใช่ไหม”

“ทำไมจะต้องทำอย่างนั้น” ดนัยตอบกลับ และหันเดินเข้าห้องทำงาน ซึ่งธีรเดชก็ตามติด

“ผมก็ไม่รู้ คุณช่วยอธิบายหน่อยเถอะ ว่านี่มันเรื่องห่าเหวอะไรกัน..พวกคุณถึงได้เอาผมมาเชือดกันแบบนี้!”

“โว้ว ๆ..อย่าเพิ่งเดือดสิ” ดนัยยังคงยิ้มละไมใส่ใบหน้าเข้มดุดันของนายตำรวจรุ่นน้อง “โลกเราทุกวันนี้มันก็อยู่ยากแบบนี้ล่ะ” พูดพลางหยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้หน้าตาเฉย “เอ้า”

ธีรเดชชะงักทั้งคำพูดทั้งอารมณ์โกรธ มองนามบัตรนั้นอย่างงุนงง “..ทำไม..?”

“คนตระกูลนี้ไม่ติดต่อกับตำรวจอย่างพวกเราโดยตรง แต่จะผ่านทนายคนนี้แทน..ถ้าอยากรู้อะไรเพิ่มเติม คุณต้องติดต่อเขาเอง”

คนฟังยิ่งงงหนัก “..ผมถูกแขวน 1 เดือนเต็มๆเลยนะ..คุณน่าจะรู้ดี”

ดนัยไหวไหล่ “ก็รู้..เห็นว่าถูกแขวนเป็นเดือนก็กลัวจะเหงา..อีกอย่าง เจ้านายสั่งแค่ว่าไม่ต้องให้คุณเข้ามายุ่มย่ามในสำนักงาน แต่ไม่ได้ห้ามไม่ให้ทำอะไรข้างนอกนี่..แต่ถ้าไม่สนใจก็ไม่เป็นไร” ดนัยแสร้งพูดพึมพำอย่างไม่ยี่หระในตอนท้าย พร้อมทำท่าจะเก็บนามบัตร แต่ธีรเดชคว้าหมับ

“ก็ดีกว่าอยู่เฉยๆ” และนำมันใส่กระเป๋าเสื้อของตนทันที ดนัยลอบยิ้มมุมปาก และชี้ไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์

“คุณยังมีเวลาโหลดข้อมูลแค่วันนี้ ก่อนระบบจะตัดรหัสผ่านของคุณ..อยากได้อะไรก็รีบๆเอาไปซะ” ผู้กองหนุ่มทำท่าจะเดินไป แต่ก็หันกลับมาอีก “อ้อ! ทางที่ดี ออกทางประตูหนีไฟดีที่สุด ถ้าไม่อยากเป็นคนดัง”

“ขอบคุณที่เตือน” ธีรเดชบอก แต่อีกฝ่ายขยิบตาให้

“ไม่เป็นไร..ก็นายมันน่ารักนี่นะ”

คนฟังได้ยินประโยคนี้เข้าไปถึงกับขนลุกซู่ ในขณะที่อีกฝ่ายเดินผิวปากหวืออย่างอารมณ์ดี..ที่เขาให้ความสนับสนุนธีรเดชเป็นเพราะอยากให้คดีนี้เดินหน้า ไปพร้อมๆกับคดีอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเขากำลังตามสืบจนไม่มีเวลามาจมปลักอยู่กับคดีที่เต็มไปด้วยตัวจิ๊กซอว์แบบนี้..และเขาสนใจกระบวนการคิดในการหาะคำตอบของธีรเดช จึงคิดจะให้ชายหนุ่มช่วยสืบคดีอีกทาง และแม้จะไม่ได้คาดหวังว่าธีรเดชจะสามารถไขคดีได้ แต่ก็คิดว่า หนุ่มรุ่นน้องคนนี้จะสามารถหาจิ๊กซอว์มาเพิ่มเติมได้มากพอสมควร และตอนนั้น เขาจะหาทางรวบมันมาเป็นผลงานของเขาเสียเอง

(ต่อค่ะ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่