เสน่หาอำมหิต...มฤตยูยอดรัก
โดย...ล. วิลิศมาหรา
ตอนที่ 10
แสงแดดยามสายส่องต้องรถเก๋งคันงามที่จอดนิ่งสนิทอยู่ข้างถนนทางไปหมู่บ้านโครงการฟ้าใหม่ ก่อนถึงสามแยกออกสู่ถนนสายหลักเล็กน้อย ผู้คนขับขี่ยวดยานและเดินผ่านไปมาไม่ใคร่มีใครให้ความสนใจรถคันนี้มากนัก แต่หากใครเคยผ่านทางมาตอนช่วงสี่ทุ่มของเมื่อคืนนี้อาจจะจำได้ เพราะเก๋งสปอร์ตคันโก้จอดอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เวลานั้นแล้ว
ภายในรถเก๋งคันดังกล่าว นายร้อยตำรวจนอนเอียงกะเท่เร่คาเบาะนั่งคนขับ ศีรษะตะแคงเกยอยู่บนเบาะข้าง ๆ และขณะนี้เขาพึ่งรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาจากอาการสลบไสลเพราะฤทธิ์ยาสลบ ศักดาลืมตาขึ้นมองอย่างงุนงง สติยังไม่คืนมาเต็มร้อย เขาค่อย ๆ ชันตัวลุกขึ้นนั่งช้า ๆ ปวดตุบบริเวณศีรษะจนต้องยกมือสองข้างขึ้นมากุมไว้ สมองมึนงงไปหมดนึกอะไรไม่ค่อยออก ภาพความทรงจำเหตุการณ์ที่ผ่านมามัวเบลอ ชายหนุ่มหลับตาลงพลางขมวดคิ้วนิ่วหน้าทบทวนความจำ แต่แล้วรู้สึกคล้ายโลกกำลังโคลงเคลง สักพักก็หมุนคว้าง ปวดมวนในท้องพร้อมทั้งคลื่นไส้อยากจะอาเจียน เขาต้องกล้ำกลืนอาการผิดปกติ นั่งกุมศีรษะอยู่นานกว่าอาการเหล่านั้นจะทุเลาและภาพในหัวค่อยๆ เด่นชัด
ชายหนุ่มสลัดศีรษะเรียกสติให้กลับคืนมาอย่างสมบูรณ์โดยเร็ว พลางเริ่มลำดับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเอง...ครั้นแล้วเขาก็จำได้ เมื่อคืนนี้เขาถูกดักลักพาตัวโดยผู้ชายลึกลับสองคนจากสาเหตุพิสดาร
และพอนึกถึงใบหน้าสยดสยองของชายรูปร่างเหมือนผีตายซาก ตำรวจหนุ่มก็สะดุ้งขึ้นเฮือก...ให้ตาย...เมื่อคืนนี้เขาผจญกับอมนุษย์ พวกมันสองคนนั่นไม่ใช่คน เจ้าผู้ชายแต่งตัวด้วยชุดสีดำคนนั้นบอกว่าตัวมันเป็นไลแคนหรือมนุษย์หมาป่า เคลื่อนไหวรวดเร็วจนเขากระดิกนิ้วลั่นไกเข้าใส่ไม่ทัน ส่วนเจ้าผีดิบตนนั้นก็แยกเขี้ยวยาวขาววับโชว์ความแหลมคมให้เขาตกใจกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ
พวกมันดักจับตัวเขาไปเจรจา แถมเล่าเรื่องราวสุดประหลาดของสองพ่อลูกคนบ้านใกล้เรือนเคียงกับบิดาให้ฟัง
ไม่ได้การ...ศักดานึกเป็นห่วงความปลอดภัยของบิดาขึ้นมาทันควัน ไหนจะวิลาสินีกับแม่ของเธออีกล่ะ กลับไปดูให้รู้แน่ว่าพวกเขาปลอดภัยดีเสียก่อนจากนั้นค่อยคลำหาเงื่อนงำของเรื่องนี้ทีหลัง
ชายหนุ่มประคองตัวลุกขึ้นนั่ง ฉับพลันมือของเขากระทบเข้ากับวัตถุสิ่งหนึ่งบนเบาะข้างคนขับตรงที่ตัวเองนอนฟุบอยู่ เจ้าวัตถุแบน ๆ สีดำนี้มันคือโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งซึ่งไม่ใช่โทรศัพท์ของเขา ทันใดนั้นเสียงเรียกเข้าก็กรีดดังขึ้น...กริ๊งงงงง
นายตำรวจหนุ่มสะดุ้งโหยง เพ่งมองดูมันราวพบสิ่งประหลาดที่สุดในโลก เขาไม่ยอมเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมารับสาย แต่เสียงโทรศัพท์ลึกลับยังคงแผดดังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง
...เฮ้ย เราเป็นตำรวจนะ กลัวคนร้ายทำไมวะ ศักดาเริ่มคิดเคร่งเครียด สายตาจับจ้องอยู่ที่โทรศัพท์ปริศนา
...แต่มันไม่ใช่คนร้ายธรรมดานี่หว่า พวกมันเป็นผีดิบ...เขาร่ำร้องบอกตัวเองในใจ ความรู้สึกตอนนี้มีทั้งสับสนและหวาดผวาปนเปกันไป แต่แล้วความอยากรู้ตามสัญชาตญาณของนักสืบก็บอกเขาว่า...ถ้าไม่ลองรับสายมันดู ทุกสิ่งก็จะเป็นปริศนาอยู่อย่างนี้ ไม่มีวันคลี่คลาย ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ
“รับช้าจริงคุณตำรวจ” เสียงห้าวจากปลายสายเป็นเสียงซึ่งนายตำรวจหนุ่มจำได้แม่นว่าเป็นมัน เสียงของเจ้ามนุษย์หมาป่าตนนั้น
“แกกล้ามากนะที่ทำกับตำรวจแบบนี้” ศักดาทำเสียงเข้มเข้าใส่ทั้ง ๆหัวอกหัวใจยังเต้นแรงสั่นระรัว พลันได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจดังลั่นมาตามสาย
“ไม่เอาน่าขอกันกินมากกว่านี้ ผมขอโทษก็ได้ที่ใช้วิธีนี้กับคุณ ผมแค่อยากคุยด้วย บอกแล้วไงว่าเราสองคนมาดี ไม่เคยคิดทำร้ายคุณสักนิด”
“มาดี...แน่ใจนะ” ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์หนุ่มขึ้นเสียงสูงอย่างมีโมโหเมื่อนึกถึงสิ่งซึ่งถูกกระทำ
“พวกแกดักทุบหัวฉัน จับตัวไปมัด แล้วยังโปะยาสลบให้อีก แบบนี้เหรอมาดี” คนปลายสายยังหัวเราะร่วน ไม่สนใจอารมณ์ขุ่นเคืองของอีกฝ่าย ย้อนถามว่า
“ถ้าผมไม่ทำแบบนี้คุณจะยอมยืนฟังผมเล่าดี ๆ ไหมล่ะ”
ศักดาอึ้ง ก็คงจะจริง พอรู้ว่าพวกมันไม่ใช่มนุษย์เขาก็สติแตก ตกใจจนคุมอาการไม่อยู่ ก็ลองใครมาเจอเหตุการณ์แบบเดียวกับเขาดูสิ ไม่ปัสสาวะราดกางเกงเข้าให้ก็บุญแล้ว แม้แต่ตอนนี้เขายังรู้สึกเหมือนฝันไป จนต้องหยิกขาเตือนตัวเองแรง ๆ หลายครั้งให้รู้ว่ากำลังตื่นอยู่
“แกต้องการอะไรกันแน่” ในเมื่อมันคือเรื่องจริงสุดพิสดารก็คงจำต้องเสาะหาข้อมูลตามประสานักสืบ นายตำรวจจึงลองถามซ้ำ เสียงถอนหายใจดัง ๆ จากปลายสายคล้ายเหนื่อยหน่ายที่คุยกันไม่เข้าใจเสียที มนุษย์ประหลาดพูดเน้นเสียงช้าชัด
“ผู้หมวดครับ ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วว่ามีเพียงครอบครัวคุณที่สามารถเข้าถึงตัวพวกมันสองคนได้ เพียงแค่คุณขยันสร้างความสัมพันธ์ด้วยจนพวกมันตายใจ แล้วเรามาร่วมมือกันวางแผนจับตัวพวกมันกลับสถาบันของผมอย่างลับ ๆโดยเปลี่ยนรูปคดีให้เป็นอย่างอื่น เมื่อผมได้ตัวพวกมันแล้วทีนี้เรื่องก็จะจบลงอย่างสวยงาม ทั้งพ่อคุณ แฟนคุณและคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านของพ่อคุณ รวมทั้งประชาชนคนไทยก็จะปลอดภัยจากเจ้าพวกนั้น แต่หากคุณไม่ร่วมมือกับผม ปล่อยพวกมันไว้ ทุกคนที่ผมกล่าวถึงก็ย่อมตกอยู่ในอันตราย หรือถ้ามันระแคะระคายว่าผมตามมันเจอ พวกมันก็จะพากันหลบหนีไปสร้างความเดือดร้อนให้ที่อื่นอีกอย่างไม่รู้จบสิ้น คุณพอเข้าใจไหมครับ”
นายร้อยตำรวจนิ่งฟังอย่างกลัดกลุ้ม คนปลายสายพูดราวเป็นเรื่องง่ายดาย แต่เขารู้ดีว่าสถานการณ์เลวร้ายกำลังจะบังเกิดขึ้น ทั้งกับตัวเองและคนแวดล้อม ลักษณะท่าทาง พฤติกรรมการแสดงออก ตลอดจนคำพูดของผู้ชายคนนี้ไม่ทำให้เขาเชื่อถือได้เลยสักนิดว่ามีเจตนาดี พวกมันขู่เขากลาย ๆ ด้วยซ้ำว่าให้ระวังบุคคลอันเป็นที่รักซึ่งมันหมายถึงบิดาและแฟนสาวของเขานั่นเอง
สมองคิดหาทางออกอย่างรวดเร็ว ขณะนี้เขาควรทำเป็นยินยอมพวกมันไปก่อนดีกว่า แล้วค่อยหาวิธีจัดการกับเรื่องนี้อีกที ศักดาเสียงอ่อนลง ทำทีรับปากตอบตกลง
“พอเข้าใจแล้ว ถ้างั้นฉันขอเวลาคิดหาวิธีทำความสนิทสนมกับพวกเขาก่อนสักพัก เรื่องนี้ไม่ใช่ทำได้ง่าย ๆ ภายในวันสองวัน นายเองก็รู้ จริงมั้ย”
“มันก็จริงอยู่ แต่อย่าให้นานนักนะคุณตำรวจ แวมไพร์พวกนั้นกินเลือดเป็นอาหารคุณก็รู้ เวลาหิวขึ้นมาพวกมันคงไม่รออะไร ตอนนี้มันคงมีอาหารเก็บตุนถึงยังไม่ออกล่าเหยื่อ เพราะฉะนั้น ผมขอแนะนำว่าจะทำอะไรให้รีบทำเข้า ก่อนจะมีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นกับใครที่นั่นอีก แล้วผมจะรอฟังความคืบหน้าจากคุณ สวัสดี”
ปลายสายกดปิดสัญญาณสิ้นสุดการเจรจา นายตำรวจหนุ่มจ้องมองหมายเลขติดต่อบนหน้าจอโทรศัพท์อย่างหมายมั่น หลังจัดการเรื่องความปลอดภัยให้บิดากับครอบครัวคนรักเรียบร้อยแล้ว อันดับแรกที่จะทำก็คือ ต้องรู้ให้ชัดว่าพวกแกเป็นใครต่างหาก...ไอ้พวกผีห่าซาตานนรก!
นายตำรวจนักสืบยังไม่เชื่อสิ่งที่เจ้าอมนุษย์บอกร้อยเปอร์เซ็นต์
(มีต่อค่ะ)
เสน่หาอำมหิต...มฤตยูยอดรัก ตอนที่ 10
โดย...ล. วิลิศมาหรา
แสงแดดยามสายส่องต้องรถเก๋งคันงามที่จอดนิ่งสนิทอยู่ข้างถนนทางไปหมู่บ้านโครงการฟ้าใหม่ ก่อนถึงสามแยกออกสู่ถนนสายหลักเล็กน้อย ผู้คนขับขี่ยวดยานและเดินผ่านไปมาไม่ใคร่มีใครให้ความสนใจรถคันนี้มากนัก แต่หากใครเคยผ่านทางมาตอนช่วงสี่ทุ่มของเมื่อคืนนี้อาจจะจำได้ เพราะเก๋งสปอร์ตคันโก้จอดอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เวลานั้นแล้ว
ภายในรถเก๋งคันดังกล่าว นายร้อยตำรวจนอนเอียงกะเท่เร่คาเบาะนั่งคนขับ ศีรษะตะแคงเกยอยู่บนเบาะข้าง ๆ และขณะนี้เขาพึ่งรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาจากอาการสลบไสลเพราะฤทธิ์ยาสลบ ศักดาลืมตาขึ้นมองอย่างงุนงง สติยังไม่คืนมาเต็มร้อย เขาค่อย ๆ ชันตัวลุกขึ้นนั่งช้า ๆ ปวดตุบบริเวณศีรษะจนต้องยกมือสองข้างขึ้นมากุมไว้ สมองมึนงงไปหมดนึกอะไรไม่ค่อยออก ภาพความทรงจำเหตุการณ์ที่ผ่านมามัวเบลอ ชายหนุ่มหลับตาลงพลางขมวดคิ้วนิ่วหน้าทบทวนความจำ แต่แล้วรู้สึกคล้ายโลกกำลังโคลงเคลง สักพักก็หมุนคว้าง ปวดมวนในท้องพร้อมทั้งคลื่นไส้อยากจะอาเจียน เขาต้องกล้ำกลืนอาการผิดปกติ นั่งกุมศีรษะอยู่นานกว่าอาการเหล่านั้นจะทุเลาและภาพในหัวค่อยๆ เด่นชัด
ชายหนุ่มสลัดศีรษะเรียกสติให้กลับคืนมาอย่างสมบูรณ์โดยเร็ว พลางเริ่มลำดับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเอง...ครั้นแล้วเขาก็จำได้ เมื่อคืนนี้เขาถูกดักลักพาตัวโดยผู้ชายลึกลับสองคนจากสาเหตุพิสดาร
และพอนึกถึงใบหน้าสยดสยองของชายรูปร่างเหมือนผีตายซาก ตำรวจหนุ่มก็สะดุ้งขึ้นเฮือก...ให้ตาย...เมื่อคืนนี้เขาผจญกับอมนุษย์ พวกมันสองคนนั่นไม่ใช่คน เจ้าผู้ชายแต่งตัวด้วยชุดสีดำคนนั้นบอกว่าตัวมันเป็นไลแคนหรือมนุษย์หมาป่า เคลื่อนไหวรวดเร็วจนเขากระดิกนิ้วลั่นไกเข้าใส่ไม่ทัน ส่วนเจ้าผีดิบตนนั้นก็แยกเขี้ยวยาวขาววับโชว์ความแหลมคมให้เขาตกใจกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ
พวกมันดักจับตัวเขาไปเจรจา แถมเล่าเรื่องราวสุดประหลาดของสองพ่อลูกคนบ้านใกล้เรือนเคียงกับบิดาให้ฟัง
ไม่ได้การ...ศักดานึกเป็นห่วงความปลอดภัยของบิดาขึ้นมาทันควัน ไหนจะวิลาสินีกับแม่ของเธออีกล่ะ กลับไปดูให้รู้แน่ว่าพวกเขาปลอดภัยดีเสียก่อนจากนั้นค่อยคลำหาเงื่อนงำของเรื่องนี้ทีหลัง
ชายหนุ่มประคองตัวลุกขึ้นนั่ง ฉับพลันมือของเขากระทบเข้ากับวัตถุสิ่งหนึ่งบนเบาะข้างคนขับตรงที่ตัวเองนอนฟุบอยู่ เจ้าวัตถุแบน ๆ สีดำนี้มันคือโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งซึ่งไม่ใช่โทรศัพท์ของเขา ทันใดนั้นเสียงเรียกเข้าก็กรีดดังขึ้น...กริ๊งงงงง
นายตำรวจหนุ่มสะดุ้งโหยง เพ่งมองดูมันราวพบสิ่งประหลาดที่สุดในโลก เขาไม่ยอมเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมารับสาย แต่เสียงโทรศัพท์ลึกลับยังคงแผดดังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง
...เฮ้ย เราเป็นตำรวจนะ กลัวคนร้ายทำไมวะ ศักดาเริ่มคิดเคร่งเครียด สายตาจับจ้องอยู่ที่โทรศัพท์ปริศนา...แต่มันไม่ใช่คนร้ายธรรมดานี่หว่า พวกมันเป็นผีดิบ...เขาร่ำร้องบอกตัวเองในใจ ความรู้สึกตอนนี้มีทั้งสับสนและหวาดผวาปนเปกันไป แต่แล้วความอยากรู้ตามสัญชาตญาณของนักสืบก็บอกเขาว่า...ถ้าไม่ลองรับสายมันดู ทุกสิ่งก็จะเป็นปริศนาอยู่อย่างนี้ ไม่มีวันคลี่คลาย ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ
“รับช้าจริงคุณตำรวจ” เสียงห้าวจากปลายสายเป็นเสียงซึ่งนายตำรวจหนุ่มจำได้แม่นว่าเป็นมัน เสียงของเจ้ามนุษย์หมาป่าตนนั้น
“แกกล้ามากนะที่ทำกับตำรวจแบบนี้” ศักดาทำเสียงเข้มเข้าใส่ทั้ง ๆหัวอกหัวใจยังเต้นแรงสั่นระรัว พลันได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจดังลั่นมาตามสาย
“ไม่เอาน่าขอกันกินมากกว่านี้ ผมขอโทษก็ได้ที่ใช้วิธีนี้กับคุณ ผมแค่อยากคุยด้วย บอกแล้วไงว่าเราสองคนมาดี ไม่เคยคิดทำร้ายคุณสักนิด”
“มาดี...แน่ใจนะ” ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์หนุ่มขึ้นเสียงสูงอย่างมีโมโหเมื่อนึกถึงสิ่งซึ่งถูกกระทำ
“พวกแกดักทุบหัวฉัน จับตัวไปมัด แล้วยังโปะยาสลบให้อีก แบบนี้เหรอมาดี” คนปลายสายยังหัวเราะร่วน ไม่สนใจอารมณ์ขุ่นเคืองของอีกฝ่าย ย้อนถามว่า
“ถ้าผมไม่ทำแบบนี้คุณจะยอมยืนฟังผมเล่าดี ๆ ไหมล่ะ”
ศักดาอึ้ง ก็คงจะจริง พอรู้ว่าพวกมันไม่ใช่มนุษย์เขาก็สติแตก ตกใจจนคุมอาการไม่อยู่ ก็ลองใครมาเจอเหตุการณ์แบบเดียวกับเขาดูสิ ไม่ปัสสาวะราดกางเกงเข้าให้ก็บุญแล้ว แม้แต่ตอนนี้เขายังรู้สึกเหมือนฝันไป จนต้องหยิกขาเตือนตัวเองแรง ๆ หลายครั้งให้รู้ว่ากำลังตื่นอยู่
“แกต้องการอะไรกันแน่” ในเมื่อมันคือเรื่องจริงสุดพิสดารก็คงจำต้องเสาะหาข้อมูลตามประสานักสืบ นายตำรวจจึงลองถามซ้ำ เสียงถอนหายใจดัง ๆ จากปลายสายคล้ายเหนื่อยหน่ายที่คุยกันไม่เข้าใจเสียที มนุษย์ประหลาดพูดเน้นเสียงช้าชัด
“ผู้หมวดครับ ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วว่ามีเพียงครอบครัวคุณที่สามารถเข้าถึงตัวพวกมันสองคนได้ เพียงแค่คุณขยันสร้างความสัมพันธ์ด้วยจนพวกมันตายใจ แล้วเรามาร่วมมือกันวางแผนจับตัวพวกมันกลับสถาบันของผมอย่างลับ ๆโดยเปลี่ยนรูปคดีให้เป็นอย่างอื่น เมื่อผมได้ตัวพวกมันแล้วทีนี้เรื่องก็จะจบลงอย่างสวยงาม ทั้งพ่อคุณ แฟนคุณและคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านของพ่อคุณ รวมทั้งประชาชนคนไทยก็จะปลอดภัยจากเจ้าพวกนั้น แต่หากคุณไม่ร่วมมือกับผม ปล่อยพวกมันไว้ ทุกคนที่ผมกล่าวถึงก็ย่อมตกอยู่ในอันตราย หรือถ้ามันระแคะระคายว่าผมตามมันเจอ พวกมันก็จะพากันหลบหนีไปสร้างความเดือดร้อนให้ที่อื่นอีกอย่างไม่รู้จบสิ้น คุณพอเข้าใจไหมครับ”
นายร้อยตำรวจนิ่งฟังอย่างกลัดกลุ้ม คนปลายสายพูดราวเป็นเรื่องง่ายดาย แต่เขารู้ดีว่าสถานการณ์เลวร้ายกำลังจะบังเกิดขึ้น ทั้งกับตัวเองและคนแวดล้อม ลักษณะท่าทาง พฤติกรรมการแสดงออก ตลอดจนคำพูดของผู้ชายคนนี้ไม่ทำให้เขาเชื่อถือได้เลยสักนิดว่ามีเจตนาดี พวกมันขู่เขากลาย ๆ ด้วยซ้ำว่าให้ระวังบุคคลอันเป็นที่รักซึ่งมันหมายถึงบิดาและแฟนสาวของเขานั่นเอง
สมองคิดหาทางออกอย่างรวดเร็ว ขณะนี้เขาควรทำเป็นยินยอมพวกมันไปก่อนดีกว่า แล้วค่อยหาวิธีจัดการกับเรื่องนี้อีกที ศักดาเสียงอ่อนลง ทำทีรับปากตอบตกลง
“พอเข้าใจแล้ว ถ้างั้นฉันขอเวลาคิดหาวิธีทำความสนิทสนมกับพวกเขาก่อนสักพัก เรื่องนี้ไม่ใช่ทำได้ง่าย ๆ ภายในวันสองวัน นายเองก็รู้ จริงมั้ย”
“มันก็จริงอยู่ แต่อย่าให้นานนักนะคุณตำรวจ แวมไพร์พวกนั้นกินเลือดเป็นอาหารคุณก็รู้ เวลาหิวขึ้นมาพวกมันคงไม่รออะไร ตอนนี้มันคงมีอาหารเก็บตุนถึงยังไม่ออกล่าเหยื่อ เพราะฉะนั้น ผมขอแนะนำว่าจะทำอะไรให้รีบทำเข้า ก่อนจะมีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นกับใครที่นั่นอีก แล้วผมจะรอฟังความคืบหน้าจากคุณ สวัสดี”
ปลายสายกดปิดสัญญาณสิ้นสุดการเจรจา นายตำรวจหนุ่มจ้องมองหมายเลขติดต่อบนหน้าจอโทรศัพท์อย่างหมายมั่น หลังจัดการเรื่องความปลอดภัยให้บิดากับครอบครัวคนรักเรียบร้อยแล้ว อันดับแรกที่จะทำก็คือ ต้องรู้ให้ชัดว่าพวกแกเป็นใครต่างหาก...ไอ้พวกผีห่าซาตานนรก!
นายตำรวจนักสืบยังไม่เชื่อสิ่งที่เจ้าอมนุษย์บอกร้อยเปอร์เซ็นต์
(มีต่อค่ะ)