ครั้งหนึ่งผมได้รับการขอร้องจากคำปรึกษาของเพื่อนคนหนึ่ง ในวันนั้นเพื่อนเดินเข้ามาหาผมด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ ผมก็ทักทายตามประสาเพื่อน ‘เห้ย เป็นอะไร’ แต่เพื่อนก็ยังดูอึกอักๆ ผมจึงยังไม่อยากซักอะไรต่อมากมาย
ในเย็นวันนั้นในขณะที่เรานั่งเล่นกันอยู่ เพื่อนก็สะกิดผมแล้วบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อย แต่ไม่ยากให้ใครรู้ ผมเดินตามเพื่อนออกไป หามุมเงียบๆคุยกันสักครู๋หนึ่ง
‘…..’
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็ร็สึก อึ้งๆ แล้วก็ขนลุกนิดหน่อยครับ แต่ก็ยังไม่อยากจะสรุปอะไรมากมายในตอนนี้ เพื่อนผมบอกว่าลองมาหลายวิถีทางแล้วก็ไม่ดีขึ้นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย เพื่อความสบายใจของเพื่อนผมจึงตกลงกับเพื่อนว่า สุดสัปดาห์นี้ จะไปนอนค้างที่บ้านเพื่อน เผื่อว่าจะมีอะไรที่ช่วยให้เราแน่ใจได้บ้างว่า มันเกิดอะไรขึ้น
ในวันศุกร์นั้นผมก็ไปค้างที่บ้านเพื่อนตามสัญญา โดยที่เอาเสื้อผ้าไปไม่ได้มากมายนัก ทุกคนในบ้านดูใจดีและเป็นกันเองมากๆ ผมสวัสดีทุกคนแล้วก็เดินตามเพื่อนไปเรื่อยๆ ยังไม่ทันจะเดินขึ้นบันไดไป แม่ของเพื่อนก็ตะโกนมาว่า
‘อย่าลืมพาเพื่อนไปไหว้คุณยายนะ ไม่บอกไม่กล่าวเดี๋ยวท่านจะว่าเอา’
เพื่อนผมตอบรับกลับไป พร้อมกับหันหน้ามามองผมด้วยสีหน้าแปลกๆ เหมือนจะบอกเป็นนัยย์ๆว่า นี่แหละคือสิ่งที่เพื่อนผมเล่าให้ฟัง
ผมเดินตามเพื่อนไปที่ห้องนอนของคุณยาย พอเดินพ้นประตูเข้าไป คุณยายนอนอยู่บนเตียงในห้องนั้นสว่างดีครับ อากาศถ่ายเทดีมาก แต่สิ่งที่ผมรู้สึกได้คือความสะอิดสะเอียน คลื่นไส้ แล้วก็เหม็นมากๆ เหม็นเหมือนฉี่แมว ถ้าใครที่เลี้ยงสัตว์ก็คงพอจะนึกออกนะครับ ว่าถ้ามันกองรวมกันเยอะๆ มันจะเป็นยังไง
ผมเดินเข้าไปสวัสดีคุรยายใกล้ๆ ท่านหันมายิ้มให้อย่างใจดี คุรยายถามไถ่ว่าผมเป็นใคร มายังไง จะอยู๋กี่วัน เพื่อนก็ลากผมออกมาข้างนอก เพราะจะได้ให้คุณยายนั้นพักผ่อน จากคำบอกเล่าของเพื่อน คุณยายเป็นกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรืออะไรสักอย่างนี่แหละครับ ผมจำไม่ค่อยได้แล้ว รู้แต่ว่ามันทำให้ท่านไม่สามารถเดินเหินได้สะดวกนะ แต่ก็ยังขยับร่างกายได้บ้าง ไม่ถึงกับเป็นอัมพาต
ผมนั่งเล่นนอนเล่นอยู่ในห้องเพื่อนจนถึงตอนค่ำๆ แม่เพื่อนก็มาเรียกพวกเราให้ลงไปกินข้าว เมื่อผมเดินลงมาที่ด้านล่างก็เห็นว่า คุณแม่กับคุณพ่อของเพื่อน อยู่ในห้องของคุณยาย ผมจึงถามเพื่อนออกไปว่า
‘เขาทำอะไรกัน ไปช่วยไหม?’
‘ไม่เป็นไรหรอก เป็นกิจวัตรน่ะ’
เพื่อนผมบอกว่าในช่วงค่ำๆ คุณยายมักจะมีอาการเกร็งมือเกร็งเท้า งอหงิก ไปหมด บางทีก็จะร้องโอดโอยว่า ปวด.. ปวด.. บางครั้งก็ถึงกับอาเจียนออกมา ไปหาหมอเขาก็ให้ยามาตามอาการ แต่มันก็แปลกตรงที่เป็นเฉพาะตอนค่ำๆ พ่อกับแม่จึงคอยไปบีบไปนวดอยู่ทุกวัน
ผมก็เงียบๆไป ไม่ได้ถามอะไรต่อเลย เดินไปกินข้าวตามมารยาท ซึ่งมันก็กินไม่ค่อยจะลงสักเท่าไหร่ มันพะอืดพะอมบอกไม่ถูก หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว เพื่อนผมก็ชวนผมออกไปข้างนอก ว่าจะไปร้านหนังสือแถวๆนี้สักหน่อย วันนี้มีหนังสือออกใหม่ เราสองคนจึงออกจากบ้านไปด้วยมอเตอร์ไซด์ของที่บ้าน
ตลอดทางเพื่อนของผมยังเงียบๆอยู่ ซึ่งปิดธรรมชาติมาก ปกติมันจะเป็นคนที่ร่าเริง และออกจะกวนประสาทเสียด้วย พอมันมากลายเป้นคนเงียบๆแบบนี้ เล่นเอาผมทำตัวไม่ถูกอยู่เหมือนกัน
ผมมองไปสองข้างทางก็เพิ่งจะรู้สึกตัวว่า ความรู้สึกพะอืดพะอมนั้นได้หายไปแล้ว ตอนนี้ผมรู้สึกปกติดี จนทำให้รู้สึกหิวขึ้นมา
เพราะผมบ่นหิว เพื่อนจึงพามาแวะที่ร้านบะหมี่เกี๊ยวหน้าเซเว่น ผมนั่งกินไปเรื่อยๆ โดยที่เพื่อนผมไม่ได้นั่งกินด้วยเพียงแค่ซื้อเบียร์กระป๋องมานั่งจิบเท่านั้น ด้วยความไม่สบายใจผมจึงถามเพื่อนออกไปตรงๆ
‘เป็นไรวะ เงียบอยู๋ได้ พูดดิ’ เพื่อนผมเงยหน้ามามองผม แล้วถอนหายใจยาวๆ
‘ตอนเข้าไปในห้องยาย มันมีอะไรใช่ไหม อุเห็นอึงนิ่งๆไป’
‘...’ ผมมองหน้าเพื่อนนิ่งๆ ไม่ได้ตอบอะไรออกไป ไม่ใช่เพราะไม่อยากบอก แต่ตัวผมเองก็ยังไม่แน่ใจอะไรมากนัก
‘นี่แหละประเด็น ใจนึงก็อยากร็นะ อยากช่วยยาย แต่อีกใจก็กลัวที่จะรู้เหมือนกัน หรือเราไม่ควรรู้เลยวะ’
‘ก็อยู่ที่อึงแล้วแหละ’
ผมกับเพือนกลับมาถึงบ้านแล้ว พ่อกับแม่ของเพื่อนยังนั่งดูทีวีอยู่ที่ห้องนั่งเล่นด้านล่าง ก่อนที่จะเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนมันต้องเดินผ่านห้องของคุณยาย ผมจึงชำเลืองไปมองห้องนั้นเล็กน้อย และสิ่งที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้ผมตกใจเล็กๆ
ที่ข้างๆเตียงของคุณยายนั้นมีภาพของชายขราร่างบาง ผมขาวซีดยืนมองคุณยายที่กำลังหลับด้วยสายตาอ่อนโยน ใบหน้าและดวงตานั้นบ่งบอกว่าในยามที่เขามีชีวิตอยู่ คงเป้นคนที่ใจดีมากๆเลยทีเดียว
‘ตาอึงนี่ใจดีเนอะ’
‘เห็นอะไรอีกแล้วสิอึง’ เพื่อนหันมามองผมพร้อมกับตอบรับ
ผมกับเพื่อนเล่นเกม คุยกันเรื่องสัพเพเหระไปจนดึกดื่น เมื่อมองนาฬิกาก็เห็นว่าเป็นเวลาประมาณเที่ยงคืนกว่าแล้ว ผมจึงเข้าเรื่องในทันที เพราะเพื่อนบอกว่าพ่อกับแม่ก็หลับหมดแล้ว
‘ได้ฤกษ์ยัง เข้าเรื่องได้ยัง’ ผมถามเพื่อนออกไปตรงๆ
‘น่าจะใกล้แล้วแหละ ไม่น่าจะนาน เดี๋ยวก็คงได้เรื่องแหละ’
ผมซักเพื่อนต่อถึงรายละเอียดของสิ่งที่คาใจมันอยู่ จนเวลาล่วงไปเกือบตี 2 ก็มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้ง
แก่ก... แก่ก..
อยู่ดีๆก็มีเสียงอะไรแปลกๆดังแว่วมาไกลๆ แต่มันก็เบามาก ถ้าไม่เงี่ยหูฟังก็คงจะไม่ได้ยิน ผมมองหน้าเพื่อน แล้วเพื่อนก็พยักหน้าให้1ที เป็นสัญญาณว่า นี่แหละที่เรารอมาทั้งวัน
แม้ว่าจะเป็นบ้านของเพื่อน แต่ผมก็ต้องรับหน้าที่ เดินนำ เหมือนในทุกๆครั้ง ผมค่อยๆเดินไปตามทางเดินจนมาถึงบันได มีเพียงไฟหรี่สลัวๆ กับแสงไฟจากนอกบ้านเท่านั้นที่ส่องแสงให้ความสว่างตามทางเดิน
ผมกับเพื่อนหยุดยืนอยู่ที่หน้าบันได แล้วก็เงี่ยหุฟังอีกครั้ง เสียงกุกกักๆนั้นยังอยู่ สลับกับเสียงอีก2เสียง นั่นคือเสียงเหมือนใครเอาอะไรขูดไปตามพื้น ดังขรืดๆ แล้วก็เสียงเล็กๆแหลมๆ คล้ายๆกับแมวร้อง แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว
ผมกับเพื่อนเดินผ่านแสงไฟสลัวไปตามทางที่มาของเสียงนั้น และปลายทางที่พวกผมเดินมาถึงก็คือ ห้องของคุณยาย และพอเพื่อนผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดแฟลชส่องไปยังพื้นที่ตรงหน้า ผมกับเพื่อนก็หน้าซีดกันเลยทีเดียว
บอกตรงๆว่าตอนนั้นตกใจครับ ขาอ่อนไปเหมือนกัน เพราะสิ่งที่เห็นตรงหน้ามันเกินกว่าที่คิดไปมาก คุรยายของเพื่อนผมที่ผมได้ยินมาว่ามีอาการอ่อนแรงจนไม่สามารถขยับได้มากนัก กำลังคลานไปตามพื้น วนไปวนมา ส่งเสียงร้องแปลกๆออกมาตลอดเวลา สลับกับการเอานิ้วมือข่วนไปตามพื้นตามกำแพง เหมือนตะกุยอะไรสักอย่าง
‘ยาย..’ เพื่อนผมส่งเสียงเรียกออกมาเบาๆ พร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม แล้วก็หันหลังวิ่งขึ้นห้องไป
ผมไม่รู้จะทำอย่างไรจึงเดินตามมันกลับขึ้นไปบนห้องด้วยทันที ดดยที่ปล่อยยายไว้อย่างนั้น ผมเข้าไปเรียกไปกล่อมจนมันยอมกลับลงมากับผมอีกครั้ง เพราะจะได้ดูว่ายายเป็นอย่างไรบ้าง แต่เมื่อลงมาถึงก็พบว่า ยายนอนอยู่บนเตียงอย่างสงบ
ผมกับเพื่อนมองหน้ากัน เราสองคนมั่นใจแน่ๆว่าเราไม่ได้ฝันไป เรากลับขึ้นมาบนห้องแล้วก็คุยกันต่อ ผมนึกไปถึงเรื่องที่เพื่อนเล่าให้ผมฟังตอนที่ชวนผมไปคุยเป้นการส่วนตัวก่อนหน้านี้ มันเล่าว่า
‘ มีอยู่วันนึง วันนั้นอุกลับไปนอนบ้าน แล้วดึกๆมันก็หิว เลยเดินลงมาที่ครัว แล้วก็ได้ยินเสียงแปลกๆ เลยเดินไปตามเสียงนั้น แล้วเห็นว่าเป็นห้องยายก็เลยเป้นห่วง อุเดินไปที่ประตูก็เห็นเงาแปลกๆอยู่ที่พื้น อุแอบมองอยู่ที่ข้างประตู พอตาเริ่มชินกับความมืด อุก้เห็นว่าเงานั้นเป็นยาย ยายกำลังคลานไปคลานมาตามพื้น อุกลัวมาก อุเรียกยายเบาๆ แต่ยายก็ไม่ตอบ อุขึ้นไปเรียกพ่อกับแม่ลงมาดู แต่พอลงมา ยายก็นอนอยู่ที่เดิม ’
ผมกับเพื่อนนั่งคุยกันไปเรื่อยๆจนเช้า เพราะเพื่อนผมก็ไม่สามารถข่มตาหลับลงได้อีกหลังจากสิ่งที่เห็น ในตอนเช้า เพื่อนผมเดินไปคุยกับพ่อและแม่ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น เห็นเถียงกันอยู่นานสองนาน ผมได้แต่นั่งรออยู่ข้างนอก แต่ก็พอจะจับใจความได้ว่า พ่อแม่ไม่เชื่อ หาว่าเพื่อนผมฝันบ้างล่ะ เมาบ้างล่ะหนักไปจนคิดว่าเพื่อนผมหลอนเพราะติดยา แต่เพื่อนผมก็ยังคงเถียงต่อไปอย่างไม่ลดละ จนสุดท้ายเพื่อนก็เดินมาลากผมเข้าไปในวงสนทนานั้นด้วย
สิ่งที่สัมผัสได้คือ สายตาของพ่อกับแม่ที่มองมาที่ผมนั้นเปลี่ยนไป มันเป้นสายตาของการดูถูก เหมือนมองตัวประหลาด ซึ่งผมก็เข้าใจและก็ชินกับสายตาเหล่านี้ไปเสียแล้ว ผมคิดว่าเพื่อนผมคงบอกพ่อกับแม่มันไปหใดแล้วว่า มันพาผมมาทำไม แล้วผมเป็นอะไร
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ ก่อนจะพูดคุยกับพ่อและแม่ของเพื่อนอยู๋พักหนึ่ง ด้วยเรื่องราวบางอย่างที่ผม รู้ และได้ยินมา ไม่ได้ต้องการอวดอ้างอะไร เพียงแค่ต้องการทำให้ท่านทั้งสองคนนั้น เชื่อ เพื่อความสบายใจของเพื่อนผมและ การช่วยเหลือคุณยาย ทั้งนี้ก็ต้องขอบคุณ คุณตา ที่ยืนอยู๋ข้างๆผมและบอกเรื่องราวในอดีตของคนทั้งคู่ให้ผมฟัง เป็นเรื่องที่แม้แต่ลูกชายของเขาทั้งสองก็ไม่เคยรู้มาก่อน
พ่อและแม่นั่งนิ่งๆ สีหน้างุนงง และสงสัยแต่สิ่งที่เจอนั้นคงยากที่จะปฏิเสธิ ผมบอกว่ามันหมดหน้าที่ของผมแล้ว ที่เหลือก็เป็นเรื่องของครอบครัว ว่าจะตัดสินใจกันอย่างไร แล้วผมก้เดินขึ้นห้องของเพื่อนไปในทันที ปล่อยให้คนในครอบครัวเขาได้ คุยกัน
ในคืนนั้น แม้จะยังไม่ตกลงปลงใจเชื่อทั้งหมด แต่พ่อและแม่ของเพื่อนผมก็มานั่งอยู๋ในห้องด้วยกัน เพื่อรอเวลาจะพิสูจน์ว่า สิ่งที่เพื่อนผมเล่านั้นมันจริงหรือไม่
เวลาล่วงเลยไปจนดึกดื่นค่อนคืน แล้วเสียงแปลกๆก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทุกคนในห้องมองหน้ากัน และค่อยๆก้าวออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ เราเดินไปตามทางเสียงนั้น เมื่อลงไปถึงด้านล่างก็กดเปิดไฟที่โถงบ้านทันที ก่อนจะรีบเดินเข้าไปในห้องคุณยาย และสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้านั้นก็ชัดเจน ภาพเหตุการณ์เดิมที่เหมือนกับเอาเทปกลับมาเล่นใหม่
หญิงชราร่างเล็กผอมบางคลานอยู๋กับพื้น คลานวนไปมา สองมือก็ตะกุยพื้นสลับกับข่วนผนังบ้าน ส่งเสียงเล็กแหลมชวนขนลุก ไม่ว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นหมายความว่าอย่างไร แต่สำหรับคนเป็นลูกนั้น คงรับไม่ได้อย่างแน่นอน
พ่อและแม่รีบวิ่งไปจับตัวยายร้องเรียก แต่ก็ไม่มีการตอบรับใดๆ จนพ่อตัดสินใจอุ้มยายขึ้นมาทั้งๆอย่างนั้น แล้วนำไปวางลงบนเตียงอย่างเบามือ ยายยังไม่หยุดส่งเสียงร้องครวญคราง เสียงนั้นดังบ้าง เบาบ้าง บางทีก็แหบพร่าเหมือนคนจะหมดลม น้ำลายไหลเลอะไปทั่วทั้งใบหน้า พ่อและแม่พยายามเรียกสติยายอยู่นานก็ไม่ได้ผล จนทั้งสองหันมามองหน้าผม
ผมเดินเข้าไปใกล้ๆในตอนนั้นผมไม่สนใจแล้วว่า ชายหญิงคู่นี้จะมองผมอย่างไร ผมจะยังเป็นเพื่อนรักของลูกชาย หรือเป็นเพียงตัวประหลาดในบ้านหลังนี้ ผมใช้มือลูบไปที่มือของคุณยาย ความรู้สึกสะอิดสะเอียนก็ซึมซับผ่านมือนั้นมาที่ผม ผมหลับตาลง แล้วสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นก็ได้บอกผมว่า ‘พวกเขาเป็นใคร’
เมื่อผมรับรู้ถึง ต้นเหตุแล้ว ผมยกมือไหว้คุณยายขออนุญาต จับไปที่หน้าผากของคุณยาย ผมบอกกับ พวกเขาในนั้น
‘ถอยเถอะ ไปเถอะ แล้วเราจะคุยให้’
เริ่ม...
ในเย็นวันนั้นในขณะที่เรานั่งเล่นกันอยู่ เพื่อนก็สะกิดผมแล้วบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อย แต่ไม่ยากให้ใครรู้ ผมเดินตามเพื่อนออกไป หามุมเงียบๆคุยกันสักครู๋หนึ่ง
‘…..’
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็ร็สึก อึ้งๆ แล้วก็ขนลุกนิดหน่อยครับ แต่ก็ยังไม่อยากจะสรุปอะไรมากมายในตอนนี้ เพื่อนผมบอกว่าลองมาหลายวิถีทางแล้วก็ไม่ดีขึ้นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย เพื่อความสบายใจของเพื่อนผมจึงตกลงกับเพื่อนว่า สุดสัปดาห์นี้ จะไปนอนค้างที่บ้านเพื่อน เผื่อว่าจะมีอะไรที่ช่วยให้เราแน่ใจได้บ้างว่า มันเกิดอะไรขึ้น
ในวันศุกร์นั้นผมก็ไปค้างที่บ้านเพื่อนตามสัญญา โดยที่เอาเสื้อผ้าไปไม่ได้มากมายนัก ทุกคนในบ้านดูใจดีและเป็นกันเองมากๆ ผมสวัสดีทุกคนแล้วก็เดินตามเพื่อนไปเรื่อยๆ ยังไม่ทันจะเดินขึ้นบันไดไป แม่ของเพื่อนก็ตะโกนมาว่า
‘อย่าลืมพาเพื่อนไปไหว้คุณยายนะ ไม่บอกไม่กล่าวเดี๋ยวท่านจะว่าเอา’
เพื่อนผมตอบรับกลับไป พร้อมกับหันหน้ามามองผมด้วยสีหน้าแปลกๆ เหมือนจะบอกเป็นนัยย์ๆว่า นี่แหละคือสิ่งที่เพื่อนผมเล่าให้ฟัง
ผมเดินตามเพื่อนไปที่ห้องนอนของคุณยาย พอเดินพ้นประตูเข้าไป คุณยายนอนอยู่บนเตียงในห้องนั้นสว่างดีครับ อากาศถ่ายเทดีมาก แต่สิ่งที่ผมรู้สึกได้คือความสะอิดสะเอียน คลื่นไส้ แล้วก็เหม็นมากๆ เหม็นเหมือนฉี่แมว ถ้าใครที่เลี้ยงสัตว์ก็คงพอจะนึกออกนะครับ ว่าถ้ามันกองรวมกันเยอะๆ มันจะเป็นยังไง
ผมเดินเข้าไปสวัสดีคุรยายใกล้ๆ ท่านหันมายิ้มให้อย่างใจดี คุรยายถามไถ่ว่าผมเป็นใคร มายังไง จะอยู๋กี่วัน เพื่อนก็ลากผมออกมาข้างนอก เพราะจะได้ให้คุณยายนั้นพักผ่อน จากคำบอกเล่าของเพื่อน คุณยายเป็นกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรืออะไรสักอย่างนี่แหละครับ ผมจำไม่ค่อยได้แล้ว รู้แต่ว่ามันทำให้ท่านไม่สามารถเดินเหินได้สะดวกนะ แต่ก็ยังขยับร่างกายได้บ้าง ไม่ถึงกับเป็นอัมพาต
ผมนั่งเล่นนอนเล่นอยู่ในห้องเพื่อนจนถึงตอนค่ำๆ แม่เพื่อนก็มาเรียกพวกเราให้ลงไปกินข้าว เมื่อผมเดินลงมาที่ด้านล่างก็เห็นว่า คุณแม่กับคุณพ่อของเพื่อน อยู่ในห้องของคุณยาย ผมจึงถามเพื่อนออกไปว่า
‘เขาทำอะไรกัน ไปช่วยไหม?’
‘ไม่เป็นไรหรอก เป็นกิจวัตรน่ะ’
เพื่อนผมบอกว่าในช่วงค่ำๆ คุณยายมักจะมีอาการเกร็งมือเกร็งเท้า งอหงิก ไปหมด บางทีก็จะร้องโอดโอยว่า ปวด.. ปวด.. บางครั้งก็ถึงกับอาเจียนออกมา ไปหาหมอเขาก็ให้ยามาตามอาการ แต่มันก็แปลกตรงที่เป็นเฉพาะตอนค่ำๆ พ่อกับแม่จึงคอยไปบีบไปนวดอยู่ทุกวัน
ผมก็เงียบๆไป ไม่ได้ถามอะไรต่อเลย เดินไปกินข้าวตามมารยาท ซึ่งมันก็กินไม่ค่อยจะลงสักเท่าไหร่ มันพะอืดพะอมบอกไม่ถูก หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว เพื่อนผมก็ชวนผมออกไปข้างนอก ว่าจะไปร้านหนังสือแถวๆนี้สักหน่อย วันนี้มีหนังสือออกใหม่ เราสองคนจึงออกจากบ้านไปด้วยมอเตอร์ไซด์ของที่บ้าน
ตลอดทางเพื่อนของผมยังเงียบๆอยู่ ซึ่งปิดธรรมชาติมาก ปกติมันจะเป็นคนที่ร่าเริง และออกจะกวนประสาทเสียด้วย พอมันมากลายเป้นคนเงียบๆแบบนี้ เล่นเอาผมทำตัวไม่ถูกอยู่เหมือนกัน
ผมมองไปสองข้างทางก็เพิ่งจะรู้สึกตัวว่า ความรู้สึกพะอืดพะอมนั้นได้หายไปแล้ว ตอนนี้ผมรู้สึกปกติดี จนทำให้รู้สึกหิวขึ้นมา
เพราะผมบ่นหิว เพื่อนจึงพามาแวะที่ร้านบะหมี่เกี๊ยวหน้าเซเว่น ผมนั่งกินไปเรื่อยๆ โดยที่เพื่อนผมไม่ได้นั่งกินด้วยเพียงแค่ซื้อเบียร์กระป๋องมานั่งจิบเท่านั้น ด้วยความไม่สบายใจผมจึงถามเพื่อนออกไปตรงๆ
‘เป็นไรวะ เงียบอยู๋ได้ พูดดิ’ เพื่อนผมเงยหน้ามามองผม แล้วถอนหายใจยาวๆ
‘ตอนเข้าไปในห้องยาย มันมีอะไรใช่ไหม อุเห็นอึงนิ่งๆไป’
‘...’ ผมมองหน้าเพื่อนนิ่งๆ ไม่ได้ตอบอะไรออกไป ไม่ใช่เพราะไม่อยากบอก แต่ตัวผมเองก็ยังไม่แน่ใจอะไรมากนัก
‘นี่แหละประเด็น ใจนึงก็อยากร็นะ อยากช่วยยาย แต่อีกใจก็กลัวที่จะรู้เหมือนกัน หรือเราไม่ควรรู้เลยวะ’
‘ก็อยู่ที่อึงแล้วแหละ’
ผมกับเพือนกลับมาถึงบ้านแล้ว พ่อกับแม่ของเพื่อนยังนั่งดูทีวีอยู่ที่ห้องนั่งเล่นด้านล่าง ก่อนที่จะเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนมันต้องเดินผ่านห้องของคุณยาย ผมจึงชำเลืองไปมองห้องนั้นเล็กน้อย และสิ่งที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้ผมตกใจเล็กๆ
ที่ข้างๆเตียงของคุณยายนั้นมีภาพของชายขราร่างบาง ผมขาวซีดยืนมองคุณยายที่กำลังหลับด้วยสายตาอ่อนโยน ใบหน้าและดวงตานั้นบ่งบอกว่าในยามที่เขามีชีวิตอยู่ คงเป้นคนที่ใจดีมากๆเลยทีเดียว
‘ตาอึงนี่ใจดีเนอะ’
‘เห็นอะไรอีกแล้วสิอึง’ เพื่อนหันมามองผมพร้อมกับตอบรับ
ผมกับเพื่อนเล่นเกม คุยกันเรื่องสัพเพเหระไปจนดึกดื่น เมื่อมองนาฬิกาก็เห็นว่าเป็นเวลาประมาณเที่ยงคืนกว่าแล้ว ผมจึงเข้าเรื่องในทันที เพราะเพื่อนบอกว่าพ่อกับแม่ก็หลับหมดแล้ว
‘ได้ฤกษ์ยัง เข้าเรื่องได้ยัง’ ผมถามเพื่อนออกไปตรงๆ
‘น่าจะใกล้แล้วแหละ ไม่น่าจะนาน เดี๋ยวก็คงได้เรื่องแหละ’
ผมซักเพื่อนต่อถึงรายละเอียดของสิ่งที่คาใจมันอยู่ จนเวลาล่วงไปเกือบตี 2 ก็มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้ง
แก่ก... แก่ก..
อยู่ดีๆก็มีเสียงอะไรแปลกๆดังแว่วมาไกลๆ แต่มันก็เบามาก ถ้าไม่เงี่ยหูฟังก็คงจะไม่ได้ยิน ผมมองหน้าเพื่อน แล้วเพื่อนก็พยักหน้าให้1ที เป็นสัญญาณว่า นี่แหละที่เรารอมาทั้งวัน
แม้ว่าจะเป็นบ้านของเพื่อน แต่ผมก็ต้องรับหน้าที่ เดินนำ เหมือนในทุกๆครั้ง ผมค่อยๆเดินไปตามทางเดินจนมาถึงบันได มีเพียงไฟหรี่สลัวๆ กับแสงไฟจากนอกบ้านเท่านั้นที่ส่องแสงให้ความสว่างตามทางเดิน
ผมกับเพื่อนหยุดยืนอยู่ที่หน้าบันได แล้วก็เงี่ยหุฟังอีกครั้ง เสียงกุกกักๆนั้นยังอยู่ สลับกับเสียงอีก2เสียง นั่นคือเสียงเหมือนใครเอาอะไรขูดไปตามพื้น ดังขรืดๆ แล้วก็เสียงเล็กๆแหลมๆ คล้ายๆกับแมวร้อง แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว
ผมกับเพื่อนเดินผ่านแสงไฟสลัวไปตามทางที่มาของเสียงนั้น และปลายทางที่พวกผมเดินมาถึงก็คือ ห้องของคุณยาย และพอเพื่อนผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดแฟลชส่องไปยังพื้นที่ตรงหน้า ผมกับเพื่อนก็หน้าซีดกันเลยทีเดียว
บอกตรงๆว่าตอนนั้นตกใจครับ ขาอ่อนไปเหมือนกัน เพราะสิ่งที่เห็นตรงหน้ามันเกินกว่าที่คิดไปมาก คุรยายของเพื่อนผมที่ผมได้ยินมาว่ามีอาการอ่อนแรงจนไม่สามารถขยับได้มากนัก กำลังคลานไปตามพื้น วนไปวนมา ส่งเสียงร้องแปลกๆออกมาตลอดเวลา สลับกับการเอานิ้วมือข่วนไปตามพื้นตามกำแพง เหมือนตะกุยอะไรสักอย่าง
‘ยาย..’ เพื่อนผมส่งเสียงเรียกออกมาเบาๆ พร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม แล้วก็หันหลังวิ่งขึ้นห้องไป
ผมไม่รู้จะทำอย่างไรจึงเดินตามมันกลับขึ้นไปบนห้องด้วยทันที ดดยที่ปล่อยยายไว้อย่างนั้น ผมเข้าไปเรียกไปกล่อมจนมันยอมกลับลงมากับผมอีกครั้ง เพราะจะได้ดูว่ายายเป็นอย่างไรบ้าง แต่เมื่อลงมาถึงก็พบว่า ยายนอนอยู่บนเตียงอย่างสงบ
ผมกับเพื่อนมองหน้ากัน เราสองคนมั่นใจแน่ๆว่าเราไม่ได้ฝันไป เรากลับขึ้นมาบนห้องแล้วก็คุยกันต่อ ผมนึกไปถึงเรื่องที่เพื่อนเล่าให้ผมฟังตอนที่ชวนผมไปคุยเป้นการส่วนตัวก่อนหน้านี้ มันเล่าว่า
‘ มีอยู่วันนึง วันนั้นอุกลับไปนอนบ้าน แล้วดึกๆมันก็หิว เลยเดินลงมาที่ครัว แล้วก็ได้ยินเสียงแปลกๆ เลยเดินไปตามเสียงนั้น แล้วเห็นว่าเป็นห้องยายก็เลยเป้นห่วง อุเดินไปที่ประตูก็เห็นเงาแปลกๆอยู่ที่พื้น อุแอบมองอยู่ที่ข้างประตู พอตาเริ่มชินกับความมืด อุก้เห็นว่าเงานั้นเป็นยาย ยายกำลังคลานไปคลานมาตามพื้น อุกลัวมาก อุเรียกยายเบาๆ แต่ยายก็ไม่ตอบ อุขึ้นไปเรียกพ่อกับแม่ลงมาดู แต่พอลงมา ยายก็นอนอยู่ที่เดิม ’
ผมกับเพื่อนนั่งคุยกันไปเรื่อยๆจนเช้า เพราะเพื่อนผมก็ไม่สามารถข่มตาหลับลงได้อีกหลังจากสิ่งที่เห็น ในตอนเช้า เพื่อนผมเดินไปคุยกับพ่อและแม่ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น เห็นเถียงกันอยู่นานสองนาน ผมได้แต่นั่งรออยู่ข้างนอก แต่ก็พอจะจับใจความได้ว่า พ่อแม่ไม่เชื่อ หาว่าเพื่อนผมฝันบ้างล่ะ เมาบ้างล่ะหนักไปจนคิดว่าเพื่อนผมหลอนเพราะติดยา แต่เพื่อนผมก็ยังคงเถียงต่อไปอย่างไม่ลดละ จนสุดท้ายเพื่อนก็เดินมาลากผมเข้าไปในวงสนทนานั้นด้วย
สิ่งที่สัมผัสได้คือ สายตาของพ่อกับแม่ที่มองมาที่ผมนั้นเปลี่ยนไป มันเป้นสายตาของการดูถูก เหมือนมองตัวประหลาด ซึ่งผมก็เข้าใจและก็ชินกับสายตาเหล่านี้ไปเสียแล้ว ผมคิดว่าเพื่อนผมคงบอกพ่อกับแม่มันไปหใดแล้วว่า มันพาผมมาทำไม แล้วผมเป็นอะไร
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ ก่อนจะพูดคุยกับพ่อและแม่ของเพื่อนอยู๋พักหนึ่ง ด้วยเรื่องราวบางอย่างที่ผม รู้ และได้ยินมา ไม่ได้ต้องการอวดอ้างอะไร เพียงแค่ต้องการทำให้ท่านทั้งสองคนนั้น เชื่อ เพื่อความสบายใจของเพื่อนผมและ การช่วยเหลือคุณยาย ทั้งนี้ก็ต้องขอบคุณ คุณตา ที่ยืนอยู๋ข้างๆผมและบอกเรื่องราวในอดีตของคนทั้งคู่ให้ผมฟัง เป็นเรื่องที่แม้แต่ลูกชายของเขาทั้งสองก็ไม่เคยรู้มาก่อน
พ่อและแม่นั่งนิ่งๆ สีหน้างุนงง และสงสัยแต่สิ่งที่เจอนั้นคงยากที่จะปฏิเสธิ ผมบอกว่ามันหมดหน้าที่ของผมแล้ว ที่เหลือก็เป็นเรื่องของครอบครัว ว่าจะตัดสินใจกันอย่างไร แล้วผมก้เดินขึ้นห้องของเพื่อนไปในทันที ปล่อยให้คนในครอบครัวเขาได้ คุยกัน
ในคืนนั้น แม้จะยังไม่ตกลงปลงใจเชื่อทั้งหมด แต่พ่อและแม่ของเพื่อนผมก็มานั่งอยู๋ในห้องด้วยกัน เพื่อรอเวลาจะพิสูจน์ว่า สิ่งที่เพื่อนผมเล่านั้นมันจริงหรือไม่
เวลาล่วงเลยไปจนดึกดื่นค่อนคืน แล้วเสียงแปลกๆก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทุกคนในห้องมองหน้ากัน และค่อยๆก้าวออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ เราเดินไปตามทางเสียงนั้น เมื่อลงไปถึงด้านล่างก็กดเปิดไฟที่โถงบ้านทันที ก่อนจะรีบเดินเข้าไปในห้องคุณยาย และสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้านั้นก็ชัดเจน ภาพเหตุการณ์เดิมที่เหมือนกับเอาเทปกลับมาเล่นใหม่
หญิงชราร่างเล็กผอมบางคลานอยู๋กับพื้น คลานวนไปมา สองมือก็ตะกุยพื้นสลับกับข่วนผนังบ้าน ส่งเสียงเล็กแหลมชวนขนลุก ไม่ว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นหมายความว่าอย่างไร แต่สำหรับคนเป็นลูกนั้น คงรับไม่ได้อย่างแน่นอน
พ่อและแม่รีบวิ่งไปจับตัวยายร้องเรียก แต่ก็ไม่มีการตอบรับใดๆ จนพ่อตัดสินใจอุ้มยายขึ้นมาทั้งๆอย่างนั้น แล้วนำไปวางลงบนเตียงอย่างเบามือ ยายยังไม่หยุดส่งเสียงร้องครวญคราง เสียงนั้นดังบ้าง เบาบ้าง บางทีก็แหบพร่าเหมือนคนจะหมดลม น้ำลายไหลเลอะไปทั่วทั้งใบหน้า พ่อและแม่พยายามเรียกสติยายอยู่นานก็ไม่ได้ผล จนทั้งสองหันมามองหน้าผม
ผมเดินเข้าไปใกล้ๆในตอนนั้นผมไม่สนใจแล้วว่า ชายหญิงคู่นี้จะมองผมอย่างไร ผมจะยังเป็นเพื่อนรักของลูกชาย หรือเป็นเพียงตัวประหลาดในบ้านหลังนี้ ผมใช้มือลูบไปที่มือของคุณยาย ความรู้สึกสะอิดสะเอียนก็ซึมซับผ่านมือนั้นมาที่ผม ผมหลับตาลง แล้วสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นก็ได้บอกผมว่า ‘พวกเขาเป็นใคร’
เมื่อผมรับรู้ถึง ต้นเหตุแล้ว ผมยกมือไหว้คุณยายขออนุญาต จับไปที่หน้าผากของคุณยาย ผมบอกกับ พวกเขาในนั้น
‘ถอยเถอะ ไปเถอะ แล้วเราจะคุยให้’