เริ่ม...เสียที

หลายๆคนคงชอบการเดินทาง ผมก็เป็นคนนึงที่ชอบการเดินทางเหมือนกัน การได้ไปพบเจออะไรใหม่ๆ ที่เราไม่เคยเห็น การได้เก็บภาพความทรงจำเหล่านั้นไว้กับเรา เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น มันหาไม่ได้จากหน้าหนังสือ หรือการย่ำอยู่กับที่ และแน่นอนว่า ทุกการเดินทางมันจะมีเรื่องราวของมัน ไว้ให้เราได้นึกถึง
                 ผมมีเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่สนิทกันพอสมควร รู้จักกันมานานตั้งแต่สมัยประถม แต่ก็ไม่ค่อยจะได้ติดต่อกันมากนัก เพราะกระจัดกระจายกันไปตั้งแต่สมัยขึ้นมัธยม นานๆก็จะนัดเจอกันบ้าง นัดไปนั่นนี่กันบ้าง แต่ก็ไม่บ่อย
                 ตอนนั้นมีเพื่อนคนนึงชวนขึ้นมาว่าอยากไปเที่ยวต่างจังหวัด อย่างไปหาบรรยากาศใหม่ๆ ที่เที่ยวใหม่ๆดูบ้าง ซึ่งทุกคนก็เห็นดีเห็นงามด้วยเช่นกัน
                 เราคุยกันไว้นานมากแต่ก็หาเวลาว่างให้มันตรงกันไม่ได้สักที เพราะเรียนกันคนละมหาลัย แต่สุดท้ายเราก็สามารถหาวันเวลาที่ลงตัวได้สำหรับทุกคน แม้ว่าจะใช้เวลาเกือบปีในการนัดกันก็ตาม
                 ในคืนก่อนวันเดินทางเรานัดกันไปรวมตัวกันที่บ้านของเพื่อนคนนึง คือคนที่จะเอารถส่วนตัวของตัวเองไปกัน โดยจะผลัดกันขับ คืนนั้นเราก็มีปาร์ตี้เล็กๆกันให้พอหายคิดถึงกันบ้าง
                 คืนนั้นเป็นไปด้วยความสนุกสนาน เพราะความคิดถึง ผลัดกันเล่าเรื่องราวที่ตัวเองได้ไปประสบพอบเจอมาจากการใช้ชชีวิต แลกเปลี่ยนกันไปมาด้วยความสุข และไม่วายย้อนไประลึกความหลังสมัยเด็กกัน
                 สายๆวันรุ่งขึ้นพวกเราไม่ได้รีบร้อนมากมาย ตื่นตอนไหน พร้อมตอนไหน เราก็ค่อยออกกันตอนนั้น เรามีเวลาทั้งหมด 3 วัน 2 คืน เพราะเป็นช่วงหยุดยาวพอดี
                 ก่อนเดินทางไกลเราก็แวะไปไหว้พระพุทธชินราชเสียก่อน และแน่นอนว่าไม่ลืมที่จะไปสักการะสมเด็จพระนเรศวรที่ศาลส่วนวังจันทน์ พวกเราทุกคนเติบโตที่นี่ เป็นคนที่นี่โดยกำเนิด เวลาจะไปไหนมาไหน ก็มักจะมาแวะขอพรกันก่อนอยู่เสมอๆ ตั้งแต่เด็กจนโต
                 เราขับรถมุ่งหน้าออกจากตัวเมืองไปตามทางเรื่อยๆ เปิดเพลงฟัง ร้องเพลงบ้าง คุยกันบ้าง ด้วยความสนุกสนานไปตลอดทาง
                  เราแวะหลายที่ ผ่านตรงไหนอยากแวะเราก็แวะ ห้างบ้าง น้ำตกบ้าง แค่แวะไปนั่งเล่นแปปๆเราก็เดินทางต่อ แล้วเราก็เพลินจนลืมดูเวลา
                 ตอนนี้พระอาทิตย์ตกดินแล้วแต่เราก็ยังไปไม่ถึงที่หมายเลย ก็ได้แต่ตำหนิกันเองว่ามัวแต่แวะไปเรื่อยจนเลทขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไร
                เพื่อนคนที่เป็นเจ้าของรถเริ่มเพลียจากการขัยรถมาทั้งวัน ก็เลยขอเปลี่ยนให้คนอื่นมาขับแทน ตอนแรกจะเป็นผมขับ แต่เพื่อนอีกคนขออาสาขับก่อน เพราะว่ามันงีบมาบ้างแล้วช่วงเย็นๆ
                  เราขับรถกันไปด้วยความเร็วไม่มาก เพราะทางมันมืดมาก แล้วก็เป็นทางบนเขา ทั้งโค้งทั้งเลี้ยว ทำให้ขับบยากพอสมควร ผมนั่งคุยกับคนขับรถไปเรื่อยๆ ส่วนที่เหลือ สลบกันไปหมดแล้วที่เบาะหลัง
                  ผมเหลือบตาดูที่นาฬิกาหน้ารถก็เห็นว่ามันเป็นเวลาสักเกือบจะเที่ยงคืนได้แล้ว ผมหันไปถามคนขับว่า เปลี่ยนไหม ไหวรึเปล่า เพื่อนก็บอกว่ายังไหว ปกตินอนดึกอยู่แล้วไม่ต้องห่วง
                 รถของเราค่อยๆแล่นไปตามถนนด้วยความเร็วประมาณ ร้อยนิดๆ ซึ่งก็ไม่เร็วมากถ้าเทียบกับคันอื่นบนถนน ทำให้เราต้องขับชิดซ้ายไว้ตลอด
                 ผมนั่งมองข้างทางไปเรื่อยๆ ด้วยนิสัยส่วนตัวที่ชอบมองออกไปนอกหน้าต่าง เพราะชอบที่จะเก็บภาพทุกอย่างเวลาที่เดินทาง ภาพของวิวทิวทัศน์ที่เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆนั้นนมันให้ความรู้สึกดีไม่ใช่น้อย นอกจากปลายทางที่เราจะไปแล้ว ระหว่างทางที่เราผ่านมานั้นมันก็น่าจดจำไม่แพ้กัน
‘เฮ้ย!’
                 คนขับรถตะโกนออกมาด้วยความตกใจพร้อมๆกับผมที่หัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อข้างหน้าผมตอนนี้มองเห็นเพียงแสงไฟจากหน้ารถบรรทุกคนใหญ่สาดมาที่ตาพวกผม
                ผมมั่นใจว่าเพื่อนของผมขับรถอยู่ในเลนน์ที่ถูกต้องแน่นอน ไม่รู้ว่าเกิดจากการแซงกัน หรือว่าคนขับหลับใน ถนนลื่น หรืออะไรก็แล้วแต่ สิ่งที่เพื่อนผมทำได้ก็มีแค่การหักหล่มไปข้างทางเท่านั้น
                รถถูกหักอย่างกะทันหันลงสู่ข้างทาง ได้ยินเสียงล้อรถตกไปที่ทางดินข้างๆดัง ครืด บวกกับแรงสั่นทำให้ทุกคนตื่นขึ้นาทั้งหมด โดยที่รถคันนั้นจากไปโดยไม่ได้แม้แต่จะจอดลงมาดู
                 พวกผมตกอยู่ในอาการตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตั้งสติได้ แล้วลองเหยียบที่คันเร่งดู ทุกอย่างปกติดี จึงตัดสินใจออกรถเพื่อเดินนทางต่อ
                เราเข้าถึงที่พักในเวลาเกือบๆจะตี 4 ทุกคนต่างทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างเหนื่อยล้า และทุกคนก็ผลอยหลับไปโดยที่ไม่ได้พูดคุยกันแต่อย่างใด
                ในตอนสายๆผมถูกปลุกด้วยเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ บนหน้าจอนั้นโชว์เบอร์ของคนที่โทรมา แม่
                แมโทรมาถามผมเรื่องการเดินทาง ถึงที่พักหรือยัง ผมคุยกับแม่อยู่พักนึงก็ไปล้างหน้าแปลงฟัน ถึงจะยังเพลียๆอยู่แต่ก็ไม่อยากจะนอนต่อ เพราะอุส่าได้ออกมาเที่ยวทั้งที
                 หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เพื่อนๆผมก็ยังคงไม่มีใครตื่น ผมเดินลงจากที่พักไปคนเดียว ที่พักถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงาม สวนหย่อมเล็กๆที่เขียวชะอุ่ม สวนถูกตกแต่งด้วยต้นโมกข์ กลิ่นหอมอ่อนๆ สีขาวที่สวยสะดุดตานั่นทำให้ผมอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
                 ผมเดินไปเรื่อยๆจนเจอท่าน้ำ ที่นั่นก็ถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามเช่นเดียวกับสวนที่ผมเดินผ่านมา
                ที่ตรงหน้าผม ผมเห็นสาวงามคนหนึ่งนั่งอยู๋ที่บันไดตรงศาลานั้น เธอน่าจะอายุประมาณยี่สิบได้ เธอสวยอย่างไม่น่าเชื่อ แม้ว่าเธอจะนั่งหันหลังให้ผม พลางเอาเท้าแกว่งน้ำเล่น แต่ก็รับรู้ได้ถึงความสวยของเธอ
                มันคงไม่น่าแปลกใจเลย ถ้าหญิงสาวคนนั้นไม่ได้อยู่ในชุดไทยโบราณ ที่สวยงามเกิดกว่าจะเป็นการแต่งตอสเพลย์ หรือแต่งไปออกงาน
                เธอหันมายิ้มให้ผมเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆจากหายไปจากตรงหน้าของผม ผมเดินกลับขึ้นห้องมาอย่างมีความสุข เหมือนได้เอาอะไรๆมาปลดปล่อยให้หายเครียด
                วันนั้นทั้งวันพวกผมไปเที่ยวกันอย่างสนุกสนาน ทำให้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไปเสียสนิทใจ ตกกลางคืนเราก็ไปหาสีสันในตัวเมืองกันด้วยความสุข
                 เรากลับมาถึงห้องพักก็ไม่ดึกมากนักสักประมาณตี 1 เห็นจะได้ ทุกคนอาบน้ำอาบท่า และเตรียมตัวจะเข้านอน เพื่อจะไปลุยต่อในวันพรุ่งนี้
                 กลางดึกคืนนั้น ผมตื่นขึ้นมาเพราะว่าปวดฉี่ ในตอนที่ผมกลับมานอนที่เตียงผมได้กลิ่นที่คุ้นเคยลอยมาเตะจมูก มันเป็นกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกมะลิ ปะปนมากับกลิ่นควันธูปที่แม้จะเบาบางแต่ก็ชัดเจน ในใจผมตอนนั้นนึกไปถึงหญิงสาวคนนั้นเพียงแค่นั้น จึงไม่ได้เกิดความกลัวอะไร
                  ในตอนที่ผมกำลังหรี่ตาลงจะหลับนั้น ผมเห็นเงาร่างของหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ในห้อง ห่างจากเตียงของงผมไป อยู่ตรงปลายเตียงเพื่อน แต่ตอนนั้นสติผมก็ไม่ค่อยจะสมบูรณ์เท่าไหร่นัก ด้วยความเหนื่อยล้ามาทั้งวัน ทำให้ผมหลับไปทั้งอย่างนั้นอีกรอบ
                  ในเช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นมาเป็นคนสุดท้าย โดยที่คนอื่นนั่งอยู่เงียบๆ กันในห้องโดยไม่ได้เปิดทีวีหรือเปิดเพลงอะไร ผมสังเกตุถึงความผิดปกตินั้นจึงถามออกไปด้วยความสงสัย
                  เพื่อนคนนึงในกลุ่มตอบกลับมาว่า เมื่อคืนฝัน แต่ไม่รู้ว่าฝันรึเปล่า มันเหมือนจริง เพื่อนผมเห็นหญิงสาวในชุดไทยโบราณ คล้ายนางรำ มายืนอยู่ในห้อง ตรงปลายเตียง จ้องมองมาทางเขาอย่างตั้งใจ แม้จะไม่เห็นรายละเอียดของใบหน้าแต่ก็รู้สึกได้ว่าเขาจ้องมา ท่าทางไม่เป็นมิตร
                  เพื่อนยื่นแขนให้ผมดู ปรากฏว่าบนแขนนั้นมีรอยเล็กๆ เรียวๆ คล้ายรอยนิ้วมือ บอกตรงๆว่าตอนนั้นผมหน้าถอดสีไปครู่หนึ่ง เพราะไม่รู้ว่า คราวนี้ จะเกิดอะไรขึ้นอีก
                  ผมไม่ได้เล่าให้เพื่อนฟังถึงสิ่งที่ผมเห็นเมื่อคืน เพราะกลัวว่าเพื่อนจะวิตกกังวลไปมากกว่านี้ ผมพูดกลับเกลื่อนไปเรื่อยเปื่อย แล้วชวนเพื่อนไปวัด โดยอ้างว่าเพื่อความสบายใจ แต่จริงๆแล้วผมเริ่มกลัวสิ่งที่จะมาถึงในเร็วๆนี้มากกว่า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่