ขอกล่าวคำว่า สวัสดี อีกครั้งนะครับ สำหรับผู้อ่านทุกๆท่านที่เข้ามาอ่าน ขอขอบคุณทุกคนที่ตามอ่านเรื่อยมา และขอขอบคุณ ผู้อ่านหน้าใหม่ ที่เพิ่งเข้ามาเป็นครั้งแรก ผมขอออกตัวก่อนเช่นเคยว่า เรื่องที่ผมเคยนั้นเขียนมาจาก ‘ประสบการณ์’ หรือก็คือ เรื่องที่ผมเคยเจอมาด้วยตนเอง นั่นหมายถึง นี่ไม่ใช่ ‘เรื่องแต่ง’ และแน่นอนว่า ทั้งหมดนี้ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อ แสวงหาผลประโยชน์ใดๆ เป็นเพียงการ เล่า เท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เพราะทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับความเชื่อส่วนบุคคล ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆ หากสิ่งใดไม่ถูกใจท่าน ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย และขอให้อ่านเพียงเพื่อความบังเอิญเท่านั้น
..............................................................................................................................................................................
กลางดึกคืนหนึ่งผมกำลังขี่รถมอเตอร์ไซด์ของผมไปตามถนนที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ผมไม่รู้ว่าผมขี่มาไกลเท่าไหร่ หรือว่านานเท่าไหร่แล้ว ผมแค่อยากขี่ ขี่ไปเรื่อยๆ ไปตามถนน ไปตามแสงไฟ เพื่อหนี... หนีจากเรื่องราวแสนวุ่นวาย ปัญหามากมายที่เข้ามารบบกวนจิตใจ ผมขี่รถไปเรื่อยๆ ด้วยใจที่แสนเหม่อลอย
อาจเพราะผมไม่ได้เติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่นเท่าใดนัก บวกกับความคิดมากของตนเองทำให้ผมมักมีมุมเศร้าๆที่ไม่อยากพบเจอใครอยู่บ่อยครั้ง ครั้งนี้ก้เช่นกัน อาจเป็นเพราะ วัย หรือไม่ก็อาจทราบได้ มันอาจเป็นปกติของเด็กอายุประมาณนี้ ที่เริ่มจะแสวงหา ตัวตน และ จุดยืน ของตนเอง โดยพาลคิดว่า สิ่งรอบข้างนั้นน่ารำคาญไปเสียหมด
หลายครั้งที่ผมทะเลาะกับแม่ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ผมก็หัวแข็งแถมไม่ค่อยฟังใครสักเท่าไหร่ ก็ทำให้คุยกันไม่เข้าใจเสียที ทุกๆครั้งผมเลือกที่จะ หนี ออกมาจากตรงนั้นเพียงเพื่อความสบายใจของตน แม้จะมาคิดได้ในตอนโตว่า มันช่างไร้สาระเสียจริงๆ
มอเตอร์ไซด์สีน้ำเงินที่เพิ่งซื้อมาได้ไม่นานพาผมวิ่งแล่นไปตามถนนที่มีแต่แสงไฟสีส้มๆ กับรถบรรทุกมากมาย เพราะมันเป็นเวลาดึกแล้ว ผู้คนคงหลับไปกันหมดแล้ว เด็ก ม.ปลายอย่างผมก็ไม่มีที่จะไป ก็ได้แต่ขี่ตามทางไปเรื่อยๆ เข้าซอยนั้นบ้าง ซอยนี้บ้าง อย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง
ผมวิ่งมาตามทางคอนกรีดได้สักพักหนึ่ง แสงไฟถนนก็ค่อยๆน้อยลง ช่วงระหว่างเสาไฟก็ค่อยๆเพิ่มขึ้น ผมแค่รู้สึกว่าเราคงออกมานอกเมืองแล้วล่ะ ก็ไม่ได้รู้สึกติดใจอะไรนัก
เพียงครู่เดียวก็พบว่า ที่แถวนี้ไม่มีแสงไฟถนนหลงเลือแล้ว มีเพียงความมืด และแสงสว่างจากไฟหน้ารถ กับแสงนวลๆของพระจันทร์ดวงโตเท่านั้น ผมยังคงขี่ต่อไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ
จากกถนนคอนกรีด ก็กลายเป็นดินลูกรัง แต่ก็ไม่ได้แย่สักเท่าใดนัก ผมไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก แต่สายตาก็เหลือไปเห็นหน้าปัดรถ เข็มน้ำมันนั้นตกมาถึงตัวEแล้ว ผมจึงหันรถกลับทันที เพราะกลัวว่ามันจะหมดกลางทางเสียก่อน
ผมย้อนศรรถแล้วิ่งกลับมาทางเก่าที่ผ่านมา ผมแน่จ่ามันเป็นทางเดิมแน่ๆ เพราะมันมีเพียงถนนเส้นตรงเท่านั้น มีซอยเล็กๆเข้าไปหาบ้านคนบ้างเล็กน้อย
หลายนาทีผ่านไปผมก็ยังคงอยู่บนถนนเส้นเดิม อย่างไม่มีทีท่าว่าจะเจอกับทางออก ตอนนั้นยอมรับว่า เริ่มหวั่นใจขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่ได้กลัวอะไรเลย นอกกจากกลัวรถมันจะดับเอากลางทางเสียก่อน มืดๆแถวนี้ โดนปล้นคงไม่แปลกใจ
ตุบ!
ผมได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรบางอย่างร่วงลงมากระแทกที่เบาะหลังพร้อมๆกับอาการยุบของรถเป็นสิ่งยืนยันว่ามี บางอย่าง ร่วงลงมาที่รถของผม
ฮือ...
ซิก.....
ผมได้ยินเสียงเด็กร้องไห้สะอื้นดังมาจากเบาะหลังที่มีเสียงดังเมื่อสักครู่ ผมบอกกับตัวเองในใจว่าให้ใจเย็นๆ เด็กที่ไหนจะมาเวลานี้ แล้วจะตกลงมาจากไหนได้ ทำใจดีๆเข้าไว้
ผมค่อยๆจอดรถที่ข้างทาง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆตั้งสติ เพื่อเตรียมตัวกับสิ่งที่กำลังจะต้องเจอ ผมค่อยๆก้าวาลงจากรถ แล้วหันหลังมามองที่เบาะหลังรถ
ภาพที่อยู่ตรงหน้านั้นเป้นร่างของเด็กน้อยอายุประมาณ 2-3 ขวบ นั่งขยี้ตาตัวงออยู่บนเบาะรถของผม ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ มอมๆ เด็กคนนั้นยังคงสะอื้นอยู่ โดยไม่ได้สนใจจะหันมามองผมแม้แต่น้อย
ผมค่อยๆย่อตัวลงนั่งที่ตรงหน้าเขา แล้วเป็นฝ่ายเอ่ยทักไปก่อน แต่ก็ไม่ได้มีการตอบรับใดๆกลับมาเลย จนสุดท้ายเขาก็ตอบคำถามของผม
‘อยากให้ช่วยอะไร?’
‘แม่... แม่จมน้ำ’
เสียงเล็กๆกระซิบผ่านมากับสายลม เสียงนั้นไม่ได้ดังมาจากตรงหน้าผม แต่เป็นเสียงแผ่นๆเบาๆ ลอยมาตามลมเท่านั้น เสียงนั้น
‘แม่อยู่ไหน’
ผมถามกลับ เด็กน้อยไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เพียงแค่หายไปจากตรงหน้าผม แล้วไปปรากฏอยู๋ที่ใกล้ๆห่างออกไปเล็กน้อย ผมเดินตามเขาไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็เจอกับสะพานไม้เก่าๆทอดตัวลงไปสู่ แม่น้ำ ด้านล่าง
ผมเดินไปตามสะพานเก่าๆที่ไม่รู้ว่าจะพังลงมาเมื่อไหร่ แสงจันทร์นวลๆ กับสายลมอ่อนๆในตอนนี้ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายแต่อย่างใด แต่มันกลับเพิ่มความน่าขนลุกให้กับบรรยากาศแถวนั้น ผมเดินมาเพียงไม่กี่สิบก้าวก็มาถึงน้ำ
เด็กน้อยคงนั้นหันมามองผมพร้อมกับชี้มือลงไปในน้ำ แล้วพูดเพียงสั้นๆกับผมว่า ‘แม่’
บอกตามตรงว่าตอนนั้นทำอะไรไม่ถูก กลัวก็กลัว แต่หันหลังกลับตอนนี้มันคงไม่ทันแล้ว เพราะทันทีที่ผมรู้สึกว่า อยากกลับ เด็กคนนั้นมองผมด้วยสายตาผิดหวังปนไม่พอใจ ผมมองลงไปยังแม่น้ำตรงหน้า ด้วยความที่มันดึกแล้ว เป็นที่แน่นอนว่าผมไม่มีทางมองเห็นอะไรด้เลยข้างล่างนั่น แว่นตาว่ายน้ำก็ไม่มี ว่ายน้ำก็ไม่ได้เก่งมาก
ผมยืนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ผมหันหลังกลับไปมองเด็กคนนั้น ในทันทีนั้นเองผมก็ต้องตกใจจนถึงกับหงายหลังลงไป เพราะเด็กคนนั้นกระโจนใส่ผมอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว จากหน้าตาน่ารักๆของเด็กคนนั้น ตอนนี้กลายเป็นสภาพที่ไม่น่ามองอย่างยิ่ง ดวงตาลึกกลวงโบ๋มองไม่เห็นตาขาวตาดำ ปากที่ไม่มีฟันแม้แต่ซี่เดียวอ้ากว้างเหมือนพยายามจะกรีดร้อง ในตอนนั้นหายใจมแทบวาย
ผมรู้สึกตัวอีกทีก็ตกมาอยู่ในน้ำแล้ว ด้วยความตกใจผมจึงพยายามตะเกียกตะกากเข้าหาฝั่ง ทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่ ในตอนนั้นผมคิดว่า ผมต้องตายแน่แล้ว
‘ลืมตาขึ้น ใจเย็นๆ แล้วดูให้ดี’ กระแสเสียงที่คุ้นเคยนั้นดังก้องเข้ามาในหัว
แต่ในตอนนั้นใครเล่าจะตั้งสติได้ ผมยังคงตะกายน้ำอยู่อย่างนั้น วิชาว่ายน้ำที่อุตส่าห์เสียงเงินเสียทองไปเรียนมาก็หายหมด สองมือไขว่คว้าหาผิวน้ำ สองขาพยายามถีบตัวขึ้นอย่างทุลักทุเล จนในที่สุดผมก็พ้นขึ้นมาที่ผิวน้ำจนได้ แล้วผมก็ได้พบว่า ผมมาอยู่กลางน้ำแล้วซึ่งมันห่างจากฝั่งพอสมควร
ผมกลั้นใจจ้วงแขนผ่านน้ำ พยายามว่ายเข้าหาฝั่งแต่ไปได้ไม่กี่ช่วงแขนผมก็รู้สึกได้ถึง มือ ใช่ครับ ผมแน่ใจว่านั่นคือ มือ สัมผัสของนิ้วมันชัดเจนมาก มือเล็กๆ ฉุดผมลงไปสู่น้ำเบื้องล่างอีกครั้ง
ผมตกใจมากและยังคงหลับหูหลับตาอยู่เหมือนเดิม ผมพยายามตะกายตัวอีกครั้ง ถีบขาด้วยแรงทั้งหมดที่มีโดยที่ยังสัมผัสได้ถือมือเล็กๆนั้นที่กำข้อเท้าผมไว้แน่น ผมไม่กล้าที่จะลืมตามอง เพราะภาพสุดท้ายที่ผมเห็นเขานั้นมันช่างน่ากลัวเหลือเกิน
‘ใจเย็นๆ ตั้งสิ แล้วเขาจะปล่อย’ กระแสเสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
ผมไม่มีทางเลือกแล้ว อะไรที่มันจะทำให้ผมรอด ผมคงต้องทำ ผมอยู่นิ่งๆ หลับตา แต่หยุดตะกายน้ำแล้ว มือเล็กๆนั้นค่อยๆคลายออก พร้อมกับเสียงเล็กๆที่สะท้อนมาในน้ำ
‘แม่... อยู่นี่’
ผมลอยตัวขึ้นมาที่ผิวน้ำ เพื่อพักหายใจ ผมสูดลมหายใจเข้าออกอยู๋ครู่ใหญ่ก่อนที่จะทำใจได้ว่า เราไม่มีทางเลือก ผมอ้าปากอมเอาลมก้อนใหญ่ไว้ในปอดแล้วดำน้ำลงไป
ผมยังคงหลับตาอยู่เพราะเชื่อว่า มันมืด แล้วน้ำมันก็เป็นแม่น้ำ มันต้องแสบตาแน่ๆ ผมยังทำอะไรไม่ถูกจนถูกสะกิดด้วยมือเล็กๆ มันทำให้ผมตกใจจนต้องลืมตามามอง
ต้นสาย...และ...ปลายทาง
กลางดึกคืนหนึ่งผมกำลังขี่รถมอเตอร์ไซด์ของผมไปตามถนนที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ผมไม่รู้ว่าผมขี่มาไกลเท่าไหร่ หรือว่านานเท่าไหร่แล้ว ผมแค่อยากขี่ ขี่ไปเรื่อยๆ ไปตามถนน ไปตามแสงไฟ เพื่อหนี... หนีจากเรื่องราวแสนวุ่นวาย ปัญหามากมายที่เข้ามารบบกวนจิตใจ ผมขี่รถไปเรื่อยๆ ด้วยใจที่แสนเหม่อลอย
อาจเพราะผมไม่ได้เติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่นเท่าใดนัก บวกกับความคิดมากของตนเองทำให้ผมมักมีมุมเศร้าๆที่ไม่อยากพบเจอใครอยู่บ่อยครั้ง ครั้งนี้ก้เช่นกัน อาจเป็นเพราะ วัย หรือไม่ก็อาจทราบได้ มันอาจเป็นปกติของเด็กอายุประมาณนี้ ที่เริ่มจะแสวงหา ตัวตน และ จุดยืน ของตนเอง โดยพาลคิดว่า สิ่งรอบข้างนั้นน่ารำคาญไปเสียหมด
หลายครั้งที่ผมทะเลาะกับแม่ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ผมก็หัวแข็งแถมไม่ค่อยฟังใครสักเท่าไหร่ ก็ทำให้คุยกันไม่เข้าใจเสียที ทุกๆครั้งผมเลือกที่จะ หนี ออกมาจากตรงนั้นเพียงเพื่อความสบายใจของตน แม้จะมาคิดได้ในตอนโตว่า มันช่างไร้สาระเสียจริงๆ
มอเตอร์ไซด์สีน้ำเงินที่เพิ่งซื้อมาได้ไม่นานพาผมวิ่งแล่นไปตามถนนที่มีแต่แสงไฟสีส้มๆ กับรถบรรทุกมากมาย เพราะมันเป็นเวลาดึกแล้ว ผู้คนคงหลับไปกันหมดแล้ว เด็ก ม.ปลายอย่างผมก็ไม่มีที่จะไป ก็ได้แต่ขี่ตามทางไปเรื่อยๆ เข้าซอยนั้นบ้าง ซอยนี้บ้าง อย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง
ผมวิ่งมาตามทางคอนกรีดได้สักพักหนึ่ง แสงไฟถนนก็ค่อยๆน้อยลง ช่วงระหว่างเสาไฟก็ค่อยๆเพิ่มขึ้น ผมแค่รู้สึกว่าเราคงออกมานอกเมืองแล้วล่ะ ก็ไม่ได้รู้สึกติดใจอะไรนัก
เพียงครู่เดียวก็พบว่า ที่แถวนี้ไม่มีแสงไฟถนนหลงเลือแล้ว มีเพียงความมืด และแสงสว่างจากไฟหน้ารถ กับแสงนวลๆของพระจันทร์ดวงโตเท่านั้น ผมยังคงขี่ต่อไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ
จากกถนนคอนกรีด ก็กลายเป็นดินลูกรัง แต่ก็ไม่ได้แย่สักเท่าใดนัก ผมไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก แต่สายตาก็เหลือไปเห็นหน้าปัดรถ เข็มน้ำมันนั้นตกมาถึงตัวEแล้ว ผมจึงหันรถกลับทันที เพราะกลัวว่ามันจะหมดกลางทางเสียก่อน
ผมย้อนศรรถแล้วิ่งกลับมาทางเก่าที่ผ่านมา ผมแน่จ่ามันเป็นทางเดิมแน่ๆ เพราะมันมีเพียงถนนเส้นตรงเท่านั้น มีซอยเล็กๆเข้าไปหาบ้านคนบ้างเล็กน้อย
หลายนาทีผ่านไปผมก็ยังคงอยู่บนถนนเส้นเดิม อย่างไม่มีทีท่าว่าจะเจอกับทางออก ตอนนั้นยอมรับว่า เริ่มหวั่นใจขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่ได้กลัวอะไรเลย นอกกจากกลัวรถมันจะดับเอากลางทางเสียก่อน มืดๆแถวนี้ โดนปล้นคงไม่แปลกใจ
ตุบ!
ผมได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรบางอย่างร่วงลงมากระแทกที่เบาะหลังพร้อมๆกับอาการยุบของรถเป็นสิ่งยืนยันว่ามี บางอย่าง ร่วงลงมาที่รถของผม
ฮือ...
ซิก.....
ผมได้ยินเสียงเด็กร้องไห้สะอื้นดังมาจากเบาะหลังที่มีเสียงดังเมื่อสักครู่ ผมบอกกับตัวเองในใจว่าให้ใจเย็นๆ เด็กที่ไหนจะมาเวลานี้ แล้วจะตกลงมาจากไหนได้ ทำใจดีๆเข้าไว้
ผมค่อยๆจอดรถที่ข้างทาง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆตั้งสติ เพื่อเตรียมตัวกับสิ่งที่กำลังจะต้องเจอ ผมค่อยๆก้าวาลงจากรถ แล้วหันหลังมามองที่เบาะหลังรถ
ภาพที่อยู่ตรงหน้านั้นเป้นร่างของเด็กน้อยอายุประมาณ 2-3 ขวบ นั่งขยี้ตาตัวงออยู่บนเบาะรถของผม ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ มอมๆ เด็กคนนั้นยังคงสะอื้นอยู่ โดยไม่ได้สนใจจะหันมามองผมแม้แต่น้อย
ผมค่อยๆย่อตัวลงนั่งที่ตรงหน้าเขา แล้วเป็นฝ่ายเอ่ยทักไปก่อน แต่ก็ไม่ได้มีการตอบรับใดๆกลับมาเลย จนสุดท้ายเขาก็ตอบคำถามของผม
‘อยากให้ช่วยอะไร?’
‘แม่... แม่จมน้ำ’
เสียงเล็กๆกระซิบผ่านมากับสายลม เสียงนั้นไม่ได้ดังมาจากตรงหน้าผม แต่เป็นเสียงแผ่นๆเบาๆ ลอยมาตามลมเท่านั้น เสียงนั้น
‘แม่อยู่ไหน’
ผมถามกลับ เด็กน้อยไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เพียงแค่หายไปจากตรงหน้าผม แล้วไปปรากฏอยู๋ที่ใกล้ๆห่างออกไปเล็กน้อย ผมเดินตามเขาไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็เจอกับสะพานไม้เก่าๆทอดตัวลงไปสู่ แม่น้ำ ด้านล่าง
ผมเดินไปตามสะพานเก่าๆที่ไม่รู้ว่าจะพังลงมาเมื่อไหร่ แสงจันทร์นวลๆ กับสายลมอ่อนๆในตอนนี้ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายแต่อย่างใด แต่มันกลับเพิ่มความน่าขนลุกให้กับบรรยากาศแถวนั้น ผมเดินมาเพียงไม่กี่สิบก้าวก็มาถึงน้ำ
เด็กน้อยคงนั้นหันมามองผมพร้อมกับชี้มือลงไปในน้ำ แล้วพูดเพียงสั้นๆกับผมว่า ‘แม่’
บอกตามตรงว่าตอนนั้นทำอะไรไม่ถูก กลัวก็กลัว แต่หันหลังกลับตอนนี้มันคงไม่ทันแล้ว เพราะทันทีที่ผมรู้สึกว่า อยากกลับ เด็กคนนั้นมองผมด้วยสายตาผิดหวังปนไม่พอใจ ผมมองลงไปยังแม่น้ำตรงหน้า ด้วยความที่มันดึกแล้ว เป็นที่แน่นอนว่าผมไม่มีทางมองเห็นอะไรด้เลยข้างล่างนั่น แว่นตาว่ายน้ำก็ไม่มี ว่ายน้ำก็ไม่ได้เก่งมาก
ผมยืนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ผมหันหลังกลับไปมองเด็กคนนั้น ในทันทีนั้นเองผมก็ต้องตกใจจนถึงกับหงายหลังลงไป เพราะเด็กคนนั้นกระโจนใส่ผมอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว จากหน้าตาน่ารักๆของเด็กคนนั้น ตอนนี้กลายเป็นสภาพที่ไม่น่ามองอย่างยิ่ง ดวงตาลึกกลวงโบ๋มองไม่เห็นตาขาวตาดำ ปากที่ไม่มีฟันแม้แต่ซี่เดียวอ้ากว้างเหมือนพยายามจะกรีดร้อง ในตอนนั้นหายใจมแทบวาย
ผมรู้สึกตัวอีกทีก็ตกมาอยู่ในน้ำแล้ว ด้วยความตกใจผมจึงพยายามตะเกียกตะกากเข้าหาฝั่ง ทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่ ในตอนนั้นผมคิดว่า ผมต้องตายแน่แล้ว
‘ลืมตาขึ้น ใจเย็นๆ แล้วดูให้ดี’ กระแสเสียงที่คุ้นเคยนั้นดังก้องเข้ามาในหัว
แต่ในตอนนั้นใครเล่าจะตั้งสติได้ ผมยังคงตะกายน้ำอยู่อย่างนั้น วิชาว่ายน้ำที่อุตส่าห์เสียงเงินเสียทองไปเรียนมาก็หายหมด สองมือไขว่คว้าหาผิวน้ำ สองขาพยายามถีบตัวขึ้นอย่างทุลักทุเล จนในที่สุดผมก็พ้นขึ้นมาที่ผิวน้ำจนได้ แล้วผมก็ได้พบว่า ผมมาอยู่กลางน้ำแล้วซึ่งมันห่างจากฝั่งพอสมควร
ผมกลั้นใจจ้วงแขนผ่านน้ำ พยายามว่ายเข้าหาฝั่งแต่ไปได้ไม่กี่ช่วงแขนผมก็รู้สึกได้ถึง มือ ใช่ครับ ผมแน่ใจว่านั่นคือ มือ สัมผัสของนิ้วมันชัดเจนมาก มือเล็กๆ ฉุดผมลงไปสู่น้ำเบื้องล่างอีกครั้ง
ผมตกใจมากและยังคงหลับหูหลับตาอยู่เหมือนเดิม ผมพยายามตะกายตัวอีกครั้ง ถีบขาด้วยแรงทั้งหมดที่มีโดยที่ยังสัมผัสได้ถือมือเล็กๆนั้นที่กำข้อเท้าผมไว้แน่น ผมไม่กล้าที่จะลืมตามอง เพราะภาพสุดท้ายที่ผมเห็นเขานั้นมันช่างน่ากลัวเหลือเกิน
‘ใจเย็นๆ ตั้งสิ แล้วเขาจะปล่อย’ กระแสเสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
ผมไม่มีทางเลือกแล้ว อะไรที่มันจะทำให้ผมรอด ผมคงต้องทำ ผมอยู่นิ่งๆ หลับตา แต่หยุดตะกายน้ำแล้ว มือเล็กๆนั้นค่อยๆคลายออก พร้อมกับเสียงเล็กๆที่สะท้อนมาในน้ำ
‘แม่... อยู่นี่’
ผมลอยตัวขึ้นมาที่ผิวน้ำ เพื่อพักหายใจ ผมสูดลมหายใจเข้าออกอยู๋ครู่ใหญ่ก่อนที่จะทำใจได้ว่า เราไม่มีทางเลือก ผมอ้าปากอมเอาลมก้อนใหญ่ไว้ในปอดแล้วดำน้ำลงไป
ผมยังคงหลับตาอยู่เพราะเชื่อว่า มันมืด แล้วน้ำมันก็เป็นแม่น้ำ มันต้องแสบตาแน่ๆ ผมยังทำอะไรไม่ถูกจนถูกสะกิดด้วยมือเล็กๆ มันทำให้ผมตกใจจนต้องลืมตามามอง