เสน่หาอำมหิตตอนที่ 24
โดย G. K. Line
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตอนที่ผ่านมา
ตอนที่ 1
http://ppantip.com/topic/35511893
ตอนที่ 2
http://ppantip.com/topic/35525322
ตอนที่ 3
http://ppantip.com/topic/35548846
ตอนที่ 4
http://ppantip.com/topic/35745046
ตอนที่ 5
http://ppantip.com/topic/35777648
ตอนที่ 6
http://ppantip.com/topic/35830253
ตอนที่ 7
https://ppantip.com/topic/35889067
ตอนที่ 8
https://ppantip.com/topic/35933454
ตอนที่ 9
https://ppantip.com/topic/36261735
https://ppantip.com/topic/36261735
ตอนที่ 10
https://ppantip.com/topic/36383435
ตอนที่ 11
https://ppantip.com/topic/36498587
ตอนที่ 12
https://ppantip.com/topic/36532991
ตอนที่ 13
https://ppantip.com/topic/36551173
ตอนที่ 14
https://ppantip.com/topic/36611979
ตอนที่ 15
https://ppantip.com/topic/36624941
ตอนที่ 16
https://ppantip.com/topic/36728812
ตอนที่ 17
https://ppantip.com/topic/36800068
ตอนที่ 18
https://ppantip.com/topic/36828750
ตอนที่ 19
https://ppantip.com/topic/36868177
ตอนที่ 20
https://ppantip.com/topic/36899053
ตอนที่ 21
https://ppantip.com/topic/36956762
ตอนที่ 22
https://ppantip.com/topic/36992522
ตอนที่ 23
https://ppantip.com/topic/37042498
24.
ร่างของสองพ่อลูกค่อยๆ สูญสลายกลายเป็นละอองธุลี แผ่วพลิ้วไปกับสายลมที่จู่ๆ ก็พัดเข้ามา เป็นลมที่ทั้งสงบและอ่อนโยนราวกับตั้งใจจะมารับทั้งคู่ไปสู่อีกภพภูมิที่ดีกว่านี้
ชั่วครู่ก่อนที่ทั้งคู่จะดับสูญ บรรยากาศของสองพ่อลูกบุญธรรมที่เคยเป็นศัตรูคู่แค้นมาตลอดชีวิตเปลี่ยนแปลงไป จิตแห่งการฆ่าฟัน ความคลุ้มคลั่ง ความโกรธ เกลียดชัง อันแรงกล้าจากบุคคลทั้งสองจางหายไป สิ่งที่สัมผัสได้ในลมหายใจช่วงสุดท้ายมีเพียงความรัก ความเข้าใจ ของกันและกันเท่านั้น
คงไม่มีอะไรให้ติดค้างในใจอีกแล้วสำหรับทั้งคู่ นี่อาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับเรื่องราวในครั้งนี้
ความมืดสลัวกลับมาทาทับอีกครั้งเมื่อเปลวไฟดับมอดลง ทั้งโกดังร้างกลับกลายเป็นเงียบเชียบอีกครา ได้ยินเพียงเสียงหวีดหวิว เสียงใบไม้เสียดสี เสียงสัตว์เล็กสัตว์น้อยกำลังเคลื่อนไหวแหวกพงหญ้า เสียงแมลงกลางคืนร้องเพลง
ศักดา วิภาดา และบรรพต ต่างยืนกันนิ่ง ไม่มีใครขยับแม้เพียงแค่ปลายนิ้ว คล้ายกับพวกเขาเกิดความไม่แน่ใจขึ้นมาในจิตใจ เรื่องทั้งหมดจบลงแล้วใช่ไหม หรือว่านี่เป็นเพียงฝันไป หรืออันที่จริงแล้วพวกเขาตายไปแล้วและนี่คือโลกหลังความตายกันแน่
ไม่หรอก หน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะ ลมหายใจที่ยังรับรู้ได้บอกว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ และหากพวกเขายังมีชีวิตอยู่นั่นก็แปลว่าสิ่งที่เห็นเป็นเรื่องจริง การต่อสู้จบลงไปแล้ว แม้จะเป็นในแบบที่ไม่คาดคิด แต่พวกเขาต่างก็เป็นหนึ่งในผู้ที่รอดจากการแลกชีวิตในค่ำคืนนี้
“มันจบแล้วใช่มั้ยคะ” วิภาดาถามเลื่อนลอยเหมือนคนไร้สติ เพื่อหวังจะให้มั่นใจว่าตัวเธอเข้าใจไม่ผิดไป
“ใช่ มันจบแล้ว” ศักดาช่วยย้ำให้เธอมั่นใจว่าเข้าใจไม่ผิด ก่อนจะเดินเข้าไปยืนเคียงข้างกัน
“พลอย พลอย...” บรรพตที่เริ่มตั้งสติได้ร้องเรียกหาหญิงคนรักเป็นอันดับแรก
“เดี๋ยวก่อนค่ะ วิว่าปล่อยให้เธอหลับอยู่อย่างนี้ดีกว่า ส่วนคุณหมอช่วยกรุณาอยู่กับที่ตรงนี้ก่อนนะคะ”
วิภาดาห้ามปรามหมอหนุ่ม ในขณะที่เขาคิดจะไปยังสำนักงานชั้นสองเพื่อปลุกเพียงพลอย ท่ามกลางความแปลกใจของชายหนุ่มทั้งสองว่าหญิงสาวทำแบบนั้นด้วยสาเหตุใด
“ทำไมล่ะวิ เราควรจะขึ้นไปนำตัวเพียงพลอยลงมา และออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดมากกว่านะ เพราะอาจจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นมาอีกก็ได้ หรืออย่างน้อยหากเรายังอยู่ที่นี่จนกระทั่งรุ่งสาง ก็อาจจะมีใครมาพบพวกเราในสภาพแบบนี้ ซึ่งน่าจะไม่เป็นการดี”
มันควรจะเป็นแบบนั้น สัญชาตญาณระแวดระวังของตำรวจและนักล่าอสุรกายทำให้ศักดาเป็นแบบนั้นเสมอมา ต้องทำอะไรที่ปลอดภัยและมั่นใจที่สุดไว้ก่อน และนั่นก็ทำให้เขายังรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้
ในขณะที่นายตำรวจพูด ดูเหมือนวิภาดาจะไม่ได้สนใจฟังเท่าใดนัก เธอเดินไปหยิบปืนของสมานที่ตกอยู่กับพื้นขึ้นมา
“พี่ศักเองก็เหมือนกัน ช่วยอยู่นิ่งๆ กับที่สักครู่หนึ่งจะได้ไหมคะ” พูดพลางจ่อปากกระบอกปืนไปยังชายคนรัก การกระทำนี้ทำเอาศักดาถึงกับแสดงสีหน้าไม่เข้าใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“วิ วิทำอะไร นี่มันหมายความว่ายังไง”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสับสน ลังเล ไม่แน่ใจ รู้สึกกระอักกระอ่วนคล้ายมีเกลียวคลื่นตีม้วนอยู่ในช่องท้อง
“อย่าถามอะไรมากไปกว่านี้เลยค่ะ ช่วยอยู่เฉยๆ อย่างที่วิบอก แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อยเอง”
ไม่กล้าแม้แต่จะสบตา เธอพูดพลางหลบตาลงต่ำ น้ำเสียงสั่นเครือและเต็มไปด้วยความไม่มั่นคง อาการทั้งหมดที่แสดงออกมาทำให้นายตำรวจสรุปเอาได้ง่ายๆ ว่าเธอคงไม่เต็มใจที่จะทำนัก นั่นหมายความว่าเธออาจจะทำเพราะความจำเป็น หรืออาจจะถูกใครบังคับให้ต้องทำแบบนี้
“วิ วิไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ มีอะไรบอกพี่ได้นะ เราจะช่วยกันแก้ไข เราจะจัดการปัญหาทั้งหมดให้คลี่คลายไปด้วยกัน”
“พอเถอะค่ะ อย่าพูดอะไรอีก วิไม่อยากให้คืนนี้มีคนต้องเสียสละเพิ่มอีกแล้ว ช่วยอย่าถามอะไรอีกเลย”
ไม่ทันจะพูดจบ วิภาดาก็ตวาดเสียงดังออกมาจนชายหนุ่มคู่สนทนาถึงกับนิ่งอึ้งไป ในจังหวะที่หญิงสาวกำลังเสียสมาธิ เธอลืมไปว่าในโกดังนี้ยังมีบรรพตอยู่อีกคน หมอหนุ่มเห็นโอกาสนั้นจึงพุ่งตัวเข้าหาหมายจะกระแทกให้เธอเสียการทรงตัว
‘เปรี้ยง’
(มีต่อ)
เสน่หาอำมหิตตอนที่ 24
โดย G. K. Line
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
24.
ร่างของสองพ่อลูกค่อยๆ สูญสลายกลายเป็นละอองธุลี แผ่วพลิ้วไปกับสายลมที่จู่ๆ ก็พัดเข้ามา เป็นลมที่ทั้งสงบและอ่อนโยนราวกับตั้งใจจะมารับทั้งคู่ไปสู่อีกภพภูมิที่ดีกว่านี้
ชั่วครู่ก่อนที่ทั้งคู่จะดับสูญ บรรยากาศของสองพ่อลูกบุญธรรมที่เคยเป็นศัตรูคู่แค้นมาตลอดชีวิตเปลี่ยนแปลงไป จิตแห่งการฆ่าฟัน ความคลุ้มคลั่ง ความโกรธ เกลียดชัง อันแรงกล้าจากบุคคลทั้งสองจางหายไป สิ่งที่สัมผัสได้ในลมหายใจช่วงสุดท้ายมีเพียงความรัก ความเข้าใจ ของกันและกันเท่านั้น
คงไม่มีอะไรให้ติดค้างในใจอีกแล้วสำหรับทั้งคู่ นี่อาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับเรื่องราวในครั้งนี้
ความมืดสลัวกลับมาทาทับอีกครั้งเมื่อเปลวไฟดับมอดลง ทั้งโกดังร้างกลับกลายเป็นเงียบเชียบอีกครา ได้ยินเพียงเสียงหวีดหวิว เสียงใบไม้เสียดสี เสียงสัตว์เล็กสัตว์น้อยกำลังเคลื่อนไหวแหวกพงหญ้า เสียงแมลงกลางคืนร้องเพลง
ศักดา วิภาดา และบรรพต ต่างยืนกันนิ่ง ไม่มีใครขยับแม้เพียงแค่ปลายนิ้ว คล้ายกับพวกเขาเกิดความไม่แน่ใจขึ้นมาในจิตใจ เรื่องทั้งหมดจบลงแล้วใช่ไหม หรือว่านี่เป็นเพียงฝันไป หรืออันที่จริงแล้วพวกเขาตายไปแล้วและนี่คือโลกหลังความตายกันแน่
ไม่หรอก หน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะ ลมหายใจที่ยังรับรู้ได้บอกว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ และหากพวกเขายังมีชีวิตอยู่นั่นก็แปลว่าสิ่งที่เห็นเป็นเรื่องจริง การต่อสู้จบลงไปแล้ว แม้จะเป็นในแบบที่ไม่คาดคิด แต่พวกเขาต่างก็เป็นหนึ่งในผู้ที่รอดจากการแลกชีวิตในค่ำคืนนี้
“มันจบแล้วใช่มั้ยคะ” วิภาดาถามเลื่อนลอยเหมือนคนไร้สติ เพื่อหวังจะให้มั่นใจว่าตัวเธอเข้าใจไม่ผิดไป
“ใช่ มันจบแล้ว” ศักดาช่วยย้ำให้เธอมั่นใจว่าเข้าใจไม่ผิด ก่อนจะเดินเข้าไปยืนเคียงข้างกัน
“พลอย พลอย...” บรรพตที่เริ่มตั้งสติได้ร้องเรียกหาหญิงคนรักเป็นอันดับแรก
“เดี๋ยวก่อนค่ะ วิว่าปล่อยให้เธอหลับอยู่อย่างนี้ดีกว่า ส่วนคุณหมอช่วยกรุณาอยู่กับที่ตรงนี้ก่อนนะคะ”
วิภาดาห้ามปรามหมอหนุ่ม ในขณะที่เขาคิดจะไปยังสำนักงานชั้นสองเพื่อปลุกเพียงพลอย ท่ามกลางความแปลกใจของชายหนุ่มทั้งสองว่าหญิงสาวทำแบบนั้นด้วยสาเหตุใด
“ทำไมล่ะวิ เราควรจะขึ้นไปนำตัวเพียงพลอยลงมา และออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดมากกว่านะ เพราะอาจจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นมาอีกก็ได้ หรืออย่างน้อยหากเรายังอยู่ที่นี่จนกระทั่งรุ่งสาง ก็อาจจะมีใครมาพบพวกเราในสภาพแบบนี้ ซึ่งน่าจะไม่เป็นการดี”
มันควรจะเป็นแบบนั้น สัญชาตญาณระแวดระวังของตำรวจและนักล่าอสุรกายทำให้ศักดาเป็นแบบนั้นเสมอมา ต้องทำอะไรที่ปลอดภัยและมั่นใจที่สุดไว้ก่อน และนั่นก็ทำให้เขายังรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้
ในขณะที่นายตำรวจพูด ดูเหมือนวิภาดาจะไม่ได้สนใจฟังเท่าใดนัก เธอเดินไปหยิบปืนของสมานที่ตกอยู่กับพื้นขึ้นมา
“พี่ศักเองก็เหมือนกัน ช่วยอยู่นิ่งๆ กับที่สักครู่หนึ่งจะได้ไหมคะ” พูดพลางจ่อปากกระบอกปืนไปยังชายคนรัก การกระทำนี้ทำเอาศักดาถึงกับแสดงสีหน้าไม่เข้าใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“วิ วิทำอะไร นี่มันหมายความว่ายังไง”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสับสน ลังเล ไม่แน่ใจ รู้สึกกระอักกระอ่วนคล้ายมีเกลียวคลื่นตีม้วนอยู่ในช่องท้อง
“อย่าถามอะไรมากไปกว่านี้เลยค่ะ ช่วยอยู่เฉยๆ อย่างที่วิบอก แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อยเอง”
ไม่กล้าแม้แต่จะสบตา เธอพูดพลางหลบตาลงต่ำ น้ำเสียงสั่นเครือและเต็มไปด้วยความไม่มั่นคง อาการทั้งหมดที่แสดงออกมาทำให้นายตำรวจสรุปเอาได้ง่ายๆ ว่าเธอคงไม่เต็มใจที่จะทำนัก นั่นหมายความว่าเธออาจจะทำเพราะความจำเป็น หรืออาจจะถูกใครบังคับให้ต้องทำแบบนี้
“วิ วิไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ มีอะไรบอกพี่ได้นะ เราจะช่วยกันแก้ไข เราจะจัดการปัญหาทั้งหมดให้คลี่คลายไปด้วยกัน”
“พอเถอะค่ะ อย่าพูดอะไรอีก วิไม่อยากให้คืนนี้มีคนต้องเสียสละเพิ่มอีกแล้ว ช่วยอย่าถามอะไรอีกเลย”
ไม่ทันจะพูดจบ วิภาดาก็ตวาดเสียงดังออกมาจนชายหนุ่มคู่สนทนาถึงกับนิ่งอึ้งไป ในจังหวะที่หญิงสาวกำลังเสียสมาธิ เธอลืมไปว่าในโกดังนี้ยังมีบรรพตอยู่อีกคน หมอหนุ่มเห็นโอกาสนั้นจึงพุ่งตัวเข้าหาหมายจะกระแทกให้เธอเสียการทรงตัว
‘เปรี้ยง’
(มีต่อ)